เมื่อวันใหม่มาเยือนจ้าวเล่อเยียนก็ต้องมานั่งขยี้ศีรษะตนเองเพราะความยุ่งยากสำหรับคนยุค2022ต้องมาอยู่ในแผ่นดินเทียนสุ่ยที่อาจจะล้าหลังกว่าในโลกที่นางจากมาหลายพันปีดังนั้นไม่ว่าจะเป็น แปรงสีฟัน ที่ยังดีว่ามีให้นางได้ใช้กับเกลือจนสบายปากโล่งคอไม่ใช่ว่าต้องใช้นิ้วขัดถูฟันเอาเพราะหากเป็นเช่นนี้นางคงประสาทเสียเป็นแน่
แค่การมีเพียงเอี๊ยมบังทรงกับกางเกงตัวในขายาวเพียงแค่หัวเข่าแต่ไร้เจ้าชิ้นเล็กสามเหลี่ยมแนบเนื้ออันคุ้นชินกับน้องสาวของนางในยามก้าวเดินมันโล่งเบาหวิวแปลกๆ แล้วไหนจะยังห้องส้วมที่เป็นแบบโบราณซึ่งนางเพิ่งจำเป็นต้องไปปลดทุกข์ก็ช่างยากเย็นสำหรับเด็กสาวยุคไอทีเช่นนางอย่างยิ่งที่เคยสะดวกสบายใช้แต่โถชักโครกมาตลอดจึงต้องมานั่งส้วมโบราณย่อมลำบากจริงๆ
ดังนั้นในวันที่สองของโลกใบใหม่นี้จ้าวเล่อเยียนคิดว่านางจะต้องตัดเย็บเจ้าสามเหลี่ยมชิ้นน้อยส่วนตั๊วส่วนตัวของนางก่อนเป็นอันดับแรกไม่ใช่เดินไปทางไหนก็เย็นวูบวาบโหวงเหวงเช่นนี้
“วันนี้ข้ายังมิต้องไปร่วมมื้อเช้ากับเรือนใหญ่ใช่หรือไม่พี่ฟางหรู”
เพราะเมื่อวานก่อนบิดาและมารดาสามีของนางจะจากไปได้ย้ำว่าให้นางพักผ่อนอยู่ที่เรือนไปก่อนงดเว้นการไปคารวะบิดาและมารดาของสามีเช่นสะใภ้ปกติเขาต้องทำกันเป็นกรณีพิเศษเพราะนางเพิ่งจะฟื้นจากการสลบไปถึงสามวันสามคืนจากวันจมน้ำ
ส่วนฝ่ายสามีของนางนั้นปกติในยามเช้าเขาเองนั้นต้องไปรวมตัวกันที่ห้องโถงรับประทานอาหารหลักรวมไปถึงน้องชายกับพวกน้องต่างมารดาจะไปร่วมมื้อเช้าพร้อมหน้าที่เรือนใหญ่ของนายท่านและเหล่าฮูหยินเช่นกันส่วนมื้อค่ำก็แล้วแต่ว่าเขาจะไปกินที่เรือนของตนเองหรืออาจจะเป็นเรือนของเหล่าอนุภรรยาทั้งสามที่ตัวของจ้าวเล่อเยียนในอดีตถึงขนาดไปสู่ขอมาให้แก่สามีด้วยตนเอง
อันที่จริงอีตาพี่ฮ่าวเฉินก็มิใช่ถึงกับเป็นสามีที่ไม่เอาไหนทว่าเป็นจ้าวเล่อเยียนต่างหากที่มิอาจทำหน้าที่ของภรรยาได้จึงทำให้เขาต้องแต่งอนุภรรยาเข้าจวนเพราะอนุภรรยาร่วมหลับนอนยังปลอดภัยกว่าไปท่องเที่ยวในหอคณิกาสินะ โดยเฉพาะในยุคนี้ยิ่งไม่มีถุงยางอนามัยอยู่ด้วยไปเที่ยวหอนางโลมคงไม่ดีเป็นแน่แท้นางพอจะเข้าใจเขาได้อยู่อีกสิ่งอนุภรรยานอกจากคนแรกอีกสองคนก็ล้วนเป็นจ้าวเล่อเยียนที่จัดหามาให้’ พี่ฮ่าวเฉิน’ ด้วยตัวเองนี่นาจะไปกล่าวหาว่าเขามากราคะคงผิดไปสักหน่อยกระมัง
“ใช่เจ้าค่ะคุณหนู”
เด็กสาวจึงค่อยหายใจหายคอสะดวกถึงจะเพียงสองสามวันแต่อย่างน้อยก็ทำให้นางเตรียมตัวพร้อมที่จะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าอนุภรรยาทั้งหลายไหนจะยังมียายสหายรักหักเหลี่ยมโหดเช่นสะใภ้รองนั่นอีกคน
“เสี่ยวชุ่ยมานี่”
หากนางจะสอบถามอันใดคิดว่าหลอกถามเด็กสาวตรงหน้าคงได้ความกว่าไปถามฟางหรูหลายส่วนเช่นนั้นพอสาวใช้คนสนิทรุ่นท่านน้านำอาภรณ์ของนางไปซักนิวส์จ้าวเล่อเยียนจึงค่อยสืบความอยากทราบว่าภายในจวนนี้เป็นอย่างไรบ้างเมื่อนับจากนางแต่งเข้ามาร่วมสองเดือนกลับแทบไม่เคยคบค้าสมาคมกับผู้ใดในจวนเลยนอกจากมารดาและบิดาของสามีเท่านั้น
“ปกตินอกจากไปที่เรือนใหญ่ปรนนิบัตินายท่านและเหล่าฮูหยินแล้วข้าไม่เคยออกไปที่ใดบ้างหรือเช่น...ตลาด”
ก็สตรีเชียวนะแต่นี้แม้แต่ตลาดเนี่ยจ้าวเล่อเยียนยังไม่คิดจะไปมันออกจะเกินคนไปแล้วจริงๆ เพราะในความคิดของตนเองแล้วไม่ว่าจะยุคใดสมัยไหนสตรีมันต้องชอบการช้อปปิ้งชอบการจับจ่ายซื้อข้าวของอย่างน้อยก็สมควรซื้อพวกเสื้อผ้าบ้างเครื่องประดับบ้างเครื่องหอม หรือไม่ซื้อได้เดินส่องข้าวของสวยๆ งามๆ ก็มีความสุขแล้ว แต่ยายอดีตเจ้าของกายนี้กลับฝังตนเองอยู่เพียงในจวนกับแวะไปเอาใจบิดาและมารดาสามีเช่นนี้สะใภ้อื่นไม่ชังน้ำหน้ากันไปทั่วแล้วหรือ
...ไม่ได้การแล้ว...
การอยู่ร่วมกันในจวนใหญ่เช่นนี้มันต้องมีพวกมีฝูงจะมาคิดเพียงบิดามารดาสามีเอ็นดูแต่คนทั้งจวนชิงชังคิดดักตบกันทั่วทั้งจวนเห็นทีจะไม่งาม คนเรามีพวกมากอำนาจย่อมมากไปด้วยจะมีเป็นกระเทียมหัวเหี่ยวเฉาอยู่เพียงในเรือนเห็นทีจะไม่ไหว
“อ้าวพี่ใหญ่วันนี้ต้าซ้อเพิ่งฟื้น ท่านจะไม่ไปเยี่ยมเยียนหรือร่วมกินมื้อเช้ากับนางสักหน่อยหรือ?”
กฎของสกุลมู่หรงคือเหล่าบุตรไม่ว่าจะเกิดจากฮูหยินเอกหรืออนุภรรยารวมไปถึงสะใภ้ทุกเช้าจะต้องมาทำความเคารพนายท่านมู่หรงและเหล่าฮูหยินยกเว้นนอกจากคนผู้นั้นจะเจ็บป่วย ส่วนอนุภรรยานั้นไม่ว่าจะเป็นของนายท่านใหญ่ของสกุลมู่หรงเองหรือของเหล่าบุตรชายไม่ว่าจะคนใดล้วนห้ามมาวุ่นวายยังเรือนใหญ่เด็ดขาด
มิใช่เพียงเรือนใหญ่เหล่าอนุภรรยาทุกนางหากไม่มีคำสั่งหรือการเรียกหาจากผู้เป็นฮูหยินเอกหรือภรรยาเอกก็มิอาจเข้าไปวุ่นวายในจวนหลักของเหล่าพวกเขาได้เช่นกัน จะอนุภรรยาของมู่หรงฮ่าวเฉินและของมู่หรงฮ่าวหรานล้วนมิได้มาร่วมมื้อเช้าที่เรือนใหญ่มีเพียงสะใภ้รอง กับสะใภ้ห้าเท่านั้น ดังนั้นคนเป็นคุณชายรองที่นั่งข้างคุณชายใหญ่จึงอดจะแอบกระซิบถามพี่ชายเสียมิได้
“ข้ามิใช่ท่านหมอจะไปวุ่นวายเยี่ยมเยียนนางด้วยเหตุอันใด แล้วอีกสิ่งนางไม่เห็นหน้าหรือจะเห็นหน้าของข้าก็มิได้ทำให้นางเจริญอาหารเพิ่มขึ้นหรอก”
คนที่มีเพียงใบหน้าเดียวคือ’ เย็นเฉียบ’ จนเหล่าน้องชายและน้องสาวต่างมารดานั้นมิมีผู้ใดกล้าพูดจาทักทายคุณชายใหญ่หรือใต้เท้ามู่หรงผู้เป็นรองเจ้ากรมอาญามากเกินสามประโยคนับจากเขาเติบโตมา ผิดกับคุณชายรองที่เป็นคนยิ้มแย้มอัธยาศัยดีดังนั้นตั้งแต่เด็กมาแล้วมู่หรงฮ่าวหรานจึงถูกวางตัวให้สืบทอดกิจการทำการค้าทางฝ่ายสกุลหลวนที่เป็นคหบดีใหญ่ผู้เป็นท่านตาของเขาแทนที่จะเป็นคุณชายใหญ่มู่หรงไปเสียได้
ส่วนมู่หรงฮ่าวเฉินความจริงด้วยนิสัยเด็ดขาดและเย็นชาเคยถูกท่านปู่และผู้เป็นบิดานั้นคาดหวังให้อีกฝ่ายนั้นรับราชการทหาร ทว่ากลับเป็นเหล่าฮูหยินที่ให้เอาดาบมาเชือดคอนางก็ไม่ยอมปล่อยให้บุตรชายคนโตเอาชีวิตไปเสี่ยงทิ้งเสียที่ชายแดนนานปีกว่าจะได้พบหน้า
ดังนั้นเขาจึงต้องเบนเข็มมุ่งสู่สายงานทางด้านกฎหมายเสียแทนจนวัยสิบหกปีมู่หรงฮ่าวเฉินก็สามารถสอบเป็นจอหงวนฝ่ายบุ๋นได้เป็นอันดับหนึ่งมิใช่เพียงปีเดียวทว่าเขาสอบได้ถึงสามปีซ้อนเช่นนั้นฮ่องเต้จึงประทานยศท่านรองเจ้ากรมอาญาให้แก่ชายหนุ่มนับตั้งแต่เขาวัยครบยี่สิบปีบริบูรณ์นี่ผ่านมาห้าปีงานในหน้าที่ของเขามิเคยผิดพลาดเลยสักครั้ง
ดังนั้นในเมืองหลวงนี้ต่อให้เขาเย็นชาใบหน้าไม่เคยรับไมตรีของสตรีใดแต่ก็ยังมีสกุลใหญ่มากมายอยากเกี่ยวดองกับคุณชายใหญ่มู่หรง หากแต่น่าเสียดายที่นับจากสิบเจ็ดปีก่อนตำแหน่งภรรยาเอกของเขาก็ถูกคุณหนูรองจ้าวจับจองมาโดยตลอดตามคำสัญญาของมู่หรงฮ่าวหนานกับท่านแม่ทัพจ้าวมาหลายสิบปีแล้วนั่นเอง
“คำตอบช่างใจดำเสียจริง ต้าซ้อนั้นแสนจะงดงามปานล่มเมืองมิอาจจะละลายน้ำแข็งในใจของพี่ใหญ่ได้บ้างเซียวหรือ?” คนอารมณ์ดีอยู่เสมอยังเอ่ยปากหยอกเย้าผู้เป็นพี่ชายโดยแท้เพียงคนเดียวอย่างเห็นเป็นสนุกเสียมิได้
“หากจะกล่าวว่าข้านั้นมีใจดำอำมหิตต่อเล่อเยียนแล้วตัวของเจ้าเล่ามิเรียกว่าอำมหิตกว่าข้าหลายหมื่นเท่าหรือฮ่าวหราน?”
กล่าวจบมู่หรงฮ่าวเฉินก็วางตะเกียบแล้วหันไปเอ่ยปากลาบิดากับมารดาเพื่อจะเข้ากรมอาญาเช่นทุกวันโดยมีหมิงเซินบ่าวชายคนสนิทจัดเตรียมข้าวของและหมวกยืนรออยู่ที่ข้างรถม้าคันโตที่เขานั้นใช้เป็นประจำ ทิ้งคำพูดแสนเจ็บแสบบาดลึกนั้นเอาไว้ให้มู่หรงฮ่าวหรานกลืนข้าวที่เหลือในถ้วยไม่ลงอีกเลย
เพราะภาพในอดีตก่อนงานแต่งงานสามเดือนเป็นจ้าวเล่อเยียนที่มีใจหาญกล้าแอบลักลอบหนีมาเมืองหลวงแล้วมาขอนัดพบกับเขาจากนั้นนางก็สารภาพอย่างหมดความละอายของสาวน้อยไปจนสิ้นว่าหลายปีนับจากนางเติบโตเป็นสาวแล้วรู้จักความรักระหว่างชายหญิง นางก็รักปักใจแต่เพียงเขาคนเดียวมิได้รักคนเย็นชาและดูดุดันเช่นมู่หรงฮ่าวเฉินนางจึงยากจะตบแต่งกับคู่หมั้นในวัยเด็กเช่นท่านรองมู่หรงไปได้เด็ดขาด!
นางจึงอยากจะขอเปลี่ยนตัวเจ้าบ่าว ทว่าเขากลับปฏิเสธนางออกไปเพราะตนเองยังไม่พร้อมจะแต่งงานมีฮูหยินและเขาเองก็รักและเอ็นดูนางเป็นเพียงน้องสาวเท่านั้น แต่จ้าวเล่อเยียนกลับคุกเข่าโขกศีรษะวิงวอนให้เจ้าบ่าวเป็นเขาเถิดหากเขาไม่รักนางในวันใดที่เขาพบสตรีที่รักนางจะยอมหย่าขาดแล้วลดตนเองไปเป็นเพียงอนุภรรยายอมให้เขายกสตรีที่เขารักขึ้นเป็นฮูหยินเอกแทน
นางร้องไห้ราวกับจะขาดใจ แล้วกล่าวว่าถึงจะเป็นเพียงอนุภรรยาแต่นางนั้นรักมั่นคงแต่งงานไปย่อมมีความสุข ทว่าแต่งงานกับคนที่นางไม่มีใจรักต่อให้เป็นฮูหยินเอกนางก็ไร้ซึ่งความสุขเรียกได้ว่าตกนรกทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่เกินจริง เรียกว่าในวันนั้นจะให้นางยอมเป็นเพียงสาวใช้อุ่นเตียงจ้าวเล่อเยียนก็ยินยอมแก่เขามิเกี่ยงงอนเลยสักนิด
ดังนั้นเขาจึงมิอาจจะตัดเยื่อใยปฏิเสธนางออกไปไม่รับไมตรีใดทั้งสิ้นเด็ดขาดถึงเขาจะมีเหตุผลรองรับมากมายอยู่แล้วและหนักแน่นเสียด้วย แต่เขามันคนกะล่อนปลิ้นปล้อนยอมรับจากใจจึงเสแสร้งหลอกลวงเด็กสาวในวันนั้น โดยบอกว่ากำหนดวันแต่งงานกำหนดแล้วเจ้าบ่าวเจ้าสาวกำหนดแน่นอน
ดังนั้นจะให้เขานั้นไปเอาเปรียบนางที่เป็นถึงสาวน้อยที่เป็นบุตรสาวที่เกิดจากฮูหยินเอกได้อย่างไรเช่นนั้นวิธีเดียวหากเขาจะยอมนับนางเป็นอนุภรรยาหรือสาวใช้อุ่นเตียงก็ต้องให้นางแต่งงานไปกับพี่ชายของเขาไปก่อนอย่างน้อยก็ต้องสักหกเดือนแล้วจึงค่อยหย่าขาดจากกันด้วยเหตุผลที่เหมาะสมมิทำให้นางได้อับอายดังนั้นเด็กสาวโง่เขลานางหนึ่งถูกคำหวานล่อลวงนางจึงหลงเชื่อเขาหมดหัวใจ ทว่าผู้ใดจะทราบดีไปกว่าตัวของเขากันเล่าว่าเหตุใดจึงไม่ยอมรับนางมาเป็นภรรยาเอกตั้งแต่แรกทั้งที่เขาทำได้สบายมากเพียงเอ่ยปากหนึ่งคำเท่านั้น
ก็เพราะสตรีจืดจางเช่นจ้าวเล่อเยียนเขามิอาจทนร่วมหอร่วมเรือนได้สำหรับเขานอกจากจะงดงามไปด้วยรูปโฉมแล้วยังต้องฉลาดคล่องแคล่วเท่าทันคน ไม่ใช่ทึ่มทื่อแข็งเป็นท่อนซุงไม่พอจ้าวเล่อเยียนยังอ่อนแอ คนจะเป็นภรรยาพ่อค้าเช่นเขาอ่อนแอและโง่งมจะใช้ได้ที่ไหน สำหรับเขาก้อนภาระเช่นนี้โยนให้พี่ชายรับผิดชอบไปย่อมดีที่สุดแล้ว
...จวบจนในวันนั้น...
ก่อนวันแต่งงานของเขากับเสวียนหลิวอิ๋ง ‘ต้าซ้อ’ หรือสะใภ้ใหญ่ที่แทบไม่เคยจะออกจากเรือนไปยังเรือนใดนอกจากเรือนใหญ่ที่บิดากับมารดาของเขาอาศัยอยู่ ทว่านางกลับแอบลักลอบมาขอพบเขา มาขอร้องผู้เป็นน้องสามีทั้งที่ดึกมากแล้ว นางมาสอบถามเขาด้วยใบหน้านองน้ำตา
‘พี่ฮ่าวหรานเคยบอกแก่เล่อเยียนว่าท่านยังไม่คิดแต่งงานในเร็ววันนี้ พี่บอกให้เล่อเยียนแต่งงานไปก่อนรอเวลาสักหกเดือนแล้วพี่ยังบอกอีกว่าท่านกำลังสนุกกับการทำการค้าไม่อยากแต่งงาน แล้วนี่เล่า? ...พรุ่งนี้ระหว่างพี่ฮ่าวหรานและหลิวอิ๋งคืออันใด?...ท่านหลอกลวงเล่อเยียน!"
นางมองเขาด้วยสายตากล่าวหาผสานผิดหวังคล้ายนางนั้นโดนหักหลังซึ่งหากจะกล่าวไปมันก็จริง เพราะในยามนั้นเขาหว่านล้อมนางไปคำใดบ้างก็ลืมไปหมดแล้วที่รู้และจำได้คือสุดท้ายนางก็ยินยอมกลับรั่วหยางและยินยอมแต่งงานกับพี่ใหญ่ของเขาเท่านั้น
แต่จะทำเช่นไรได้ในช่วงนั้นเขาเกิดไปเจรจาการค้าที่รั่วหยางบ่อยครั้งได้พบพานกับคุณหนูหกสกุลเสวียนที่เป็นสหายสนิทของจ้าวเล่อเยียนที่ภายในวันนั้นก็ติดตามสาวน้อยมาด้วยคราวแรกเขาก็เพียงถูกใจรูปโฉม ทว่าพอเขาแวะไปรั่วหยางหลายครั้งเข้ายิ่งสนิทยิ่งชิดใกล้เขาก็คิดว่านี่แหละสตรีที่จะมาเป็นฮูหยินเอกของเขาได้ดีที่สุด เขาผิดอันใดที่จะเลือกตามใจตนเองภรรยาเอกมันสมควรเป็นเขาที่พึงใจมิใช่ตบแต่งตามคำสัญญาหรือเพียงแต่สงสารสตรีนางนั้น
‘กลับไปเสียเล่อเยียนบัดนี้เจ้าคือภรรยาของพี่ใหญ่ข้าส่วนตัวของเจ้าเองก็เป็นพี่สะใภ้ของข้าหากใครมารับรู้มิใช่เพียงเจ้าที่จะเสียหายแต่ข้าย่อมผิดใจกับพี่ชาย เรื่องเล็กน้อยเพียงเท่านั้นสมองทึ่มทื่อของเจ้าก็คิดไม่ได้หรือ? ...หึ...นี่เช่นไรเล่าที่ให้ตายอีกสิบชาติข้าก็แต่งเจ้ามาเป็นแม้แต่สาวใช้อุ่นเตียงก็ไม่มีทางเด็ดขาด!!!’
เด็กสาวที่ไม่คาดว่าบุรุษอัธยาศัยดี และใจดีต่อนางมาตลอดหลายปีจะกล่าววาจาร้ายกาจกับตนเองได้เช่นนี้ ในวันนั้นเขาสัญญาว่าหากนางยอมแต่งงานกับพี่ชายของตนพอในยามใดที่เขาพร้อมขอเพียงนางและมู่หรงฮ่าวเฉินไม่แตะต้องกายมีสัมพันธ์เช่นสามีภรรยาทั่วไป เขาเองจะเป็นฝ่ายขอให้พี่ชายคนโตหย่าขาดแก่นางแล้วรับนางมาเป็นอนุภรรยาซึ่งในวันนั้นนางก็จากไปอย่างมีความหวัง
...ไยนางจึงโง่งมเชื่อคำหลอกลวงของบุรุษผู้นี้ไปได้? ...
หรือเป็นเพราะนางรักเขามากจนดวงตามืดมนจึงคิดไม่ได้ว่าการทำเช่นนั้นมันแทบจะเป็นไปมิได้คนที่เคยตบแต่งกับพี่ชายแล้วจะหย่าขาดไปเป็นอนุภรรยาของคนเป็นน้องชายโดยแท้ย่อมไม่ถูกชาวบ้านชาวเมืองยอมรับ ทว่าในวันนั้นนางกลับเชื่อคำเขาโดยไร้ข้อกังขา!? ...
...เล่อเยียนเอ๋ย...เล่อเยียน...เจ้ามันโง่งมสมควรตายอย่างยิ่ง!...
‘ได้...ข้ามันโง่...ข้ามันสมควรตาย...หึ...เช่นนั้นท่านจงจดจำเอาไว้ วันแต่งงานของท่านกับสหายชั่วเช่นเสวียนหลิวอิ๋ง วันนั้นคือวันตายของข้า...จ้าวเล่อเยียน!’
กล่าวจบนางก็ผลุนผลันวิ่งหนีกลับเรือนแสงจันทร์ของนางไปเขาเองที่กำลังมีความสุขที่กำลังจะได้แต่งงานกับสตรีอันเป็นยอดดวงใจจึงมิใส่ใจเด็กเอาแต่ใจเช่นจ้าวเล่อเยียนอีกเลย จวบจนในวันรุ่งขึ้นผู้ใดจะคาดในยามที่เขากำลังเข้าห้องหอหวานชื่นกลับมีเสียงกรีดร้องยาวเหยียดของสตรีดังขึ้นราวกับนางเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจากนั้นบึงบัวด้านข้างเรือนหอของเขาก็บังเกิดเสียงดัง’ ตูม!’ ต่อจากนั้นเสียงของสาวใช้ที่เขาพอจะจดจำได้ว่าเป็นของจ้าวเล่อเยียนก็กรีดร้องเรียกหาคนช่วยว่าสะใภ้ใหญ่ตกน้ำก็ดังขึ้น
ความตกใจจึงวิ่งพล่านสุดท้ายเขาก็ต้องออกจากห้องหอไปดูเหตุการณ์ ทว่าก็ยังช้ากว่าคนเป็นพี่ชายใหญ่เช่นมู่หรงฮ่าวเฉินที่พุ่งกายลงไปแหวกว่ายดำผุดดำว่ายค้นหาร่างอรชรอยู่ครู่หนึ่งก็ได้นางคืนกลับมา ทว่ากลับไร้ลมหายใจไปแล้ว แต่มู่หรงฮ่าวเฉินก็พยายามอย่างเต็มที่สุดท้ายลมหายใจของจ้าวเล่อเยียนจึงกลับมาอีกครั้ง
ทว่านางก็ไร้สติไปถึงสามวันเต็ม ถามว่าความผิดนั้นมันอยู่ที่ใครมีเพียงเขาเท่านั้นที่ทราบดีว่าต้นสายปลายเหตุล้วนเป็นเขาเองหากในวันนั้นเขาไม่หลอกลวงนางแต่บอกกับนางออกไปอย่างตรงไปตรงมาเหตุการณ์ดังกล่าวย่อมไม่เกิดขึ้นแล้วมายุ่งยากยุ่งเหยิงในภายหลังเช่นนี้
ยังดีว่าฟางหรูนางยังรู้ความกล่าวไปว่าจ้าวเล่อเยียนเดินออกมาสูดอากาศที่ใกล้บึงบัวแล้วบังเอิญเจองูเข้านางจึงเสียขวัญแล้วพุ่งตกน้ำไปมิใช่เปิดเผยว่าแท้จริงสะใภ้ใหญ่ตั้งใจจบชีวิตในค่ำคืนเข้าหอของเขา ทุกสิ่งภายในจวนจึงยังปกติดี
ทางฝ่ายต้นเหตุนั้นกำลังรู้สึกผิดจากใจ ทว่าฝ่ายของนิวส์จ้าวเล่อเยียนนั้นกลับมิได้สนใจหรือใส่ใจอดีตอันแสนเจ็บปวดของเจ้าของร่างผู้เดิมที่จากไปแล้ว ก็อย่างที่กล่าวไปตั้งแต่เมื่อวานนี้ว่าวันนี้และบัดนี้ ร่างนี้เป็นของนางชีวิตใหม่ก็เป็นของนาง
จะไปเอาอดีตอันเจ็บปวดของกายนี้มาใส่ใจไปไยคนเช่นนางสาวพันวารีเป็นพวกมองไปข้างหน้าอดีตเก็บเอาไว้เป็นบทเรียนเตือนใจก็พอ และในวันนี้นางก็อยากไปซื้อผ้ามาตัดเย็บเป็นเจ้าสองชิ้นน้อยทั้งบนและด้านล่าง ทว่าจะออกจากจวนวันนี้คงยากแล้ว
...อย่ากระนั้นเลยเจ้าของร่างเก่านี้มารดาสามีรักใคร่บิดาของสามีหลงใหลคนมีสมองย่อมต้องรู้จักใช้ให้มีประโยชน์!...
“พี่ฟางหรูข้าจะไปจิบน้ำชากินขนมกุ้ยฮวากับเหล่าฮูหยิน ชุดนี้พอไหวหรือไม่”
นางยังไม่คุ้นลิ้นคุ้นปากภาษาย่อมติดสำเนียงไทยปัจจุบันอยู่บ้างแต่อยู่กันมาหนึ่งวันหนึ่งคืนฟางหรูเริ่มจะคุ้นเคยแล้วจึงไม่คิดว่าคุณหนูของตนเองถูกปีศาจสิ่งสู่อีก
“งดงามแล้วเจ้าค่ะ”
กล่าวเช่นนี้จ้าวเล่อเยียนแปลได้ว่าชุดที่นางสวมนี้’ แจ่ม’ มากพอจะออกไปเฉิดฉายนอกเรือนได้แล้ว ก็นะ...ในจวนนี้มีสามสะใภ้เอก กับอนุภรรยาอีกรวมกันอาจเกินสามสิบคน คนเช่น’ คุณหนูพันซ์’ ไม่เคยออกจากบ้านแล้วไม่ปัง นางย่อมต้องปังยืนหนึ่งจะมาเสียหน้าในยุคโบราณนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
คิดจบคนตัวบอบบางที่ถูกห่อเอาไว้ด้วยเสื้อขนสัตว์หนานุ่มก็ได้ก้าวเท้าออกมาเยือนโลกใบใหม่เป็นครั้งแรกจ้าวเล่อเยียนเริ่มจะปรับตัวยอมรับได้กับอากาศหนาวยังเทียนสุ่ยได้แล้ว ทุกก้าวที่เดินผ่านนางก็มิได้เร่งรีบชมหิมะและดอกเหมยทั้งตูมและบานด้วยจิตใจผ่องใสพอจิตใจภายในมันแจ่มใสกายภายนอกของจ้าวเล่อเยียนจึงงดงามผุดผ่องขึ้นมาอีกหลายส่วน
...และความงดงามเหล่านั้นกลับไปสะดุดสายตาของใครบางคนเข้าเต็มเปา...
ใครบางคนที่เคยริษยาจ้าวเล่อเยียนมาโดยตลอดแต่นางสตรีโง่เขลาผู้นั้นกลับนับงูพิษเช่นนางเป็นสหายรักหึ!...รูปโฉมงดงามแต่ไร้สติปัญญากับมารยาหญิงจืดจางราวปลาตายไม่แปลกหรอกที่บุรุษสมบูรณ์พร้อมเช่นมู่หรงฮ่าวหรานจะมองข้ามมันแล้วหันมาเลือกนางเสียแทน...
...จะวันใดเจ้าก็เป็นได้เพียงตัวรองมือรองเท้าของข้าเสมอจ้าวเล่อเยียน!!!...