ตอน 1
ผู้คนต่างเบียดเสียดกันตรงหน้าประตู เพื่อหมายจะออกก่อนเป็นคนแรกทั้งนั้น มัสยาก็จะลงสถานีนี้เช่นกัน แต่ยังคงยืนเกาะราวแน่นิ่ง ไม่คิดจะไปแย่งชิงพื้นที่กับคนอื่นแต่อย่างใด แม้ในใจจะร้อนรนเพราะความห่วงแม่สักแค่ไหน
แต่ไปช้าสักห้านาทีคงไม่ทำให้อะไรแย่ไปกว่าที่เป็นนัก สาวออฟฟิศวัยยี่สิบห้าในชุดสูทสีดำ เสื้อเชิ้ตตัวในสีขาวมีโอกาสได้ก้าวออกจากประตูรถไฟฟ้า เรียกได้ว่าเป็นคนสุดท้ายของสถานีก็ไม่ผิด
จากนั้นก็รีบเดินเท้าไปยัง โรงพยาบาลพัฒนาธร ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลพอสมควร และเป็นที่เลื่องชื่อเรื่องค่ารักษามหาโหด ใครไม่กระเป๋าหนักจริงไม่อาจจะเข้ามาเป็นคนไข้ในนานๆ ได้
แม้จะเกลียดสถานที่แห่งนี้และไม่ค่อยชอบหน้าเจ้าของกับเครือญาติยังไง แต่ก็จำต้องมา เมื่อน้องชายกับแม่ชื่นชอบที่จะพากันมารักษาที่นี่เหลือเกิน ไม่ว่าจะป่วยหนักป่วยน้อยก็จะหอบกันมาเป็นประจำ
ทั้งๆ ที่มัสยาเคยทั้งบอก ทั้งขู่ ทั้งของร้องเอาไว้นับร้อยๆ ครั้ง แต่ไม่มีใครฟังสักคน เหตุผลที่แม่กับน้องชอบมารักษาที่นี่ไม่ใช่เพราะฐานะทางบ้านร่ำรวยแต่อย่างใด
ตรงกันข้ามครอบครัวเธอกลับจัดอยู่ในพวกจน หรือจะใช้คำพูดดีหน่อยก็พอมีพอกิน แม้เงินที่มีใช้จะไม่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเธอและคนในบ้านเลย แต่การเงินทางบ้านก็ไม่ได้ขัดสนอะไร
แม่กับน้องไม่ต้องทำงานเพียงแค่อยู่บ้านก็อิ่มท้องอย่างสบาย เพราะมีรายได้จากเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้โอนเข้าบัญชีเป็นประจำทุกเดือน
“พี่หยา!”
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องผู้ป่วยวอร์ดวีไอพี ทุกคนต่างหันมามองเธอเป็นตาเดียวกัน อารยะยิ้มให้พี่ด้วยความดีใจ พี่กลับยิ้มไม่ออก เพราะมีเรื่องอยากจะคุยกับน้องให้เด็ดขาด แต่ก็จำต้องกักเก็บเอาไว้
แล้วยกมือไหว้ นายแพทย์เมธี กับนายแพทย์เขมินท์ท์ทร์ ซึ่งกำลังอยู่ในห้องพอดิบพอดี ถ้าให้เดาหนึ่งในสองคนนี้ก็เป็นคนฝ่าตัดไส้ติ่งให้แม่แน่
“ว่าไงหนูหยา! เพิ่งจะเลิกงานเหรอ หน้าตื่นมาเชียว สงสัยจะห่วงแม่มาก ไม่มีอะไรแล้วล่ะ การผ่าตัดเป็นไปด้วยดี หมอเป๊กเป็นเจ้าของไข้เอง สบายใจหายห่วงได้”
มัสยาไม่เคยเดาได้สักครั้ง ว่าภายใต้ท่าทีเป็นมิตรกับใบหน้าเจือยิ้มน้อยๆ ของนายแพทย์ใหญ่ มาจากความจริงใจหรือเสแสร้งแกล้งทำกันแน่
แต่ถ้าเป็นนวลปรางค์ ภรรยาของเขากับ เมธาวี ลูกสาวคนเล็กแล้วนั้น เธอไม่เคยต้องตีความใดๆ
เพราะทั้งสองแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งว่าเกลียดเธอกับคนในครองครัวเธอมากแค่ไหน เรียกได้ว่าเกลียดมาตลอดห้าปีก็คงไม่ผิดนัก นับตั้งแต่นายแพทย์เมธี ขับรถพ่อของเธอตายเป็นต้นมา
มัสยาจำได้ว่าแม่เสียใจแทบตาย เพราะพ่อคือเสาหลักของครอบครัว แม้จะไม่ได้ทำงานตำแหน่งใหญ่โต แต่รายได้จากพ่อรวมๆ แล้วร่วมสามหมื่น ซึ่งพอค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ และค่าน้ำค่าไฟ
ส่วนค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะมาจากรายได้ทำขนมส่งของแม่ รวมทั้งค่าเล่าเรียนของมัสยาด้วย พอพ่อจากไปแม่ก็จ้างทนายและใช้นักข่าวที่ประจำอยู่สถานีตำรวจท้องที่
ที่กระหายข่าวคาว ข่าวเสียๆ หายๆ ของพวกเศรษฐีให้เป็นประโยชน์ด้วยการเรียกร้องเป็นเงินก้อนห้าล้านบาท กับทั้งค่าเลี้ยงดูรายเดือนห้าหมื่นบาทจนกว่าลูกคนเล็ก จะอายุครบยี่สิบสามปีบริบูรณ์ ซึ่งก็เหลือเวลาอีกไม่ถึงปี
มัสยารู้ว่าคู่กรณีตลอดจนคนในครอบครัวไม่ชอบแม่ กับเธอและน้องที่เรียกร้องมากเกินไป แต่ถ้าไม่เจอกับใครก็คงไม่เข้าใจหรอกว่า ชีวิตคนคนหนึ่งนั้นมีค่ามากกว่าเงินที่ได้มาไม่รู้ต่อเท่าไหร่
เธอจึงไม่คิดจะสนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดยังไง แม้เวลาอยู่บ้านเธอจะคอยบอกแม่ว่าให้พอ ให้หยุดขอนั่นขอนี่จากอีกฝ่ายยังไง
แต่ลึกๆ แล้วก็ค่อนข้างเข้าใจแม่เป็นอย่างดี ว่าแม่เสียสามีอันเป็นที่รักและเสาหลักไป เป็นใครก็ต้องทำแบบนี้ถ้ามีโอกาส
“คุณน้าปลอดภัยแล้วครับ อีกหน่อยก็คงจะตื่นขึ้นมาคุยกับคุณได้บ้าง แต่ไม่มากนะครับเพราะผมอยากให้พักผ่อนก่อน นอนพักสักสี่ห้าวันก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้วล่ะครับ”
ส่วนนายแพทย์เขมินท์ท์ทร์นั้น มัสยาไม่อาจจะรู้ได้ว่าเขาจัดอยู่ฝ่ายไหนระหว่างพ่อกับแม่และน้องสาว เพราะเขารักษาท่าทีเรียบขรึม สุภาพ
กระเดียดออกไปทางถือตัว หรือหยิ่งไม่เหมือนพ่อสักนิด แต่ก็ไม่ใช่พวกแสดงออกตรงๆ โจ้งๆ หญิงสาวจึงเดาไม่เคยออกว่าแท้จริงแล้วในใจเขาคิดอะไร
เรียกได้ว่าทั้งครอบครัวมัสยาพอจะอ่านออกได้ชัดเจนว่ามีความเป็นมิตรให้เธอกับแม่และน้องคนเดียว นั่นคือ ‘นายแพทย์เมธาวัฒน์ พัฒนาธรสกุล’ ลูกชายคนกลางเท่านั้น
เพราะมักจะอารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใสให้เสมอเวลาได้พบเจอหน้ากัน แถมยังอ่อนน้อมมือไม้อ่อนต่อผู้อาวุโสกว่าด้วย
“ขอบคุณค่ะ”
แต่เธอไม่คิดจะแคร์อะไรมากมายนักว่าใครจะคิดยังไง และถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากพาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวนี้ด้วยซ้ำ เหตุผลไม่ใช่ที่นายแพทย์เมธีทำให้พ่อต้องตาย
นั่นเพราะเธอแยกแยะได้ว่าเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่เป็นที่นวลปรางค์กับลูกสาวมักจะประณามเธอและคนในบ้านว่าเป็น
‘พวกขอทาน หรือพวกริ้นไร คอยสูบเลือดสูบเนื้อ ให้เท่าไหร่ไม่รู้จักพอ กินเท่าไหร่ไม่รู้จักอิ่ม’
เรื่อยมานับตั้งแต่วันที่แม่ลุกขึ้นมาเรียกร้องเงิน จนกระทั่งวันนี้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมมัสยาถึงไม่อยากให้แม่กับน้องมาข้องเกี่ยวกับคนพวกนี้นัก
แต่ก็ไม่เคยห้ามได้สักครั้ง เหมือนวันนี้ที่แม่ปวดท้อง น้องก็พามา พอรู้ว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบแม่ก็ถูกพาตัวเข้าห้องผ่าตัดทันที
แม้ค่าใช้จ่ายจะแพงแสนแพง เพราะได้อภิสิทธิ์จากนายแพทย์เมธีด้วยการรักษาฟรีตลอดชีวิตทั้งบ้าน เพื่อชดเชยกับอีกหนึ่งชีวิตที่จากไปด้วยน้ำมือของเขา มัสยารู้ดีว่าไม่มีอะไรมาเทียบกับชีวิตพ่อได้