"ช่วยด้วย!!"
"ใครก็ได้ช่วยเจ้าจันทร์ที!"
ฉันตะโกนให้คนช่วยจนแสบคอไปหมดแล้วแต่ก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้ายื่นมือเข้ามาช่วยสักคน
ทางที่ถูกคนกลุ่มนั้นลากมาก็เริ่มมืดจนดูน่ากลัวเข้าไปเรื่อย ๆ
พอมองไปเบื้องหน้าคือป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่ เงาสีดำของมันมองเผิน ๆ แล้วเหมือนเปรตตัวโต ๆ ที่รอเขมือบคนที่ก้าวเข้าไป
"เลิกร้องเถอะคนสวย บอกแล้วไม่มีใครกล้าเข้ามาแส่หาเรื่องเจ็บตัวฟรีหรอก" หัวโจกที่เริ่มแผนจับตัวฉันมาพูดขึ้น
"จะจับฉันไปไหน" มือก็ถูกไพล่ไว้ด้านหลังจนทำอะไรไม่ถนัด
"อยากพิสูจน์อะไรสักหน่อย" คนที่เหมือนเป็นหัวหน้าแก๊งคนเดิมพูดขึ้น
"พิสูจน์อะไร ปล่อยเลยนะ ทำแบบนี้ผิดกฎหมายนะ!" ใช้แรงสู้ไม่ได้ก็ใช้ปากนี่แหละพูดให้พวกนี้รำคาญไปเลย
"กฎหมายใช้จับคนจน ส่วนฉันมันรวย แถมยังถูกหวยเบอร์ใหญ่เพราะได้แบ็กหลังดี"
หมอนี่ดูมั่นใจมากว่าตัวเองทำเลวแค่ไหนก็รอดเงื้อมมือกฎหมาย
"อ๊ะ ปล่อยนะ ฉันไม่ไป!" อีกไม่กี่ก้าวก็จะเข้าสู่เขตป่าทึบแสนน่ากลัวนั้นแล้ว ฉันเลยพยายามฝืนแรงไม่เดินต่อไปให้ได้มากที่สุด
"อย่าลีลา รีบ ๆ เดินไป ถ้าบอกว่ารู้จักเจ้าของสนามเดี๋ยวก็มีคนคาบข่าวไปบอกเอง"
คนที่จับฉันไว้บอกเสียงเรียบพร้อมกับดันฉันให้เดินไปข้างหน้าต่อ
หรือว่าที่หมอนั่นบอกว่าพิสูจน์คือเรื่องนั้น ที่ฉันบอกว่าสนิทกับพวกเฮียเบิ้ม?
แต่เรื่องนั้นฉันไม่ได้โกหกจริง ๆ นี่นา ถ้าอยากรู้ก็ไปถามพวกเฮียเบิ้มดูไม่ง่ายกว่าการลักพาตัวฉันแบบนี้เหรอ
"ว่า?" กำลังตบตีกับความคิดตัวเอง เสียงมือถือของหัวหน้าแก๊งก็ดังขึ้น
เขารับสายพร้อมรอยยิ้มชอบใจที่มุมปากตามมา
"คนสวยไม่ได้โกหกนี่หว่า" มือสกปรกเหมือนจิตใจเขายื่นมาจับปลายคางฉัน
"ในเมื่อรู้แล้วก็ปล่อยฉันไปสิ"
เดาเอาว่าคนที่โทร.มาหาเขาคงเป็นสายในสนามแข่ง
"ปล่อยง่าย ๆ ก็ไม่ใช่แก๊งตีเหล็กน่ะสิ"
แก๊งตีเหล็ก? ชื่ออะไรเชยสิ้นดี
"พวกมันกำลังตามมา ใครจะอาสาเอาน้องคนสวยไปไว้ตรงนั้น"
มองตามสายตาที่คนพูดเบือนไป มันเป็นทิศทางที่มีต้นไม้สูงขึ้นเต็มไปหมด ดูแล้วไม่น่าเข้าไปเหยียบสักนิด
"ผมเอง" หนึ่งในแก๊งที่ควงสาวคนหนึ่งมารีบอาสา
"ให้ทำไงพี่โทนบอกผมได้เลย"
อ้อ หมอนี่ชื่อโทนสินะ
"มึงเอาน้องคนสวยไปมัดไว้ที่ต้นไม้ต้นนั้นแล้วคอยจับตาดูอยู่ห่าง ๆ ถ้าสบโอกาสก็เล่นแม่งให้ได้เลือดสักคนแล้วหนีเข้าป่าไป"
นี่เหรอนักเลง แบบนี้ไม่มีศักดิ์ศรีเลยนะ รอบทำร้ายไม่มีความเป็นลูกผู้ชาย
"จัดให้เฮีย ผมรู้ว่าเฮียอยากได้เลือดใครมากที่สุด"
ฉันไม่รู้ว่าสองคนนี้หมายหัวใครไว้เป็นพิเศษ แต่ที่แน่ ๆ ฉันจะปล่อยให้คนอื่นมาเดือดร้อนเพราะตัวเองไม่ได้
"ไปกันคนสวย"
"โอ๊ย! เบา ๆ สิ" ยังไม่ทันคิดแผนออกเลยว่าจะหนียังไงก็โดนผลักจากทางด้านหลังให้เดินหน้าต่อซะแล้ว
สุดท้ายฉันก็เอาตัวรอดเองไม่ได้ ถูกหนึ่งในแก๊งตีเหล็กอะไรนั่นจับมามัดไว้กับต้นไม้ใหญ่ห่างจากถนนราว ๆ สามสิบเมตร แถมยังถูกปิดปากด้วยผ้าอีก ทำแบบนี้ฉันก็ส่งเสียงขอความช่วยเหลือใครไม่ได้น่ะสิ
"เบา ๆ สิ ตรงนี้กิ่งไม้เยอะเดี๋ยวก็เกี่ยวขาฉันบาดพอดี"
"ได้ที่รัก ฉันจะเบา ๆ แล้วกันนะ"
"อ๊ะ อื้อ จักจี้"
เสียงบัดสีบัดเถลิงดังขึ้นอยู่ด้านหลังฉันไม่กี่ก้าว คนพวกนี้เป็นยังไงกันนะ พื้นที่แบบนี้ สถานการณ์แบบนี้ยังจะมาทำอะไรแบบนั้นลงอีก
"อื้อ อื้อ" พยายามดิ้นไปดิ้นมาเผื่อเชือกที่มัดอยู่จะคลายออก แต่เหมือนจะไม่ได้ผลเหมือนตามละครที่เขาทำกัน
มองไปทางไหนรอบ ๆ ตัว ก็มีแต่ป่าเต็มไปหมด ความสว่างจากดวงจันทร์แทบจะลงมาไม่ถึงพื้นดินเพราะปกคลุมด้วยไม้ใหญ่
หัวใจที่เริ่มหวาดกลัวพวกสัตว์มีพิษต่าง ๆ และกังวลจะเอาตัวรอดยังไงเริ่มเกาะกินหัวใจ
จวบจนแสงไฟจากมุมหนึ่งสาดส่องเข้ามาจากที่ไกล ๆ
"พอก่อน พวกนั้นมากันแล้ว"
"ต่ออีกนิดสิฉันกำลังจะเสร็จแล้ว"
"อย่ามางี่เง่านะโรส ใส่เสื้อผ้าซะแล้วดูว่าไอ้มนุษย์หน้าตายนั่นมาด้วยหรือเปล่า"
เพียงแต่คำ ๆ นั้น หลุดออกมา ฉันก็รู้ในทันทีเลยว่าคนที่หัวหน้าพวกเขาอยากเล่นงานที่สุดเป็นใคร
แต่พวกเขาอาจจะผิดหวัง เพราะนี่คือการมาช่วยฉัน คนที่พวกเขารอไม่มีทางโผล่มาให้เห็นหน้าแน่ ๆ
Yamrol's part
"เดินช้า ๆ หน่อยสิ เธอรู้หรือไงว่าเจ้าจันทร์ถูกจับไปที่ไหน"
"ไม่รู้แหละ ฉันเป็นห่วงเธอนี่!"
"ใคร ๆ ก็ห่วงเธอทั้งนั้นถึงได้ออกตามหาอยู่นี่ไง"
กิเลนพยายามรั้งฉันให้ใจเย็น ๆ แต่ตอนนี้มันเย็นไม่ไหวแล้วไง เจ้าจันทร์ถูกพวกที่ชอบทำร้ายผู้หญิงจับไปเชียวนะ
"ทางนี้แน่นะ" รีบหันไปมองเฮียเบิ้มที่ถามคนแถวนี้ที่เห็นเหตุการณ์
"พวกไอ้โทนไปทางป่านั่น"
ฉันมองไปตามมือที่เฮียเบิ้มชี้ให้ดู
โห ทั้งมืดและน่ากลัว แบบนี้เจ้าจันทร์จะไม่กลัวแย่เลยเหรอ
"เดี๋ยว! จะรีบไปไหน"
ด้วยความเป็นห่วงปนรู้สึกผิดขามันเลยก้าวไปเองอัตโนมัติจนถูกกิเลนคว้าเอาไว้
"ฉันจะไปช่วยเธอ"
"ใจเย็น ๆ พวกเราก็กำลังจะไปนี่ไง"
อ้อมกอดแสนอบอุ่นทำให้สติฉันกลับมา กิเลนทั้งลูบผม ลูบหลังเพื่อเรียกสติและขวัญฉัน
"แล้วนี่ไอ้เฮียไปไหนวะ" คำถามลอย ๆ ของกิเลนทำฉันของขึ้นรอบสอง
"อย่าไปสนใจคนใจร้าย ไร้เหตุผลนั่นเลย"
ยิ่งพูดยิ่งโมโห!
เรื่องมันก็ผ่านมาหลายปีแล้วเขายังไม่ลืมมันอีก และที่น่าโมโหกว่าคือ เฮียราชย์กำลังหลอกตัวเองว่าเรื่องเขากับ... ผู้หญิงคนนั้นเป็นความผิดของเจ้าจันทร์คนเดียว
"นั่นไง นึกว่าจะไม่มา" คำพูดของเฮียเบิ้มทำให้ฉันหันไปมองด้านหลังตัวเอง
ผู้ชายร่างสูงโปร่งสีผมโดดเด่นแม้ในความมืดกำลังเดินอย่างสบายอารมณ์มาพร้อมกับลัคกี้
"ก็ยังมีน้ำใจอยู่นี่" บ่นออกมาเบา ๆ คนเดียวไม่ได้อยากให้เจ้าตัวได้ยิน
"เอายังไงต่อดีวะ"
ขนาดเฮียเบิ้มที่เป็นเจ้าของเอ็กซ์ซี๊ดสตรีทที่ถือหุ้นเยอะกว่าและชำนาญทางมากกว่ายังหันไปถามความเห็นจากหุ้นส่วนอีกคนอย่างเฮียราชย์เลย
"มันคงแค่อยากหยอกเสือ" เสียงเรียบนิ่งเอ่ยออกมาอย่างไม่มีความร้อนใจใด ๆ
"เสือที่ว่าน่ะ เสือแก่หรือเสือหนุ่มวะ" ลัคกี้ตบบ่าเฮียราชย์ถามเชิงแซว
"..." คนถูกตั้งคำถามเหลือบหางตามองอย่างเย็นชาแถมไม่ตอบอะไรเพื่อนเขาอีก
"คิดว่ามันจะเหลือกันสักกี่คน"
ฉันปล่อยให้หนุ่ม ๆ วางแผนกันไป ส่วนตัวเองก็พยายามโทร.ติดต่อเจ้าจันทร์จนมือแทบหงิกแต่ก็ไม่มีใครรับสาย
"ขอให้ปลอดภัยนะ"
ถ้ารู้ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ ฉันไม่ปล่อยให้เธอออกมาซื้อของเองคนเดียวหรอก
ไม่น่าชะล่าใจคิดว่าเป็นที่คนของตัวเองเลยไม่ได้เซฟความปลอดภัยใด ๆ ไว้
"เธอรออยู่นี่กับพวกนี้" กิเลนเดินมาบอกหลังจากวางแผนกันเรียบร้อยแล้ว
"ไม่! ฉันอยากเห็นว่าเจ้าจันทร์ไม่เป็นอะไร"
"ยัยนั่นไม่ตายหรอก"
เหลือบตามองค้อนเจ้าของคำพูดนั้นอย่างไม่สบอารมณ์
"เฮียอย่ามาแช่งน้องสาวแยมนะ!" ฉันขึ้นเสียงใส่ทันที
"ได้ข่าว ญาติฉันมีแค่เธอ?" ยังจะมากวนโอ๊ยกันอีก
"เอาน่า ใจเย็น ๆ แล้วรอพวกฉันพาเจ้าจันทร์กลับมา"
กิเลนจับไหล่ฉันพร้อมสบตาให้หายคิดมาก
"นายต้องอย่าให้เธอเป็นอะไรเด็ดขาดนะกิล"
ถ้าเกิดเจ้าจันทร์เป็นอะไรขึ้นมาแยมโรลคนนี้ซวยแน่ ๆ แถมคงรู้สึกผิดเอามาก ๆ เลยด้วยซ้ำ
"อืม" กิ
เลนรับปากก่อนจะปล่อยฉันให้รออยู่ฝั่งนี้กับเด็กที่อู่ของสนามแข่งสามสี่คน
[End part]
แสงสว่างจากไฟฉายเริ่มใกล้เข้ามาทุกที ฉันอยากจะร้องเตือนคนพวกนั้นที่(คิดว่า)กำลังมาช่วยฉันให้รีบกลับไปเพราะนี่คือแผนเลวของพวกนี้
"อื้อ อื้อ" พยายามส่งเสียงแล้วแต่มันทำไม่ได้เพราะปากถูกผ้ามัดไว้
"อื้อ อ่าเอ้าอา" พยายามส่งเสียงบอกพวกเขาไม่ให้เข้ามาเมื่อแสงไฟดวงหนึ่งสาดมาทางฉันพอดี
"พวกนั้นมาแล้ว" เสียงผู้หญิงที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังกับคู่ขาเธอดังขึ้นเบา ๆ
"ถ้ามีโอกาสก็ซัดเลย เน้นไอ้ราชันย์ขี้เก๊ก เข้าใจไหม?"
ยิ่งได้ยินว่าเป้าหมายของคนพวกนั้นคือใครหัวใจฉันยิ่งเต้นตึกตัก
ขอให้เขาไม่มา ขอให้เฮียราชย์ไม่มาช่วยเจ้าจันทร์ด้วยเถอะ
ได้แต่ภาวนาในใจ แม้อีกใจจะบอกว่าไม่ต้องกังวลไปเพราะผู้ชายคนนั้นคงไม่สนใจความเป็นความตายคนที่เกลียดขี้หน้ากันหรอก
"เจ้าจันทร์ อยู่นี่หรือเปล่า"
เสียงตะโกนเรียกชื่อฉันดังขึ้นอย่างไม่เกรงกลัวว่าคนที่จับฉันไว้จะรู้ตัว
"ถ้าได้ยินตอบพวกเราด้วย" ตามมาด้วยเสียงคนอื่น ๆ ที่ไม่คุ้นหู
ทำไมถึงได้บ้าบิ่นกันขนาดนี้นะ หรือพวกเขารู้อยู่แล้วว่าคนของแก๊งตีเหล็กอะไรนี่เก่งแต่สร้างเรื่องไว้แล้วเผ่น
"ไม่เห็นจะมีหมอนั่นเลย" เสียงผู้หญิงคนเดิมดังขึ้น
พอได้ยินแบบนั้นก็รู้สึกดีใจ แต่ก็มีความปวดตุบ ๆ ตามมาเมื่อเขาไม่สนใจฉันอย่างที่เผื่อใจไว้จริง ๆ
"รอดูให้แน่ใจก่อน ถ้าไม่มีก็เผ่น" คู่ขาเธอวางแผนไว้ แล้วเสียงพวกนั้นก็เงียบไป
ฉันรอดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าคนที่ตามหาฉันมากันเยอะแค่ไหนและเสี่ยงอันตรายมากน้อยเพียงใด
"พวกนั้นใกล้เข้ามาแล้ว ไม่มีไอ้ราชันย์จริง ๆ พวกเราเผ่นกันดีกว่า"
เสียงฝีเท้าเหยียบย่ำใบไม้แห้งและท่อนไม้ดังไกลออกไปเรื่อย ๆ จนแน่ใจแล้วว่าคนพวกนั้นไม่อยู่ฉันเลยรีบส่งเสียงให้คนมาช่วยด้วยการเตะเศษไม้ ใบไม้ที่หล่นอยู่ใกล้ ๆให้เกิดเสียงดังสวบสาบ
"ทุกคนเงียบก่อน" เสียงใครไม่รู้ดังขึ้น
ทั่วบริเวณเงียบสงัดฉันเลยส่งสัญญาณใหม่อีกครั้งด้วยวิธีเดิม
"ทางนั้น!" นี่คือเสียงเฮียกิเลน ฉันจำได้
"เจ้าจันทร์!"
เพียงไม่ถึงนาทีความช่วยเหลือที่มากันหลายคนก็เจอฉัน
"พวกนั้นทำอะไรเราหรือเปล่า" เฮียเบิ้มถามพร้อมปลดผ้าปิดปากและแก้มัดให้
"ไม่ค่ะ นอกจากจับมามัดไว้ตรงนี้" ยกข้อมือขึ้นมาดูเป็นรอยแดงช้ำจากเชือกที่พวกนั้นใช้มัดมือ
ให้แม่เห็นรอยพวกนี้ไม่ได้ ไม่งั้นท่านต้องคาดคั้นแน่ ๆ ว่าไปโดนอะไรมา
"ไว้ไปคุยกันที่สนาม เดินไหวนะ" เฮียเบิ้มถามอีกครั้ง ฉันเลยพยักหน้าเป็นคำตอบแล้วเดินตามพวกเขาออกมาจากป่า
ไม่รู้อะไรดลใจให้กวาดสายตามองคนมากกว่าสี่คนที่มาช่วยฉัน
ใจน่ะรู้อยู่แล้วว่าเขาไม่มา แต่ทำไมสายตายังกวาดหาเผื่อจะเจอเขาอยู่มุมหนึ่งมุมใดก็ไม่รู้