“แล้วก่อนจะลงจากรถ ทำไมไม่รู้จักแต่งตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน” ชายหนุ่มต่อว่าหญิงสาวออกมาตรงๆ โดยไม่กลัวว่าเจ้าตัวจะโกรธเคืองแม้แต่น้อย วิภาวีเป็นเพื่อนเก่าตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ และมักจะชอบทำอะไรตามใจตัวเองอยู่เสมอ โดยไม่คำนึงถึงมารยาทของสังคมนัก
“วิกกี้ร้อนนี่คะ กายอย่าลืมสิว่าวิกกี้เพิ่งกลับจากต่างประเทศ ยังไม่ค่อยชินกับอากาศเมืองไทยนัก” คนพูดแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
นัยน์ตาคู่สวยเกินชายเบือนกลับไปมองกระจกโดยไม่ตั้งใจ แล้วก็ต้องถอนใจอย่างหงุดหงิดอีกครั้ง เมื่อเห็นแก้มข้างซ้ายของเขามีรอยลิปสติกติดอยู่
“ผมเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมวิกกี้ ว่าที่นี่คือเมืองไทย ไม่ควรทำตัวเป็นฝรั่งจ๋ามันไม่เหมาะ” เทวินทร์พูดเสียงเข้มพลางใช้ทิชชูเช็ดคราบลิปสติกบนใบหน้าแรงๆ ด้วยอาการหงุดหงิดที่ทวีมากขึ้นโดยไม่มีเหตุผล
นี่กระมัง...สาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเบ้ริมฝีปากใส่ คงจะคิดเลยเถิดว่าเขากับวิภาวีทำอะไรกันก่อนลงจากรถเป็นแน่ เพราะมีรอยลิปสติกติดอยู่ที่แก้มเขาเป็นหลักฐาน คาดว่าคงเป็นตอนที่เขาลงมาเจอกับวิภาวีก่อนเกิดเหตุเป็นแน่
แล้วทำไมเขาจะต้องหงุดหงิดกับท่าทางของผู้หญิงคนนั้นด้วยนะ ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ!
“วิกกี้ก็แค่หอมแก้มทักทาย กายโกรธด้วยเหรอคะ”
วิภาวีพูดน้ำเสียงกระเง้ากระงอดแล้วมองเขาอย่างตัดพ้อ เธอหลงรักชายหนุ่มผู้นี้ตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ต่างประเทศ แต่เขาให้เธอแค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น เคยนึกท้อจนอยากจะถอดใจอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง เธอเพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศได้ไม่นาน หลังจากไปเรียนๆ เล่นๆ อยู่หลายปี ทว่าก็ไม่จบอะไรกลับมาสักอย่าง
“ผมเคยบอกหลายครั้งแล้วว่าไม่ชอบ คุณก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วนะวิกกี้” เทวินทร์พูดสีหน้าเครียดขรึม บอกให้หญิงสาวรู้ว่าเขาไม่ชอบการแสดงออกของเธอ ที่มักแสดงกิริยาเป็นฝรั่งจ๋าโดยการหอมแก้มเวลาพบหน้ากัน
“วิกกี้ขอโทษ แล้วเรื่องงานของคุณพ่อที่เราจะคุยกันวันนี้ล่ะคะ กายจะว่ายังไง” วิภาวีรีบหยิบยกเอาเรื่องงานขึ้นมาพูดเพื่อเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเห็นงานเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
“เอาไว้คุณค่อยเข้าไปคุยเรื่องนี้กับผมที่บริษัทแล้วก็กัน เพราะต้องมีเรื่องสัญญาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”
แม้จะยังอยู่ในอาการหงุดหงิดอยู่เพียงใดก็ตาม แต่เทวินทร์ก็จำต้องข่มอารมณ์ไว้เพื่องาน เพราะบิดาของวิภาวีซึ่งทำธุรกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์จากต่างประเทศจ้างบริษัทของเขาทำโฆษณาและเว็บไซต์ควบคู่กันไปด้วย และนี่
เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาแวะมายังห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ เพราะนัดหญิงสาวมาคุยธุระเรื่องงานนั่นเอง
วิภาวีหันชำเลืองมองชายหนุ่มที่เธอหลงรักนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจถามโพล่งขึ้นมา
“กายสนใจผู้หญิงคนเมื่อกี้หรือคะ”
คำถามดังกล่าวทำให้เทวินทร์นิ่งงันไปชั่วขณะ เบือนหน้าไปมองคนถามแวบหนึ่ง ก่อนจะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียว
“ผมจะไปสนใจได้ยังไง เพิ่งจะเคยเห็นหน้าค่าตากัน คุณรีบลงไปเถอะ เดี๋ยวผมจะต้องไปทำธุระอีก”
วิภาวีมองหน้าคนพูดอย่างไม่ค่อยจะเชื่อนัก เพราะเธอเห็นสายตาของเขายามจ้องไปที่ผู้หญิงคนนั้น มันเป็นสายตาของผู้ชายยามเจอผู้หญิงถูกใจชัดๆ มองจนกระทั่งลับสายตาด้วยซ้ำ แต่เธอก็ยอมเปิดประตูรถลงไปอย่างไม่ค่อย
จะเต็มใจนัก แล้วเดินตรงไปยังรถคันหรูของตัวเองที่จอดอยู่ใกล้ๆ ก่อนจะขับรถพุ่งทยานออกไปทันที
เทวินทร์มองตามหลังรถของวิภาวี แล้วก็อดเก็บคำพูดของอีกฝ่ายมาขบคิดไม่ได้ เขายังนึกแปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกันว่าเหตุใดถึงจำสาวสวยรูปงามนามเพราะคนนั้นได้ติดตานัก ทั้งที่ถูกเธอเบ้ปากใส่ แถมยังมองผ่านเลยไปเหมือนเขาเป็นตัวอะไรสักอย่าง อย่างที่ไม่มีใครเคยทำกิริยาเช่นนี้กับเขามาก่อน สร้างความขุ่นเคืองให้เขาอยู่ไม่น้อย
ถ้าจะบ้า! ทำไมจะต้องไปจำเธอได้ด้วยนะ
ชายหนุ่มคิดอย่างหงุดหงิดหัวใจ รีบปัดใบหน้างามจับตาของเธอออกไปจากสมองโดยเร็ว แต่กลับทำได้อย่างยากเย็นยิ่ง! หรือเขาสนใจเธอตั้งแต่แรกเห็นอย่างที่วิภาวีพูดจริงๆ เทวินทร์ตั้งคำถามให้ตัวเองอยู่ในใจ
ทว่าคำตอบจากส่วนลึกก็สวนออกมาทันควัน เป็นไปไม่ได้หรอกน่า เขาไม่เคยเชื่อทฤษฎีรักแรกพบ มันเป็นเรื่องไร้สาระ มีแต่ในละครน้ำเน่าเท่านั้น
สามอาทิตย์ต่อมา
ท่ามกลางท้องฟ้ามืดครึ้ม เริ่มมีลมพายุพัดกระหน่ำ รวมทั้งเสียงฟ้าร้องครืนครันอย่างน่ากลัว ไม่นานสิ่งที่หลายคนคาดการณ์ไว้ก็เกิดขึ้น นั่นคือสายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างไม่ขาดสาย ก่อนจะค่อยๆ หนักขึ้นตามลำดับ พื้นที่ตามชายคาตึกจึงมีผู้คนทยอยกันมายืนพักหลบฝนอย่างหนาแน่น
แต่ละคนต่างแหงนเงยขึ้นมองสายฝนที่เทลงมาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด บ้างก็ก้มลงสำรวจเนื้อตัวและเสื้อผ้าที่เปียกปอนของตัวเอง ซึ่งก็มีบุษมามินตรารวมอยู่ในนั้นด้วย
“บ้าที่สุด จะมาตกอะไรกันตอนนี้ละเนี่ย”
หญิงสาวบ่นพึมพำหลังวิ่งเข้ามายืนหลบฝนเป็นคนล่าสุด มีผลทำให้ดวงหน้างดงามจับตาของเธอตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนที่ยืนอยู่ก่อนหน้านี้ทันที ดวงตาคู่งามแหงนมองท้องฟ้าอย่างวิตกกังวล แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนใหญ่จากกระเป๋าสะพายออกมาเช็ดไปตามใบหน้าและเส้นผมสลวย ซึ่งเวลานี้ถูกละอองฝนจับจนเปียกชื้น ทั้งรู้สึกขวยเขินต่อสายตาหลายคู่ที่ลอบมองมาอย่างชื่นชม