นอนไม่หลับเลยให้ตายสิ! นี่มันเวลาเท่าไหร่กันแล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ที่รู้แน่ ๆ คือเธอพยายามข่มตาลงนอนมาร่วมชั่วโมงแล้ว แต่หัวใจเจ้ากรรมมันดันไม่ยอมสงบนิ่ง เหมือนเวลาที่เธอใกล้จะเคลิ้มหลับ พอได้ยินเสียงคนข้างตัวขยับตัวนิด ๆ หน่อย ๆ ไอหัวใจบ้านี่ก็เต้นแรงเสียจนแทบจะกระเด็นออกมาให้ได้
“นอนไม่หลับหรือ?” เสียงคนข้างตัวดังขึ้นท่ามกลางความเงียบที่มีเพียงเสียงของเครื่องปรับอากาศดังเป็นเพื่อนกัน
“เอ่อ...ค่ะ” เธอตอบเขาอย่างแผ่วเบา “สงสัยคงจะไม่ชินกับสถานที่” เธอเว้นช่วงจังหวะเล็กน้อย “แล้วก็ไม่ชินกับคนนอนข้าง ๆ มั้งคะ” คำว่านอนข้าง ๆ ของเธอมันแผ่วเบาเสียจนแทบจะเรียกว่ากระซิบเลยก็ว่าได้
แต่ไอหัวใจบ้านี่เมื่อไหร่จะหยุดเต้นแรงเสียที!
พรึ่บ!
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
“เอ่อ...” เธอแอบเห็นคนข้างตัวของเธอขยับลุกขึ้นไอใจบ้านี่ก็เต้นระรัวเหมือนมีคนมาตีกลอง เขาหันมาสบตาเธอเล็กน้อยก่อนจะรวบหมอนขึ้นไปกอบกุมไว้และตั้งท่าจะเดินออกจากห้องไป “คุณยีนส์จะไปไหนคะ?” เธอผุดลุกขึ้นมามองแผ่นหลังเขาที่กำลังจะเดินออก
จังหวะนั้นเองที่เขาก็หันกลับมามองเธอด้วยเช่นกัน ถึงแม้ภายในห้องจะมืดจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้แต่ทำไมใบหน้าที่แสนดูดีของเขานั้นมันถึงชัดเจนเสียจนเธอรู้สึกหน้าร้อนผ่าว ๆ
“เธอคงจะอึดอัดที่ฉันนอนร่วมเตียงกับเธอ...” เขาเดินไปประประตูและตั้งท่าจะเดินออกไป
“มะ...ไม่ใช่นะคะ” เธอรีบปฏิเสธพัลวัน อาจจะเป็นเพราะเธอเกรงใจเขาที่จะต้องออกไปนอนด้านนอก
หรือใจจริง ๆ เธอก็แอบเรียกร้องให้เขายังนอนอยู่ข้าง ๆ เธอ...
“ฉันจะนอนอยู่ที่โซฟาด้านนอก มีอะไรก็เรียกฉันแล้วกัน” เหมือนเขาจะไม่ได้ฟังประโยคที่เธอบอกก่อนหน้านี้เลยจริง ๆ
ประตูถูกปิดลงด้วยฝีมือของคนที่บอกจะไปนอนที่โซฟา ทิ้งให้แต่ร่างบางของเธอนั่งตัวแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น
“บางทีนอนคนเดียวอาจจะหลับ” เธอพึมพำกับตัวเองก่อนจะทิ้งตัวลงนอนอีกครั้ง
“นอนไม่หลับจริง ๆ แฮะ” กุลธิดาผุดลุกขึ้นมานั่งอีกครั้งก่อนจะควานหาโทรศัพท์เครื่องหรูที่อยู่บนหัวเตียงเพื่อมาส่องดูเวลา
02:12
ดึกป่านนี้แล้วคนด้านนอกจะหลับไปหรือยังนะ...
กุลธิดาพาร่างของตัวเองลงจากเตียงอย่างแผ่วเบา ยืนชั่งใจอยู่หน้าประตูเพียงครู่ก่อนจะเอื้อมมือไปบิดมันเบา ๆ ราวกับกลัวว่าถ้าหากเสียงดังคนด้านนอกอาจจะสะดุ้งตื่นขึ้นมา
เธอพาร่างของตัวเองเดินไปหาคนที่นอนขดขาอยู่บนโซฟา ถึงโซฟาจะใหญ่และนุ่มสบายแต่สำหรับคนที่มีส่วนสูงเกินคนทั่วไปอย่างคุณยีนส์มานอนปลายเท้าก็อาจจะโผล่พ้นขอบโซฟา
และมันก็เป็นอย่างที่เธอคิดจริง ๆ
กุลธิดายืนมองใบหน้าของใครอีกคนที่กำลังนอนหลับตาพริ้ม มือสองข้างของเขากอดตัวเองไว้หลวม ๆ คงไม่แปลกเท่าไหร่หรอกที่เขาจะหนาว แอร์ด้านนอกถูกปรับให้เย็นกว่าด้านในห้องนอนเสียอีก เธอคิดได้ดังนั้นจึงเดินไปสำรวจภายในตู้เสื้อผ้าของโรงแรมว่ามีผ้าห่มอีกไหม แต่ปรากฏว่ามันไม่มี เธอจึงตัดสินใจเดินไปลดแอร์ให้กับอีกคนที่นอนขดตัวอยู่ที่โซฟา
“เวลาหลับยังก็ดูดี” กุลธิดาเผลอยิ้มโดยไม่รู้สึกตัว เธอเผลอมองใบหน้ายามหลับของอีกคนด้วยหัวใจที่กำลังเต้นระรัว
ปอยผมที่ปรกหน้าของใครบางคนทำให้เธอรู้สึกขัดตาที่จะเห็นมันบดบังใบหน้าที่ดูดีของใครอีกคน เธอจึงเอื้อมมือไปหยิบปอยผมออกให้พ้นหน้าของคนที่นอนหลับตาพริ้ม
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
หัวใจเธอเต้นแรงอย่างไม่ลดละ เธอเผลอมองสำรวจใบหน้าของใครอีกคนที่นอนหลับตาพริ้มอย่างหลงไหลโดยที่เธอเองก็ไม่รู้ตัว สายตาเธอกวาดไล่ไปเรื่อย ๆ จนมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากที่ตอนแรกเธอเข้าใจว่าเขาใช้ลิปสติกแต่ในความเป็นจริงกลับเป็นสีธรรมชาติของปากเขาเอง
แม้ยามหลับใหลใบหน้าเขาก็ช่างดูดีเสียจนเธอเริ่มจะหวั่นไหว กุลธิดาก้มลงไปเพื่อหวังจะได้สำรวจใบหน้าของเขาได้มากกว่านี้ ริมฝีปากอมชมพูนั้นหากเธอได้สัมผัสมันอีกครั้งก็คงจะดี...
“คิดจะลักหลับฉันหรือไง?” เสียงของใครบางคนดังขึ้นช่วยดึงสติของเธอให้หลุดพ้นจากช่วงเสน่ห์หา พอรู้ตัวอีกทีเขาก็นอนมองหน้าเธอด้วยแววตาที่แสนจะเจ้าเล่ห์
“เอ่อ...คือว่า เอ่อ...” กุลธิดาเลิกลั่กอย่างไม่เป็นตัวเอง เธอเผลอคดตัวหนีจนตัวเองเกือบจะลงไปก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้น แต่โชคดีที่เธอยังกะระยะได้ถูกอยู่
“ฉันไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะถ้าเธออยากจะจูบฉัน” เขาว่าอย่างนั้นก่อนจะยันตัวลุกขึ้นมานั่งจ้องหน้าเธออย่างไม่วางตา “ขยับเข้ามาสิ” คำเชิญชวนพร้อมทั้งแววตาเจ้าเล่ห์ของเขาทำเธอแทบคลั่ง
ทั้งเขินทั้งอาย เธอมองหน้าเขาที่ฉายแววเจ้าเล่ห์ออกมาอย่างปิดไม่มิด ทำให้เธอแทบอยากจะมุดดินหนีออกไปจากตรงนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด
“เกวว่าเกวควรไปนอน” กุลธิดาที่พยายามหนีออกจากสถานการณ์ตรงหน้ารีบกุลีกุจอลุกขั้นจากโซฟา
หมับ!
“จะไปไหน เธอยังไม่ได้จูบฉันเลย” เขาคว้ามือไวมาจับข้อมือของเธอไว้แน่น ก่อนจะดึงเบา ๆ ให้เธอกลับลงไปนั่งที่เดิม
ญานิศราเอื้อมมือข้างซ้ายของตัวเองขึ้นมาเกลี่ยปอยผมที่ปรกหน้าของกุลธิดาออกให้พ้นจากใบหน้าสวยนั้น กุลธิดาคงกำลังเขินหนักหัวใจของเธอมันเต้นแรงเสียจนเขาอยู่ตรงนี้ยังได้ยินมันเต็มสองหู ใบหน้าที่แดงฉาดของเธอช่วยให้เธอดูน่ารักขึ้นมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ยีนส์เชิดปลายคางของคนตรงหน้าขึ้นมาอย่างแผ่วเบา เผลอมองสบตากับใครอีกคนที่เงยหน้ามาสบตาเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เช่นเดียวกัน
“ไม่ต้องกลัวฉันหรอก ฉันจะไม่มีวันทำร้ายเธอ” ประโยคที่อบอุ่นนั้นเปล่งออกมาจากริมฝีปากสวยของคนตรงหน้าเธอ
ญานิศรายกยิ้มขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเคลื่อนใบหน้าที่กุลธิดาแสนจะหลงใหลเข้าไปใกล้กับอีกคนให้มากขึ้น
ยีนส์ประกบปากเข้าไปส่วนเดียวกันกับกุลธิดาอย่างไม่รีบร้อน ริมฝีปากอุ่นของเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะมอดไหม้ มันช่างอบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนจูบเมื่อช่วงบ่าย
ญานิศราแปรเปลี่ยนจากจูบเนิบนาบมาเป็นจูบที่ร้อนแรงตามไฟปรารถนาที่มันกำลังก่อกุมขึ้นมาจากจิตใจของเขา ท่าทีเก้ ๆ กัง ๆ ของใครอีกคนที่พยายามจะจูบตอบเขามันยิ่งทำให้เขาได้ใจ
มือซนของยีนส์เลื้อยเข้าไปใต้สาบเสื้อของคนตรงข้ามด้วยแรงปรารถนา กุลธิดาที่สัมผัสได้ถึงมืออุ่นที่กำลังลุกล้ำในกายเธอก็เริ่มได้สติขึ้นมาอีกครั้ง
“คะ...คุณยีนส์คะ” เธอเบี่ยงหน้าออกจากจูบของเขาอย่างนึกหวั่นใจ
ส่วนญานิศราที่คิดว่าอีกคนคงจะยังไม่พร้อมจึงค่อย ๆ ปรับร่างกายของตัวเองให้กลับมาคงที่
“คือเกว...” เธอที่เห็นเขาพยายามปรับอุณหภูมิร่างกายของตัวเองก็ถึงกับใจเด้นแรง เสียงหอบหายใจของเขาที่กำลังพยายามทำให้ตัวเองปกติมันกลับดูเซ็กซี่เสียเหลือเกินในสายตาเธอ
“ไม่เป็นไร เธอไปนอนเถอะ” เขาว่าอย่างนั้นมันยิ่งทำให้เธอรู้สึกหวั่นไหว
ถึงเธอจะไม่ได้เต็มใจจะแต่งงานกับเขาในตอนแรก แต่เธอก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังตกหลุมพรางของเขาที่วางกับดักไว้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เธอที่เป็นคนตรง ๆ อยู่แล้วก็ไม่อยากจะปฏิเสธเลยว่าเธอกำลังหวั่นไหว...หวั่นไหวในร่างกายและสัมผัสของเขา แต่เธอแค่หวาดกลัวเพราะนี่มันเป็นครั้งแรกของเธอ
“เกว...แค่กลัว” เขาสารภาพของกุลธิดาทำให้ญานิศราที่กำลังจะทิ้งตัวลงนอนต้องหันหลับมาเผชิญหน้าคนตรงหน้าอีกครั้ง “เกวกลัวว่าถ้าหากเกวมอบให้คุณแล้ววันหนึ่งคุณจะทิ้งเกวไป...เมื่อพ่อของเกวชดใช้หนี้คุณจนหมด” เธอสารภาพออกไปตามตรงมันทำให้ยีนส์ถึงกับนิ่งฟัง
นี่คงจะเป็นครั้งแรกของเธอ…
ได้แต่คิดในใจแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกไป เธอคงไม่รู้ว่าที่เขาเสนอให้เธอมาแต่งงานกับเขาเป็นเพราะตัวของเขาเองนี่แหละที่ตกหลุมรักเธอมาตั้งนานแล้ว...
“ฉันจะไม่มีวันทิ้งเธอ...” เขาเอื้อมมือมาสัมผัสมือของเธออีกครั้งอย่างอ่อนโยน “หากเธอยังต้องการฉัน ฉันก็จะอยู่ตรงนี้” ภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยของเขาแต่แววตาของเขามันแฝงไปด้วยความหนักแน่นและจริงใจ
และเธอก็เชื่อคำพูดของเขาอย่างเต็มใจ...
และคราวนี้เป็นตัวของเธอเองที่โน้มใบหน้าเข้าไปหาอีกคนอย่างที่ใจมันต้องการ หัวใจของเธอสั่นระรัวเป็นกลองชุดเมื่อริมฝีปากของเราสัมผัสกันอีกครั้ง ญานิศราไม่รอให้กุลธิดาเป็นฝ่ายรอนานจนเกินไปเขาก็ขยับริมฝีปากกระจับของตัวเองเพื่อตอบสนองจูบที่เขาแสนจะหลงใหลอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง
“สัญญาแล้วนะคะ” ทันทีที่เขาปล่อยริมฝีปากของเธอเป็นอิสระ เธอก็รีบท้วงหาคำสัญญาจากเขาในทันใด แม้ใจเธอจะเชื่อไปเต็มร้อยแล้วว่าเขานั้นพูดจริง
“ฉันสัญญา ฉันจะไม่มีวันทิ้งเธอ”