"สวัสดีค่ะคุณป้า"
"ไหว้พระเถอะลูก" ป้าขจีรับไหว้ฉัน
"สวยขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยนะเรา"
"ใช่ค่ะ แยมจำแทบไม่ได้"
ป้าขจีกับเจ๊แยมโรลต่างพากันชมแต่ฉันจนคนถูกชมไม่รู้จะทำหน้าแบบไหนนอกจากปั้นยิ้มรับ
"เมื่อก่อนเจ้าจันทร์ขี้เหร่มากเลยเหรอคะ" ปากถาม ตาเหลือบมองไปยังผู้ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่โต๊ะทรงสูงกับเพื่อนของเขา
"ไม่ใช่แบบนั้นลูก เมื่อก่อนหนูเจ้าจันทร์ก็สวย แต่ตอนนี้ดูสวยแล้วก็เป็นผู้ใหญ่ขึ้น" ฉันก็แค่พูดแซว ป้าขจีกับเจ๊แยมโรลไม่ได้จริงจังกับเรื่องความสวยความงามของตัวเองสักนิด
เพราะไม่ว่าตอนนี้หรือเมื่อก่อนฉันจะเป็นยังไง คนบางคนที่ฉันเฝ้ามอง เฝ้ารอคอยเขาก็ไม่เคยเปลี่ยนไปหรือหวั่นไหวตาม
"หนูเจ้าจันทร์"
"เจ้าจันทร์"
"เจ้าจันทร์ลูก!"
"อ้ะ ขอโทษค่ะ" มัวแต่คิดถึงเรื่องบางเรื่องสมัยก่อนจนทำเสียมารยาทเลย
"เหม่ออะไรขนาดนั้นลูก" ป้าขจีลูบแผ่นหลังฉันเบา ๆ
"สงสัยน้องจะเพลียหรือเปล่าคุณป้า" เจ๊แยมโรลเสริม
"นั่นสิ ป้านี่ก็เสียมารยาทอยู่ได้ หนูเจ้าจันทร์เพิ่งลงจากเครื่องคงจะเหนื่อยแหละ งั้นไปพักก่อนเถอะนะ เดี๋ยวสาย ๆ ค่อยตื่นมาคุยกัน"
"..." ได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ กลับไป
เรื่องเพลียเพราะเดินทางไม่เท่าไหร่ แต่เรื่องเหนื่อยหัวใจเมื่อเผลอคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในบ้านหลังนี้นี่สิที่ทำฉันล้า
"ห้องเดิมหนูจำได้ไหมลูก" ฉันหันไปมองป้าขจีพร้อมเอ่ยถาม
"ห้องใต้หลังคาคุณป้ายังอยู่เหรอคะ" รู้สึกดีใจที่ห้อง ๆ นั้นยังอยู่
"แน่นอนสิจ๊ะ ก็ตอนเด็ก ๆ ที่หนูมาเล่นที่นี่กับจันทร์เพ็ญหนูบอกว่าชอบห้องนั้น"
รู้สึกดีใจและตื้นตันใจที่เจ้าของบ้านจำคำพูดเมื่อตอนเด็กนั้นได้
"ป้าตกแต่งให้ใหม่ สวยมากเลย หนูรีบไปดูเถอะ" ฉันพยักหน้าหงึก ๆ รู้สึกตื่นเต้นอยากเห็นความเปลี่ยนไปของห้องนั้นจัง
แต่จู่ ๆ ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าห้องใต้หลังคานั้นมันอยู่ที่ไหน
"ตาราชย์พาน้องไปดูเร็ว" คนที่กำลังนั่งคุยกับเพื่อนเขาเพลิน ๆ ถูกขัดจังหวะ
สายตาเย็นชามองมาที่ฉันวูบหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบเฉย
"ห้องไม่ได้ล็อก อยากไปก็ไป"
เขาตอบแม่ตัวเองหรือกำลังบอกฉัน?
แต่ดูจากรูปประโยคนั้นแล้ว คงพูดกับฉันแหละเพราะหางเสียงเขาหายไป
"พาน้องไปเลยนะ ข้าวของน้องเยอะแยะ จะหิ้วไปยังไงไหว" ป้าขจีเริ่มออกคำสั่ง
ยิ่งแม่เขาใช้คำสั่งมากเท่าไหร่ ฉันยิ่งรู้สึกร้อน ๆ หนาว ๆ มากเท่านั้น
"ปล่อยเฮียราชย์ไปเถอะค่ะคุณป้า เดี๋ยวแยมพาไปเอง"
เจ๊แยมโรลจับข้อมือฉันกระตุกเบา ๆ ให้ลุกขึ้น
ฉันทำได้แค่ยิ้มกลับไปให้ป้าขจีก่อนจะเอ่ยกับอีกคน
"เจ้าจันทร์ขอเสียมารยาทนะคะ"
คนที่รู้ว่าฉันกำลังพูดด้วยเมินเฉยอย่างเสมอต้นเสมอปลาย โอเค
เมื่อก่อนเขาเย็นชายังไง ตอนนี้คูณเข้าไปอีกสิบเท่า แต่ช่างปะไร เจ้าจันทร์ทนได้
แกร๊ก...เสียงประตูห้องจากบ้านอีกหลังที่อยู่ถัดจากบ้านหลังใหญ่ของ
ทวีทรัพย์ไพศาลถูกมือน้อย ๆ ของฉันเปิดออกช้า ๆ เสียงลูกบิดประตูดูฝืด ๆ เหมือนไม่ค่อยถูกใช้งานมานาน
แต่พอเข้ามาในห้องที่กว้างขวางกลับพบว่ามันสะอาดเรียบร้อยไร้ไรฝุ่น รอบ ๆ ห้องยังคงตกแต่งโทนเดิม สีน้ำเงินเข้ม สีที่เจ้าของห้องนี้ชอบเป็นพิเศษ
"เจ๊มาส่งแค่นี้นะ เผื่อเราอยากพักผ่อน" เจ๊แยมโรลที่ช่วยลากกระเป๋าของใช้ฉันเอ่ยบอก
"ขอบคุณมากนะคะ" จริง ๆ ไม่จำเป็นต้องขนข้าวของมาที่นี่ด้วยเลยเพราะฉันแค่มาแวะ ไม่ได้มาอยู่ด้วยสักหน่อย
"คืนนี้เจอกัน" คนสวยขยิบตาให้ก่อนจะโบกมือบ๊ายบายแล้วเดินกลับไปที่บ้านหลังใหญ่ตามเดิม
ตอนนี้ได้อยู่ตัวคนเดียว ความทรงจำเมื่อสมัยก่อน ๆ ก็ผุดขึ้นมาเป็นฉาก ๆ
เคยเกริ่นตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่าแม่ฉันกับป้าขจีเคยเป็นเพื่อนรักกัน พวกท่านคบเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง ด้วยความรักที่เหนียวแน่นพวกท่านยังคงคบกันจนถึงปัจจุบันซึ่งผ่านมาสามสิบกว่าปีได้
และด้วยความที่ทั้งแม่ฉันและป้าขจีเป็นเพื่อนรักกัน ทำให้พวกท่านไปมาหาสู่กันจนถึงสมัยทั้งคู่มีลูก ทำให้ฉันเข้าออกบ้านทวีทรัพย์ไพศาลแห่งนี้ได้ทุกซอกทุกมุม
'ตาราชย์ มานี่มา'
'ฮะ แม่'
'นี่น้อง น่ารักไหม'
นิ้วชี้จากคนตัวโตกว่าฉันมากจิ้มลงมาบนพวงแก้มแดง ๆ เหมือนตุ๊กตา
'แก้มนิ่ม แต่ผมไม่ชอบอะไรนิ่ม ๆ'
คนตัวโตกว่ามองอย่างเรียบเฉยก่อนเดินจากไป
'นี่เธอน่ะ'
'คะ?'
'กระโปรงเปื้อนเมนส์'
ตอนนั้นฉันรู้สึกอายมาก จำได้ว่าน่าจะอยู่มัธยมปีที่หนึ่งซึ่งเป็นครั้งแรกที่ประจำเดือนมาแล้วไม่รู้ตัว
'อะ' เสื้อนักศึกษาสีขาวยื่นมาให้ฉัน
'ผูกไว้สิ!' เขาดุเมื่อฉันยืนเอ๋อทำอะไรไม่ถูก
'มานี่มา!' ตัวฉันถูกจับหมุนให้หันไปหาเขา
ใบหน้าเขาอยู่แถว ๆ หน้าอกเพราะเขาคุกเข่าลงไปมัดเสื้อตัวนั้นที่เอวเพื่อปิดสีแดงที่เลอะกระโปรงจีบรอบสีครีม
'เดี๋ยวเสื้อเฮียจะเลอะนะคะ' เสื้อตัวเองสีขาว ถ้าเลอะมาหนักกว่ากระโปรงฉันอีก
'เลอะก็ทิ้ง แต่เธอสิ ถูกคนหัวเราะไปไหนต่อไหนแล้ว'
สายตาฉันมองรอบ ๆ บริเวณที่ยืนอยู่
จุดนี้เป็นหน้าโรงเรียนกินนอนที่ฉันเรียนอยู่ และวันนี้เป็นวันศุกร์สุดสัปดาห์เลยรอคนมารับกลับบ้าน
ไม่รู้ทำไมคนที่มากลับเป็นผู้ชายหน้านิ่ง ดวงตาคมดุคนนี้ได้
แอ้ด.. ปึง!
"อ้ะ!" ฉันสะดุ้งหลุดจากภวังค์ในอดีต
"สำรวจหนำใจหรือยัง" คนที่ตอนแรกปฏิเสธการนำทางเปิดประตูเข้ามา เขาเอนตัวพิงขอบประตูไม่ได้ย่างกรายเข้ามาในห้องนี้
"ถ้าเฮียราชย์จะใช้ห้อง เดี๋ยวเจ้าจันทร์ออกไปใช้ห้องอื่นแทนก็ได้ค่ะ" ฉันรีบดึงหูกระเป๋าเตรียมลากกลับออกมา
"ฉันไม่เคยมาใช้ห้องนี้หลายปีแล้ว"
ขาฉันหยุดก้าวเดิน ดวงตาเรียวคมจากการกรีดอายไลเนอร์ตวัดขึ้นมองเขาอย่างไม่เข้าใจ
"ชอบไม่ใช่เหรอห้องใต้หลังคา?"
นี่คือสาเหตุที่เขาไม่เข้ามาอยู่บ้านตัวเองเพียงเพราะฉันเคยอยู่ร่วมห้องด้วย?
"เฮียราชย์รังเกียจเจ้าจันทร์ขนาดนั้นเลยเหรอคะ" เสียงฉันสั่น น้อยใจกับสายตาเย็นชาที่มองมา
"รังเกียจเธอ? อย่าสำคัญตัวมากไป" น้ำเสียงเขาเยียบเย็นตัดขั้วหัวใจคนฟังอย่างฉันมาก
"ฉันไม่เคยรู้สึกอะไรกับเธอด้วย แล้วจะให้รังเกียจเธอได้ยังไง" เขามองลึกเข้ามานัยน์ตาฉันอย่างไม่หลบหลีก
เป็นฉันเองที่ทนจ้องตาเขากลับไม่ไหวเลยเสมองไปทางอื่นแทนจนสายตาปะทะเข้ากับวัตถุบางอย่างที่มันหักครึ่ง
เป็นหินเซรามิคงานสั่งปั้นเองที่มีชิ้นเดียวในโลก เจ้าของรูปปั้นนั้นบอกจะเอามันไปมอบให้กับคนพิเศษของเขาเมื่อห้าปีก่อน
แต่เพราะมีเด็กมือบอนคนหนึ่งที่เกิดอิจฉาตาร้อนทำมันพังอย่างไม่เป็นท่า
"เฮียราชย์ยังเก็บมันไว้" ฉันถามเสียงสั่นเครือ ขาก้าวเดินไปที่รูปปั้นนางฟ้ากางปีกสยาย แม้ใบหน้าจะหักไปครึ่งหนึ่ง แต่ความงดงามของปูนปั้นนั้นยังมีความสวยในตัวของมันโดดเด่นออกมา
"อย่าแตะต้องมัน!" เสียงเขาข่มต่ำเมื่อฉันยื่นมือไปหวังจะสัมผัสส่วนที่แตกหัก
"ทำมันพังแค่นั้นยังไม่สะใจอีกใช่ไหม"
น้ำตาฉันรื้นขึ้นบนขอบตา เด็กมือบอนที่ว่าคือฉันนั่นเอง
ฉันคือคนที่ทำรูปปั้นนางฟ้าที่เขาบอกจะมอบให้เป็นของขวัญคนพิเศษพัง
และนับตั้งแต่วันนั้น เฮียราชย์ก็ไม่เคยมองฉันด้วยสายตาเป็นมิตรอีกเลย
"เจ้าจันทร์ ขอโท...ษ" เสียงขอโทษฉันไม่เคยไปถึงเขา เมื่อห้าปีก่อนเขาก็ไม่อยู่รอฟังคำขอโทษจากฉันเหมือนตอนนี้
ร่างสูงสมส่วนเดินออกไปจากห้องอย่างไม่ใยดี แผ่นหลังกว้างที่ฉันได้แค่มองค่อย ๆ ไกลออกไป อยู่ร่วมชายคาเดียวกันแต่เหมือนอยู่คนละซีกโลก เข้าใจความรู้สึกนี้ของฉันกันไหม?
"ฮึก ฮืออออ" สุดท้ายก็ปล่อยให้น้ำตาหลั่งรินออกมา
ความเจ็บจุกที่หน้าอกตีขึ้นจนฉันอยากจะควักมันออกมาทิ้ง
'เธอทำแผนฉันพัง ยังจะกล้ามาสารภาพรักกับฉันอีก?'
น้ำเสียงเจ็บปวดปนเกลียดชังในวันนั้นยังฝังลึกในจิตใจ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโกรธฉันยังจำมันได้ดี
"อย่าร้องเจ้าจันทร์ อย่าร้อง" ตบหน้าอกตัวเองที่มันอัดอั้น ขมขื่นให้คลายลง
ยกสองมือขึ้นปาดน้ำตาออกจากแก้มอย่างลวก ๆ อย่างน้อยวันที่ฉันให้คำมั่นสัญญากับตัวเองก็มาถึง
วันที่เฮียราชย์ครองโสดไร้คู่รัก เท่ากับวันที่ฉันจะหน้าด้านเดินหน้าขอสานความสัมพันธ์นั้นอย่างหน้าไม่อายอีกครั้ง
เจ็บแล้วจำคือคน(อื่น)น่ะใช่
แต่สำหรับเจ้าจันทร์เจ็บแล้วจำเพื่อนำมาปรับปรุงและเป็นกำลังให้เดินหน้าต่อไป
"ถ้าครั้งนี้ไม่สำเร็จ ถือซะว่าเราคงไม่ได้เกิดมาคู่กันกันจริง ๆ "
เลิกบั่นทอนกำลังใจตัวเองได้แล้วจันทรารัตน์ ของแบบนี้มันต้องใช้ใจล้วน ๆ ครั้งนี้เธอไม่ต้องกลัวว่าเขาจะตราหน้าว่าหน้าด้านจีบเขาอีกแล้ว เพราะอดีตของเขากับเธอคนนั้นจบไปนานแล้วและคงไม่อาจหวนคืน
นอนพักได้แค่สามชั่วโมงฉันก็สะดุ้งตื่นเพราะเผลอฝันถึงสมัยเด็กที่วิ่งเล่นไล่จับกับลูกชายเจ้าของบ้านนี้
ในฝันเขายิ้มให้ฉันอย่างเต็มรอยยิ้ม มันเป็นการยิ้มทั้งดวงตาและริมฝีปาก พูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือ เขายิ้มมันมาจากใจจริง
"เที่ยงพอดี" ยกข้อมือนาฬิกาแบรนด์หรูฝังเพชรเม็ดเล็ก ๆ อยู่ปลายเข็มวินาทีบ่งบอกว่าตอนนี้เที่ยงวันแล้ว
พอเห็นนาฬิกาเรือนนี้ก็คิดถึงเจ้าของมันขึ้นมาทันที
"ป่านนี้ยูจะหัวหมุนแค่ไหนนะคริส" บ่นงึมงำถึงเพื่อนชายตาน้ำข้าวที่เมกา หมอนี่ถ้าไม่มีฉันอยู่เป็นเพื่อนบ่นเขาจะเหงาปากไหมนะ
พอ ๆ เลิกคิดถึงคนอยู่ไกล หันมามองรอบ ๆ ห้องใต้หลังคาสีฟ้ามุ้งมิ้งนี้ดีกว่า
ตอนขึ้นมาครั้งแรกง่วงจัดจนลืมสำรวจรอบ ๆ ห้องนี้ว่าถูกตกแต่งด้วยโทนสีฟ้าอ่อน ๆ ที่ฉันชอบ
มีผ้าม่านเล็ก ๆ ตรงหน้าต่างช่องลม ที่นอนลายม้ายูนิคอร์นสีฟ้าที่ฉันชอบ แม้แต่ตุ๊กตาก็มีเจ้าม้ามีเขาวางเรียงรายน่ารักจนนึกว่าฉันกลายเป็นเด็กอีกครั้ง
"ลงไปอาบน้ำดีกว่า" แม้ป้าขจีจะติดแอร์เครื่องเล็ก ๆ ไว้ให้ แต่เพราะพื้นที่ไม่ได้กว้างนักเลยยังอบอ้าวในความรู้สึกอยู่
สองมือหอบหิ้วเสื้อผ้าไว้เปลี่ยนอาบในห้องน้ำด้านล่างติดมือไปด้วย
ว่าแต่... ฉันใช้ห้องน้ำที่ห้องเฮียราชย์ได้ใช่ไหม?
คงได้แหละ แค่ยืมห้องอาบน้ำเองเขาคงไม่แยกเขี้ยวใส่หรอก