9
“แล้วยาล่ะคะ มียาให้คุณลูอีสทานหรือเปล่าคะ?” เธอถามต่อ
“ไม่มี ลูอีสแข็งแรงดี แค่เพียงตาบอดเฉยๆ” ซาบริน่าตอบเสียงเรียบ “อ้อ!!...ลืมไปเรื่องนึง ญาติของมาเรียคงบอกเธอแล้วว่า ถ้าเธอทำให้ลูอีสยอมรักษาตาได้ ทางเราจะให้หนึ่งล้านยูโร มันจะเป็นตามนั้นนะถ้าหากเธอทำได้จริงๆ” ก่อนจะพูดขยายความต่อ
“ค่ะ พี่พรบอกมิแชลแล้วค่ะ”
“ไปกันเถอะ จวนจะได้เวลาลูอีสตื่นแล้ว” ซาบริน่าลุกขึ้นยืนทันที่ที่พูดจบ แขวลัยจึงลุกขึ้นแล้วเดินตามหลังนางไป
“ลูกว่ามิแชลจะไหวมั้ยเลอแตรงค์?” ปราทิเซียถามลูกชายไล่หลังสองร่างที่เดินห่างออกไป
“เราก็ต้องลองดูครับ แต่ท่าทางของมิแชลทำให้ผมมั่นใจว่าเธอต้องทำได้ครับคุณแม่”
เลอแตรงค์บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไมถึงได้มั่นใจนักหนา แต่ลึกๆ ในความรู้สึกมันบอกเช่นนั้น แล้วเขาก็เชื่อลางสังหรณ์นั้นด้วย
“แม่ก็หวังว่าอย่างนั้น”
สายตาของปราทิเซียเวลาพูดจับจ้องไปยังร่างของแขวลัยที่เดินขึ้นบันไดอย่างมีความหวังว่า ลูอีสจะกลับมาหายดีดังเดิม แม้ว่าความหวังจะน้อยนิดเพียงเสี้ยวหนึ่งก็ตาม
แขวลัยก้าวเข้ามาในห้องพักของลูอีสด้วยลำขาที่ค่อนข้างสั่น แม้ว่าจะเตรียมใจกับความร้ายกาจของเจ้าของห้อง แต่ทว่าพอขาทั้งสองข้างก้าวมาอยู่ในอาณาเขตห้อง เธอรับรู้ถึงพลังอำมหิต ความโกรธและความไม่พอใจวิ่งเข้ามาปะทะกาย มันเป็นสัญญาณบอกให้แขวลัยรู้ว่า งานนี้หนักหนาสาหัสยิ่งนัก
“ลูอีส ตื่นแล้วเหรอลูก?” ซาบริน่าทักลูกชายที่ลุกขึ้นนั่ง
“ถ้าผมเลือกได้ไม่ขอตื่นขึ้นมายังดีกว่า เพราะตื่นขึ้นมาก็มองอะไรไม่เห็น” น้ำเสียงไม่ผูกมิตรลอดจากปากของชายตามองไม่เห็น ซาบริน่าไม่ถือสาอะไรกับคำพูดของลูกชาย เนื่องจากรู้อารมณ์ของคนพูดดีว่าเป็นอย่างไร
“พูดอะไรอย่างนั้นลูก ตาของลูกก็มีทางรักษาหาย แค่ลูกยอมไปหาหมอ ทำตามที่หมอแนะนำ ลูกก็จะกลับมามองเห็นอีกครั้ง”
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางพูด เป็นครั้งที่เท่าไหร่มิอาจนับได้ แล้วคำพูดต่อมาของลูกชายก็จะเหมือนเดิมกับทุกครั้งที่ผ่านมาเช่นกัน
“ไม่หาหมอ ไม่ตรวจ ไม่รักษาอะไรทั้งนั้น ปล่อยให้มันบอดอย่างนี้แหละดีแล้ว คุณย่าจะได้ไม่มาวุ่นวายกับผมอีก รำคาญจะแย่อยู่แล้ว”
ซาบริน่าถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม นางเองก็ไม่รู้จะทำอะไรดีไปกว่า รออย่างมีความหวัง หวังว่าลูกชายจะยอมรักษาดวงตาในสักวันหนึ่ง
“วันนี้แม่พาพยาบาลคนใหม่มาดูแลลูกนะ เธอชื่อ...”
“พามาทำไม?...พามาเดี๋ยวไม่กี่วันก็ออก ผมดูแลตัวเองได้ ไล่กลับไปเลยไปไม่อยากใช้อากาศหายใจร่วมกับพยาบาลที่คุณแม่หามาให้” ยังไม่ทันที่ซาบริน่าจะพูดจบประโยค เสียงของลูอีสก็ดังแทรกขึ้น น้ำเสียงนั้นยังไม่เป็นมิตรเช่นเดิม
“แต่ลูอีสก็ต้องมีคนคอยช่วยเหลือนะลูก เดี๋ยวได้ชนนั่นชนนี่เสียหายอีก พลอยจะเจ็บตัวไปด้วย”
“ข้าวของเสียหายก็ซื้อใหม่ไม่เห็นยาก มีเงินซะอย่างซื้อมาทั้งโรงงานยังได้เลย แล้วผมก็ไม่กลัวเจ็บตัวด้วย เพราะนั่นมันคือความสะใจของผม” ลูอีสตอกกลับมารดาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว
“ไม่ว่าลูกจะพูดยังไงหรือคิดยังไง แม่ก็ต้องหาคนมาดูแลลูกอยู่ดี พยาบาลคนนี้ชื่อมิแชลนะลูก แม่ไปก่อนนะ”
ซาบริน่าไม่สนใจว่าลูอีสจะยินยอมหรือไม่ นางมีหน้าที่คอยจัดหาคนมาดูแลเพราะนางไม่สามารถดูแลลูกชายได้ตลอดเวลา เนื่องจากบิดาของนางก็ไม่สบายเช่นกัน ต้องปลีกเวลาไปดูแลเยี่ยมเยียนท่านทุกวัน จะอาศัยคนรับใช้ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครกล้าเข้าใกล้คนที่อาละวาดเก่งได้เลยสักคน วิธีนี้จึงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
คล้อยหลังร่างของซาบริน่า แขวลัยจึงเริ่มทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย หญิงสาวเดินไปยังตู้เสื้อผ้าขนาดใหญ่ เปิดมันออกแล้วต้องละลานตากับเสื้อผ้านับร้อยชุดที่แขวนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ชุดชั้นในชายถูกพับไว้ในลิ้นชัก มือเรียวเล็กหยิบชุดลำลองและชุดชั้นในชายมาอย่างละหนึ่งชุด ก่อนจะเดินไปยังห้องน้ำ แล้ววางสิ่งที่ถืออยู่ตรงจุดที่ซาบริน่าบอก แล้วเดินกลับมาหาคนที่เธอต้องดูแล
“คุณลูอีสค่ะ อาบน้ำได้แล้วค่ะ มิแชลเตรียมชุดไว้ให้แล้ว”
เสียงหวานใสดังระฆังคริสตัลที่ลูอีสได้ยินนั้น แสนจะไพเราะจับใจ มันเหมือนมีพลังงานบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายในอารมณ์
“สาระแนทำไม ฉันอยากอาบก็อาบเองแหละ”
แม้ว่าเขาจะรู้สึกประหลาดยามที่ได้ยินเสียงเธอครั้งแรก ทว่าความรู้สึกนั้นคงน้อยเกินกว่าที่เขาจะปรับเปลี่ยนอารมณ์ให้เย็นลง
“คุณลูอีสอาบน้ำเสร็จจะได้ทานข้าวไงคะ ทานอาหารไม่เป็นเวลาเดี๋ยวจะพาลเป็นโรคกระเพาะเอานะคะ”
พยาบาลสาวคนใหม่รับมือคนขี้โมโหด้วยความใจเย็น เพราะส่วนหนึ่งเธอรู้สึกเห็นใจเขาไม่น้อย ที่ต้องเจอกับเรื่องเลวร้ายเช่นนี้
“ช่างหัว ตัวของฉันกระเพาะของฉัน มายุ่งจุ้นจ้านอะไรด้วย”
ลูอีสตอกกลับทันควัน
“ไม่นึกถึงตัวเองก็นึกถึงคนในครอบครัวบ้างสิคะ แค่คุณตามองไม่เห็นพวกท่านก็เป็นทุกข์จะแย่อยู่แล้ว ถ้าคุณลูอีสเป็นโรคกระเพาะอีก พวกท่านจะยิ่งเป็นทุกข์มากขึ้นไปอีกนะคะ”ลูอีสถึงกับอึ้งกับคำพูดที่ได้ยิน เขาไม่คิดเรื่องที่ว่า บุพการีจะเป็นทุกข์เรื่องของเขาหรือไม่ เขาสนใจแค่ตัวเอง ทำเพื่อความสะใจของตัวเองเท่านั้น
“จะมายุ่งอะไรกับครอบครัวฉัน อย่ามาสะเออะ อย่ามาเสนอหน้าถ้าไม่อยากเจ็บตัว”
ลูอีสพูดไปด้วยพร้อมกับเอี้ยวตัวไปยังหัวเตียง ควานหาบางอย่างจนกระทั่งมือใหญ่พบสิ่งของที่ตัวเองต้องการ จากนั้นก็ขว้างไปยังจุดที่แขวลัยยืนอยู่ โดยอาศัยทิศทางของเสียงหวานนั้นเป็นเครื่องนำทาง