“ตื่นแล้วหรือ?” เสียงคนข้างกายดังขึ้นข้างตัวทำให้กุลธิดาที่กำลังงัวเงียตื่นค่อย ๆ ลืมตามารับแสงในยามเช้า
“ตื่นแล้วค่ะ” เหมือนตัวเธอเองจะลืมไปว่ามีคนนอนอยู่ข้างกาย ทำให้กุลธิดาเผลอเบิกตาโพลงกว้างก่อนจะมองเห็นเจ้าของใบหน้าที่แสนดูดีกำลังเหม่อมองมาทางเธอ
กุลธิดารู้สึกหน้าร้อนผ่าวเมื่อมองเห็นคนที่ตื่นอยู่ก่อนนอนตะแคงหน้ามาทางเธอพร้อมกับจ้องมองเธอด้วยสายตาเป็นประกาย ให้เธอต้องหลุบตาลงต่ำไม่กล้าสู้หน้าเขา แต่ก็ต้องหน้าร้อนขึ้นมาอีกหนที่เห็นร่างกายของตัวเองในตอนนี้อยู่ในสภาพที่เปลือยเปล่าไม่มีเสื้อผ้าปกคลุมร่างกายเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
“เอ่อ...” กุลธิดากำผ้าห่มขึ้นมาห่มปิดมิดลำคอด้วยความเขินอายทำให้คนที่นอนมองหน้าเธออยู่ก่อนเผลอยกยิ้มให้กุลธิดาอย่างนึกเอ็นดู
ศึกหนักเมื่อคืนที่กว่าจะผ่านพ้นไปทำให้ร่างกายของเธออ่อนเพลีย เราใช้เวลาร่วมกันในเรือนหอจนเกือบรุ่งสาง ลากถูกันไปมาก่อนสุดท้ายจะมาสลบอยู่ที่เตียงที่มีผ้าห่มและหมอนช่วยให้หลับสบาย
“จะ...จะนอนจ้องหน้ากันอีกนานไหมคะ...” เธอเอ่ยถามอย่างเขินอายเมื่อคนตรงหน้าดูมีท่าทีจะไม่ยอมหยุดจ้องหน้าเธอง่าย ๆ
“จ้องหน้าภรรยาผิดตรงไหน” คนเจ้าเล่ห์ตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ทำให้ใบหน้าที่พึ่งจะหายร้อนไปเมื่อครู่กลับมาร้อนผ่าว ๆ อีกครั้ง
“ปะ...ไปอาบน้ำดีกว่า” กุลธิดาผุดลุกขึ้นจากเตียงด้วยความเขินอายพร้อมทั้งคว้าผ้าห่มผืนหน้าเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในห้องน้ำก่อนจะปิดประตูใส่คนที่นอนยกยิ้มมองการกระทำของคนขี้เขินอย่างแสนจะหลงใหล
เธอใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก่อนจะเดินออกมาด้วยชุดไปรเวทอย่างเสื้อยืดกางเกงยีนส์ขาสั้นสบาย ๆ ที่คุณแม่เตรียมมาให้เมื่อคืนนี้
เธอเดินออกไปยังส่วนห้องรับแขกของโรงแรมก่อนจะมองเห็นใครอีกคนที่ยังอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ มีกาแฟอยู่บนโต๊ะหนึ่งแก้ว ในมือก็อ่านหนังสือพิมพ์ต่างประเทศ นั่งไขว้ห่างโชว์ขายาวให้หัวใจเธอได้ทำงานหนักแต่เช้า
“ฉันเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว” เขาว่าทั้งที่ตายังไม่ละออกจากหนังสือพิมพ์ จำให้เธอต้องมองไปยังโต๊ะอาหารที่มีอาหารวางเรียงรายอยู่นับสิบอย่าง
เธอเดินไปหย่อนก้นนั่งลงบนโต๊ะก่อนจะมองไปยังแผ่นหลังของใครอีกคนที่ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง
“คุณยีนส์ไม่ทานหรือคะ” เธอเอ่ยถามในขณะที่อีกคนกำลังเปลี่ยนหน้าหนังสือพิมพ์
“ปกติฉันไม่ทานอาหารเช้า” เขาตอบแต่สายตายังไม่ละออกจากหนังสือพิมพ์
ให้ตายเถอะ! ในหนังสือนั้นมีอะไรนักหนา!
“แต่นี่มันสายมากแล้วนะคะ มาทานเถอะ” เธอยังคงดื้อดึง
ยีนส์วางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ ก่อนจะก้าวขายาว ๆ เข้ามาใกล้กับเธอ ชุดคลุมอาบน้ำที่ดูจะใส่ไม่เรียบร้อยของเขาเผยให้เห็นไหปลาร้านูนขึ้นมาทั้งสองข้างและเนินอกขนาดพอดีมือประจักรแก่สายตาของกุลธิดาทำให้เธอต้องรีบมุดหน้าลงพื้นแทบจะทันที
“ฉันไม่รู้ว่าเธอชอบอะไร ฉันเลยสั่งมาให้หมดเลย” เขาว่าก่อนจะหย่อนก้นนั่งลงด้านข้างเธอ “ทานสิ มีสอบตอนบ่ายไม่ใช่หรือ?” เขาตักไข่เจียวเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจ
“รู้ได้ไงคะว่าเกวมีสอบ?” เธอถามข้อสงสัยของเธอในทันที
“เธอเป็นภรรยาของฉัน” ประโยคของเขาทำให้เธอได้แต่ตักอาหารตรงหน้าเข้าปากโดยไม่มีคำท้วงติงใด ๆ อีกเลย
“เลิกแล้วก็โทรมา ห้ามกลับไปกับคนอื่น” เขาว่าทันทีเมื่อรถจอดสนิทที่หน้าคณะของเธอ
“ค่ะ” กุลธิดาที่กำลังจะก้าวเท้าลงจากรถต้องหยุดชะงักเมื่อมีมือของใครบางคนมากอบกุมข้อมือของเธอไว้ก่อน “อื้อ!”
ญานิศราสอดมือเข้าไปรั้งท้ายทอยของเธอไว้ก่อนจะออกแรงดึงให้ใบหน้าของกุลธิดาโน้มใกล้เข้ามาหาเขา เขาบรรจงนาบริมฝีปากสวยของตัวเองเข้าไปประกบส่วนเดียวกันกับเขา จูบที่เนิบนาบและนุ่มนวลทำให้เธอเผลอเคลิบเคลิ้มไปกับสัมผัสที่เขานั้นมอบให้ กลิ่นน้ำหอมบนตัวเขามันหอมจนเธออยากจะรั้งร่างของเขาให้อยู่ข้างเธอตลอดเวลา
“ทำให้ได้ล่ะ” ทันทีที่ริมฝีปากของเธอเป็นอิสระเขาก็เอ่ยบอกในฉบับตามแบบของตัวเอง แทนคำพูดว่า ‘ตั้งใจสอบนะ’
“คะ..ค่ะ” เธอรีบรับคำทั้งใบหน้าที่ร้อนผ่าว และก้าวลงจากประตูรถเพื่อเดินไปหารัตน์ลดาตามสถานที่ที่นัดแนะกัน
“มาวันแรกก็ผัวมาส่งเลยจ้า” ทันทีที่เห็นหน้าเพื่อนสนิทย่างกรายเข้ามาก็อดไม่ได้ที่หล่อนจะกระแนะกระแหนเพื่อนสาวที่แต่งงานมีผัวเป็นตัวเป็นตน
เธอเองก็สวยไม่ต่างกัน ทำไมฟ้าช่างกลั่นแกล้งให้เธอยังโสดและซิงอยู่อย่างนี้ ฮืออออ
“ผัวเผออะไรไม่ใช่!” ใบหน้าที่ร้อนผ่าวมาจากก่อนหน้านี้มันยิ่งร้อนผ่าวมากกว่าเก่าเมื่อเพื่อนสนิทนั้นเอ่ยแซว
“ไม่ผัวเลยจ้า หน้าแดงเดินมาตั้งแต่สุโขทัย” รัตน์ลดายังคงแซวเพื่อนสาวไม่หยุดปากทำให้กุลธิดาแทบอยากจะมุดแผ่นดินหนีไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
การสอบวิชาสุดท้ายของเธอนั้นสิ้นสุดลง รัตน์ลดาที่ขอตัวกลับก่อนเพราะมีนัดทำให้เธอต้องมานั่งอยู่โดดเดี่ยวที่ใต้ตึกคณะอักษรฯ เพื่อรอให้ใครอีกคนที่ย้ำนักย้ำหนาว่าห้ามไปกับใคร
เธอกำลังจะเข้าโปรแกรมยอดฮิตเพื่อบอกเขาว่าเธอสอบเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ทันได้พิมพ์อะไร ก็มีผู้ชายหน้าตาดีคนหนึ่งเดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ
“พี่เฟรมนะครับ อยู่วิศวะฯ” ชายหน้าตาดีเอ่ยแนะนำตัวทั้งรอยยิ้ม “คือพี่ดู ๆ น้องมาสักพักแล้ว” เขายังว่าต่อก่อนจะยื่นโทรศัพท์มาตรงหน้าเธอพร้อมเข้าโปรแกรมยอดฮิตที่เธอกำลังเปิดค้างไว้อยู่ “พี่ขอไลน์ได้ไหมครับ?” เขายิ้มโชว์เหล็กดัดฟัน
กุลธิดาที่กำลังเลิกลั่กว่าจะทำอย่างไร ก่อนจะมองซ้ายแลขวาและตอนนี้คนทั้งตึกกำลังมองมาที่เธอเป็นตาเดียว เธอจึงจำใจรับมันมาอย่างปฏิเสธไม่ได้
“เธอกำลังจะทำอะไร!” เสียงเย็นยะเยือกแผ่ซ่านรังสีอำมหิตตั้งแต่ที่เธอยังไม่หันไปเห็นหน้าผู้มาใหม่ เธอเองก็รู้ได้ในทันทีว่าเสียงเย็น ๆ นี้มันเป็นเสียงของใคร
“เอ่อ...คุณยีนส์” เธอรีบหันหน้าไปหาผู้เป็นสามีอย่างร้อนรน
“ไม่ทราบว่าป้าเป็นใครหรือครับ?” คนที่ดูสุภาพกับเธอเมื่อครู่กำลังทำหน้ายียวนใส่คนตัวสูงที่ยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงไว้สองข้าง
สูทสีน้ำเงินเข้มตัดกับเสื้อเชิ้ตสีขาวปลดกระดุมสองเม็ดด้านใน ผมสีบลอนด์ที่วันนี้ถูกปล่อยให้ประบ่า มันทำให้เขาดูดีมากจนสาว ๆ ใต้ตึกของเธอเริ่มให้ความสนใจแก่ผู้มาใหม่
เธอหงุดหงิดที่เห็นสาวๆ หลายคนกำลังมองเขาด้วยความหลงใหล!
“ขึ้นรถ” ความหงุดหงิดของเธอกำลังถูกความกลัวเข้าครอบงำ เสียงเย็นชาของเขามันกำลังทำให้เธอเริ่มเป็นกังวล เธอจึงเดินไปเพื่อจะขึ้นรถตามคำสั่งของเขา
“เดี๋ยวครับ ไลน์พี่” เขาถือวิสาสะมาคว้าข้อมือของเธอไว้แน่น
“ปล่อย” ถึงใบหน้าของเขาจะนิ่งเฉยแต่สายตาของเขากำลังแผดเผาไอคนที่กำลังถือวิสาสะจับข้อมือของเธอ
“ไม่ปล่อย มีปัญหาหรอ” เขาทำหน้ายียวนจนเผลอบีบข้อมือของเธอไว้แน่น
กุลธิดาเริ่มมีสีหน้าเจ็บปวดเพราะเขาบีบข้อมือของเธอไว้ เธอพยายามจะสะบัดข้อมือออกจากเขาแต่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอสู้แรงผู้ชายอย่างเขาไม่ได้เลยสักนิด
“ฉัน บอก ให้ ปล่อย” เขาเน้นช้า ๆ ชัด ๆ ทีละคำจนผู้ชายที่บีบข้อมือของเธอเริ่มมีสีหน้าระแวงขึ้นมาเล็กน้อยและคลายข้อมือออกจากการกอบกุมของเธอ ทำให้เธอสามารถสะบัดมือของตัวเองออกมาจากการกอบกุมได้
เธอเลือกจะเดินมาหาเขาที่ยังคงเอามือซุกอยู่ที่กางเกงทั้งสองข้าง ญานิศราดึงมือข้างซ้ายของตัวเองขึ้นมาก่อนจะถือวิสาสะวางมือลงไปบนหัวของเธอในท่าที่เหมือนโอบไหล่แต่เปลี่ยนมาเป็นวางมือลงบนหัวของเธอแทน กุลธิดาไม่ได้ปฏิเสธท่าทีของเขาแต่กลับขยับเข้าไปใกล้กับเขามากขึ้นเพราะรู้สึกหวาดกลัวผู้ชายตรงหน้าของเธอ
เธอยกมือซ้ายของตัวเองขึ้นมาลูบข้อมือข้างขวาของตัวเองป้อย ๆ คนขาวอย่างเธอเมื่อถูกกระทำอย่างแรงทำให้ผิวของเธอที่แดงง่ายอยู่แล้วมันยิ่งแดงเข้าไปอีกเป็นเท่าตัวเพราะชายตรงหน้าบีบข้อมือของเธอแรงเกินไป
“กลับกันเถอะ” เขาว่าก่อนจะเดินโอบเธอเดินกลับไปที่รถ
“เฮ้ย! มาแย่งผู้หญิงของคนอื่นไปต่อหน้าต่อตาคิดว่ากูจะยอมหรอวะ!” ชายคนนั้นยังไม่ยอมแพ้ เขาเดินเข้ามาจับไหล่ของยีนส์ก่อนจะปล่อยมัดจัง ๆ เข้าปะทะที่ใบหน้าดูดีของอีกคนจนมีเลือดซิปที่มุมปาก
หน้าของเขาสะบัดไปตามแรงก่อนจะเบนสายตากลับมาที่ชายคนเดิมด้วยสีหน้าที่ยังไร้ความรู้สึกใด ๆ เขายกมือขึ้นมาจับที่มุมปากที่มีเลือดซิป ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองขึ้นมาซับเลือดนั้นเบา ๆ
กุลธิดาที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ถึงกับหน้าเสีย เพราะคนด้านข้างของเธอเริ่มส่งสายตาที่พร้อมจะฆ่าเขาออกมาเสียแล้ว แววตาของยีนส์ทำให้เฟรมถึงกับเสียวสันหลังวาบ
“ไปรอฉันที่รถ” คำสั่งของเขาถือเป็นคำขาด จำให้เธอต้องขึ้นไปรอในรถตามคำสั่งของเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลังจากที่กุลธิดาเดินไปรอที่รถ ญานิศราที่ตั้งใจจะมาเคลียร์กับอีกคนจึงเดินออกมาในที่ลับตาคนเพราะไม่อยากให้เป็นจุดสนใจไปมากกว่านี้
“ทำไมจะต่อยกูคืนหรอ มาดิ!” เขายังคงยียวนใส่ก่อนจะมีชายสองคนเดินเข้ามารวบตัวของเขาไว้ซ้ายขวา “เฮ้ย! รุมเหรอวะ ปล่อยกูดิวะ!”
“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องตามมา” เสียงเย็นยะเยือกของผู้เป็นนายทำให้ลูกน้องสองคนต้องก้มหน้าเพราะขัดคำสั่งนาย
“แต่มันต่อยนาย...” ลูกน้องคนสนิทบอกอย่างไม่ยอมแพ้
“ปล่อยมัน”
“แต่นาย..”
“ปล่อย” สิ้นคำสุดท้ายจำให้ทั้งสองต้องปล่อยไอคนปากดีเป็นอิสระ
“เหอะ! นายเนยอะไรวะ ถ้าพวกมึงทำไรกูพ่อกูเอาพวกมึงตายแน่” เขายังคงยียวนใส่จนญานิศราที่อดกลั้นมานานชักจะหมดความอดทนเต็มแก่
“ฉันไปแล้วค่อยจัดการ...แค่สั่งสอนก็พอ” สิ้นคำสั่งของนาย ลูกน้องทั้งสองถึงกับยิ้มรับ
“ครับนาย” เขาก้มหัวให้ผู้เป็นนายอย่างนอบน้อมและรอให้ญานิศราเดินออกไปจนลับสายตา
“เฮ้ย! จะทำไรกูวะ พ่อกูเอาพวกมึงตายแน่ ปล่อย!”
“ถ้ากูไม่ทำนายกูก็เอากูตายว่ะ”
“ปล่อยกู! ปล่อย อัก!”
บรรยกาศในรถมันน่าอึดอัดจนกุลธิดาที่ไม่รู้ว่าเขาคิดอย่างไรอยู่ ได้แต่นั่งนิ่งไม่กล้าสาวท้าวความว่าก่อนหน้านี้เขาไปทำอะไรมา เธอได้แต่นั่งมองหน้าเขาอย่างเป็นกังวลเพราะใบหน้าที่เรียบเฉยกับแววตาที่ไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ ทำให้เธอเริ่มหวาดกลัว
“อยากจะถามอะไรก็ถาม” ยีนส์ที่เห็นท่าทีอึกอักของคนด้านข้างทำให้เขาพูดออกไป
“คือ...คุณได้ทำอะไรเขาหรือเปล่าคะ?” เธอรีบถามเขาทันทีด้วยความร้อนใจ เพราะชายคนเมื่อครู่ดีกรีเป็นถึงเดือนมหาลัยฯ เมื่อหลายปีก่อน แถมพ่อของเขายังมีอิทธิพลมาก เธอกลัวว่าถ้าหากทำอะไรรุนแรงเธออาจจะไม่ได้เรียนที่มหาลัยฯ นั้นต่อก็เป็นได้
“เป็นห่วงมันหรือ?” น้ำเสียงตัดพ้อของเขาทำเอากุลธิดารีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“มะ...ไม่ใช่ค่ะ คือพ่อของเขามีอิทธิพลมาก เกวกลัวว่า...”
“เธอมีฉันเธอไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น” ประโยคของเขาทำให้เธออุ่นใจได้บ้าง แต่ก็ยังคงหวั่นเกรงเล็กน้อย แต่เธอก็ไม่ยืดความยาวสาวความเยื้อก่อนจะนั่งคิดไม่ตกอยู่กับที่ตามเดิม
ทันทีที่ร่างของทั้งเธอและเขากลับเข้ามาที่คอนโด จำให้เธอต้องมองสำรวจห้องของเขาอย่างตื่นเต้น มันใหญ่มาก เหมือนทั้งชั้นของคอนโดนี้มีแค่ห้องของเขาแค่ห้องเดียว
“ต่อไปนี้ย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่กับฉัน” เขาว่าก่อนจะถอดสูทของตัวเองออกมาพาดไว้บนแขน
“แต่...ที่นี่มันไกลมหาลัยฯ ของเกวมากเลยนะคะ” เธอเอ่ยบอกอย่างเกรงใจ เพราะเขาจะต้องดื้อดึงไปรับไปส่งเธอเป็นแน่
“อย่างนั้นหรือ...” เขาว่าก่อนจะเดินเข้ามาประชิดตัวเธอ
ใบหน้าดูดีของเขาอยู่ห่างใบหน้าของเธอเพียงแค่ช่วงลมหายใจ หัวใจของเธอกำลังเต้นระรัวเพราะเขินอายต่อดวงตาสีฟ้าของเขาที่ประกายแพรวพราวต่างจากเมื่อตอนที่อยู่มหาลัยฯ ของเธอ
“ถ้าฉันเข้าไปช้าเธอก็คงจะให้ไลน์มันไปแล้ว” เขาตัดพ้อออกมาทั้งที่ริมฝีปากยังคลอเคลียแก้มเนียนของกุลธิดาอยู่ไม่ห่าง
“อื้อ” กุลธิดาที่รู้สึกเหมือนกำลังจะยืนไม่ไหวเธอจึงคว้าบ่ากว้างของเขาเพื่อเป็นจุดยึดเหนี่ยว
“เธอต้องถูกลงโทษข้อหาที่คุยกับผู้ชายแปลกหน้า”