เพราะคำพูดดังกล่าว ทำให้หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา เด็กหญิงตัวน้อยก็กลายเป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้านหลังนี้ โดยมีอดิศร ลูกชายคนโตของนางซึ่งรับราชการทหารเป็นผู้จดทะเบียนรับเด็กหญิงเป็นบุตรบุญธรรมจวบจนกระทั่งทุกวันนี้
“ยาย ยายจ๋า” เสียงเรียกของหลานสาวอีกคนดังขึ้น พร้อมกับสะกิดที่แขนยิกๆ ทำให้คนกำลังคิดถึงเรื่องในอดีตถึงกับสะดุ้งเฮือก
“นุชว่าอะไรหรือลูก”
“นุชบอกว่าถ้าพี่หนึ่งอยู่ด้วยนะ นุชจะให้ไปต่อยหน้าไอ้พวกปากไม่ดีให้หมดทุกคนเลย” เด็กหญิงพูดถึงอติรัตน์ ลูกชายของลุงซึ่งเรียนหนังสืออยู่ที่จังหวัดชลบุรี และจะกลับมาเฉพาะวันหยุดเท่านั้น
“นั่นสินุช ถ้าพี่หนึ่งอยู่คงไม่มีใครกล้าพูดจาล้อเลียนเราหรอก” เด็กหญิงตัวผอมยิ้มกว้างและรีบพยักหน้าเห็นด้วย ทำให้แฝดคนละฝาหันไปส่งค้อนให้ประหลับประเหลือก
“ทีตอนนี้ทำมาเป็นปากเก่งนะน้ำ เวลาถูกล้อทีไรนุชเห็นร้องไห้ทุกครั้ง”
คนถูกค่อนขอดได้แต่ยิ้มแหยๆ ไม่กล้าเถียงเพราะเป็นเรื่องจริง
“ใครจะเก่งเหมือนเราล่ะยายนุช ทำตัวเป็นอันธพาล มีเรื่องกับคนโน้นคนนี้ไม่เว้นแต่ละวัน”
อารยาเอามือจิ้มหน้าผากลูกสาวที่เวลานี้ค่อยคลายจากอาการเสียใจ และดูเหมือนเจ้าตัวจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปถามผู้เป็นยายอย่างสงสัย
“ยายจ๋า ทำไมต้นมะม่วงหลังบ้านเราถึงมีมดแดงอยู่เยอะแยะนักล่ะจ๊ะ”
นางนวลปรางทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทำให้เด็กหญิงอรุณรัศมีพลอยเงยหน้าขึ้นมองตาแป๋วด้วยความอยากรู้คำตอบไปด้วยอีกคน
“พวกมันมาอาศัยทำรังที่ใบมะม่วงไงล่ะ จำไว้นะ ถ้ามะม่วงต้นไหนมีมดแดงเยอะ แสดงว่าต้นนั้นลูกจะดก ตอนที่ชกต้นมันไม่เคยสังเกตเลยหรือไง”
เด็กหญิงยิ้มเจื่อนๆ “ไม่เคยเลยจ้ะ แล้วถ้าเราไม่อยากให้ต้นมะม่วงมีมดแดงต้องทำยังไงจ๊ะยาย”
คำถามของหลานสาวเล่นเอานางนวลปรางเหลียวไปมองหน้าลูกสาว เพราะไม่รู้จะตอบว่ายังไงดี ทว่าเมื่อเหลือบเห็นพี่ชายสองคนกำลังเดินขึ้นบันได ก็ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก เพราะรู้แล้วว่าจะโบ้ยคำตอบให้ใคร จึงหันไปบอกกับหลานสาว โดยมีเด็กหญิงอีกคนนั่งรอฟังคำตอบอยู่อย่างใจจดใจจ่อเหมือนเคย
“ไปถามตาแก้วกับตามีโน่นไป เรื่องนี้ยายไม่รู้”
เด็กหญิงตัวอ้วนพุ่งความสนใจไปยังคนที่ถูกพาดพิงถึงทันที และยังไม่ทันที่ชายชราทั้งสองจะนั่งลง เด็กหญิงก็ยิงคำถามใส่โดยไม่ให้ทั้งคู่ได้ทันตั้งตัวกันเลยทีเดียว
“ตามีจ๋า ถ้าเราไม่อยากให้ต้นมะม่วงมีมดแดงต้องทำยังไงจ๊ะ”
คนถูกเรียกตามีนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ก่อนหันไปสบตากับตาแก้วแล้วเกี่ยงให้อีกฝ่ายตอบ
“เอ็งตอบหลานสิวะไอ้แก้ว”
ตาแก้วยกมือขึ้นเกาศีรษะดังแกรกๆ จำต้องตอบ แต่ดูเหมือนจะไม่ค่อยมั่นใจในคำตอบเท่าไหร่นัก
“เท่าที่ตารู้มา แต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่านะ ถ้าไม่อยากให้มะม่วงต้นไหนมีมดแดง ให้เอาเนื้อจระเข้ไปแขวนไว้ใต้ต้นนั้น เมื่อมดแดงไปแตะเข้าก็จะมีปีกงอกออกมา และพวกมันก็จะพากันบินหนีไปจนหมด แต่ตาเองยังไม่เคยพิสูจน์นะ” ตาแก้วถึงกับยกชายผ้าขาวม้าขึ้นซับเหงื่อเมื่อตอบจบ
“แล้วเราจะไปหาเนื้อจระเข้มาจากไหนล่ะจ๊ะตา” เด็กหญิงอรุณรัศมีถามเสียงแจ๋ว ดวงตาคู่โตมีแววอยากรู้
“เอ ตาไม่รู้เหมือนกันนะน้ำ” ตาแก้วตอบพลางหัวเราะแห้งๆ ออกมาอย่างจนปัญญา
ครั้นนางนวลปรางเห็นพี่ชายทั้งสองกำลังจะจนมุมหลานสาวเลยหาทางช่วยทางอ้อม
“นี่พี่มีกับพี่แก้วไปต้มเหล้าป่ากันมาใช่หรือเปล่า”
คำถามดังกล่าวทำเอาชายชราทั้งสองมองหน้ากัน ก่อนจะพากันตอบเสียงอ้อมแอ้ม โดยตาแก้วเป็นผู้ตอบก่อน
“ต้มไว้ทำยาดองเหล้าไงล่ะนวล แก้ปวดเมื่อยเนื้อตัวดีนัก”
และตามีก็เสริมขึ้นว่า “เอาไว้กินก่อนข้าวไงล่ะ จะได้กินข้าวได้เยอะๆ”
นางนวลปรางขยับปากจะบ่นตามเคย ทว่าไม่ทันหลานสาวตัวอ้วนที่ชิงถามขึ้นมาเสียก่อน
“นุชขอกินบ้างได้หรือเปล่าจ๊ะตา ตอนนี้นุชปวดมือมากๆ”
เด็กหญิงตัวผอมก็พูดขึ้นมาบ้างว่า “น้ำก็ขอกินบ้างสิ ยายบอกว่าน้ำกินข้าวอย่างกับแมวดม”
คำพูดซื่อๆ ของหลานสาวทั้งสอง ทำเอาชายสูงวัยทั้งคู่โบกไม้โบกมือเป็นพัลวัน
“ไม่ได้หรอกลูก เป็นเด็กเป็นเล็กจะกินได้ยังไง ตาไปอาบน้ำก่อนนะ”
ตอบแล้วตาแก้วก็ผลุนผลันลุกขึ้นเดินเข้าไปในบ้านทันที โดยมีคู่หูลุกตามไปติดๆ ด้วยกลัวจะถูกน้องสาวเทศนาเรื่องต้มเหล้าต่ออีก
นางนวลปรางมองหลานสาวทั้งสองแล้วก็อดหัวเราะในความช่างซักไม่ได้ เด็กก็คือเด็กวันยังค่ำ เมื่อกี้ยังร้องห่มร้องไห้กันอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับนั่งตาแป๋วทั้งที่ใบหน้ายังคงเปื้อนคราบน้ำตา
ตกค่ำหลังจากกินข้าวเย็นกันเสร็จเรียบร้อย เด็กหญิงทั้งคู่ก็มานั่งฟังผู้เป็นยายอ่านวรรณคดีไทยให้ฟังเหมือนเช่นทุกวัน
“ทำไมยายถึงตั้งชื่อนุชว่าบุษบามินตราล่ะจ๊ะ ชื่อของน้ำก็เหมือนกัน ที่โรงเรียนไม่มีใครชื่อยาวๆ เหมือนเราสองคนเลยนะจ๊ะ”
คนช่างซักช่างถามไม่พ้นเป็นเด็กหญิงบุษบามินตราอีกตามเคย เพราะอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองผิวก็ดำแถมยังตัวอ้วนอีกต่างหาก แต่ดันชื่อเพราะพริ้งไม่เห็นเข้ากับตัวเองเลยสักนิด ถามแล้วก็ก้มลงมองผิวตัวเองอย่างไม่ชอบใจนัก
“เพราะว่ายายชอบอ่านวรรณคดีไทยไงล่ะ อย่างของนุชยายเอามาจากชื่อของนางเอก”
“แล้วทำไมไม่ชื่อบุษบาเฉยๆ เหมือนในเรื่องล่ะจ๊ะ” หลานสาวซักต่ออย่างสนใจ
“บ๊ะ ช่างสงสัยจริงๆ ไอ้หลานคนนี้ ชื่อบุษบามันสั้นไป ยายเลยเติมคำว่ามินตราลงไป ให้มันเพราะและทันสมัยขึ้นไงล่ะ” นางนวลปรางตอบพลางส่ายหน้ากับความช่างสงสัยของหลานสาว
“แล้วชื่อของน้ำเป็นใครในเรื่องพระอภัยมณีล่ะจ๊ะ” เด็กหญิงอรุณรัศมีเอ่ยถามขึ้นบ้าง
“อรุณรัศมีเป็นพระธิดาของศรีสุวรรณ และเป็นพระมเหสีของสินสมุทรไงล่ะ” นางนวลปรางอธิบายให้เด็กหญิงตัวผอมฟัง ก่อนหันไปทางร่างอ้วนๆ ของหลานสาวอีกคน
“นุชจำกลอนจากในเรื่องอิเหนาที่ยายเคยท่องให้ฟังบ่อยๆ ได้ไหม ลองท่องให้ยายฟังหน่อยสิ”
ไม่นานเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหญิงบุษบามินตราก็ดังกังวานขึ้น เป็นคำกลอนที่ถูกผู้เป็นยายเคี่ยวเข็ญให้ท่องทุกวันตั้งแต่จำความได้จนจำได้ขึ้นใจ
แล้วว่าอนิจจาความรัก พึ่งประจักษ์ดั่งสายน้ำไหล
ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไป ที่ไหนเลยจะไหลคืนมา
สตรีใดในพิภพจบแดน ไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า
ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตรา จะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์
โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิต
จะออกชื่อลือชั่วไปทั่วทิศ เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใคร
“ทำไมยายต้องให้นุชท่องกลอนบทนี้ทุกวันด้วยล่ะจ๊ะ” เด็กหญิงถามต่อทันทีที่ท่องจบ เพราะเก็บความสงสัยไว้นานแล้ว
นางนวลปรางยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบศีรษะหลานสาวทั้งคู่ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ยายบอกตอนนี้เราสองคนคงไม่เข้าใจหรอก เอาไว้ให้โตกว่านี้ แล้วจะเข้าใจเองว่าที่ยายสอนหมายความว่าอย่างไร”
“จ้ะยาย แต่นุชยังสงสัยอีกอย่าง”
“ทำไมถึงสงสัยหลายอย่างนักล่ะนุช ยายไม่เห็นน้ำจะช่างซักช่างถามเหมือนเราเลยนะ”
คนเป็นยายพูดพลางหันไปทางเด็กหญิงอีกคนที่นั่งฟังแล้วยิ้มเพียงอย่างเดียว มีเพียงดวงตากลมโตเท่านั้นที่ฉายแววอยากรู้อย่างเห็น
“แล้วอยากจะถามอะไรยายอีกล่ะหือ”
“นุชแค่อยากรู้ว่าทำไมนุชถึงได้ตัวดำ ไม่เห็นสวยเหมือนแม่เลยล่ะจ๊ะ” น้ำเสียงของเด็กหญิงบุษบามินตราเจือแววน้อยอกน้อยใจตามประสาเด็ก เพราะไม่ชอบใจนักที่เวลาใครๆ เห็นเธออยู่กับผู้เป็นแม่แล้วมักจะพากันพูดว่า ไม่เห็นสวยเหมือนแม่เลยสักนิด
นางนวลปรางฟังแล้วอดหัวเราะชอบใจออกมาไม่ได้ นางยกมือขึ้นเชยคางหลานสาวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“แล้วใครบอกล่ะว่านุชไม่เหมือนแม่ เพียงแต่เราน่ะชอบวิ่งตากแดด ตากลม ตัวก็เลยดำแบบนี้ยังไงล่ะ”
เด็กหญิงอรุณรัศมีรีบพยักพเยิดอย่างเห็นด้วยทันที
“ใช่แล้ว นุชชอบวิ่งตากแดดอย่างที่ยายว่าแหละ ตัวเลยดำ”
“ยายพูดจริงๆ หรือจ๊ะ” เด็กหญิงบุษบามินตราเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก เพราะดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ ผู้เป็นแม่นั้นหน้าตาสวยสดงดงาม รูปร่างก็อรชรอ้อนแอ้นราวกับนางในวรรณคดีอย่างที่หลายคนบอก แต่ตัวเธอกลับทั้งอ้วนทั้งดำ
“จริงสิ ยายจะโกหกนุชไปทำไมเล่า ตากับคิ้วของนุชน่ะสวยเหมือนแม่”
เด็กหญิงฟังแล้วก็ต้องนิ่วหน้าอย่างขัดอกขัดใจ เพราะคำชมดังกล่าวมีคนพูดให้ได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าดวงตาของเธอนั้นสวย คิ้วเรียงกันเหมือนวาดแต่สวยเพียงแค่สองอย่างไม่เห็นจะต้องการ
นอกจากนี้ยังมีคำถามที่เพิ่งนึกได้ว่าผู้เป็นแม่ยังไม่ได้ตอบ ว่าทำไมเธอถึงไม่มีพ่อเหมือนเด็กคนอื่น ตั้งแต่จำความได้ตนเองยังไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยสักครั้ง
เด็กหญิงสัญญากับตัวเองว่าจะต้องทวงคำตอบจากผู้เป็นแม่ให้ได้