เย่วซินปั่นจักยานเข้ามาในหมู่บ้านหลายคนมองเธอ บางคนก็ซุบซิบ บางคนก็อิจฉา เพราะว่าจักรยานในหมู่บ้านนี้มีแค่บ้านของผู้นำหมู่บ้านที่พอจะมีฐานะ
เธอปั่นจักรยานโดยไม่สนใจสายตาของใคร ยังถือคติเช่นเดิม คือโนสนโนแคร์ค่ะ ปั่นมาจนถึงหน้าบ้านเย่วซินลงจากจักรยานแล้วก็เรียกห่าวหรวนให้มาเปิดประตูให้
“ห่าวหรวน เปิดประตูให้พี่หน่อย พี่กลับมาแล้ว”
ห่าวหรวนได้ยินเสียงพี่สาวเรียกอยู่ที่หน้าประตู จึงเดินมาเปิดประตูพอมองเห็นจักรยานที่พี่สาวกำลังจะจูงเข้าบ้านจึงตะโกนถามด้วยอาการตื่นเต้น
“พี่ซินซิน พี่เอาจักรยานมาจากไหน สวยมากเลยพี่”
พร้อมกับลูบ ๆ คลำ ๆ จักรยานด้วยความตื่นเต้นดีใจ หยางลี่มี่พอเห็นว่าเย่วซินกลับมาแล้ว รีบเดินเข้ามาหาทันที เย่วซินนั่งยอง ๆ อ้าแขนออก หยางลี่มี่เมื่อเห็นดังนั้นรีบโถมตัวเข้าหาน้าเย่วซินทันทีด้วยความคิดถึง
“น้าเย่วซินกลับมาแล้ว ลี่มี่คิดถึงน้ามากเลย”
ลี่มี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มแสนหวาน
“ห่าวหรวนเดี๋ยวพี่ฝากดูลี่มี่ก่อนนะพี่จะรีบทำอาหารกลางวัน เราไปกินพร้อมกันกับพี่ใหญ่ดีไหม นี่ก็ใกล้เวลาพักแล้ว”
เธอยื่นลูกอมรสนมให้กับห่าวหรวนและบอกให้แบ่งกับลี่มี่
“ครับพี่ซินซิน มาครับลี่มี่มากับน้าห่าวหรวนครับ มีลูกอมด้วย เรากินกันที่ห้องโน้นดีกว่า”
เมื่อสองคนเดินออกไป เย่วซินก็ได้ขนของที่เธอเอาออกมาระหว่างทางนั้นเดินเข้าไปในครัว และก็ได้เริ่มทำอาหารกลางวันไปกินกันที่แปลงนากับพี่ให้พร้อมกับทุกคน กำลังคิดอยู่ว่าเที่ยงนี้จะทำอะไรกินดี เธออยากจะกินแฮมเบอร์เกอร์และอยากจะกินอะไรร้อน ๆ ทำเป็นซุป
“ทำซุปไข่ดีกว่า กินกับแฮมเบอร์เกอร์เนื้อหมูแน่น ๆ”
เย่วซินนำขนมปังเบอร์เกอร์ และหมูบดที่ปรุงไว้สำหรับทำเบอร์เกอร์ที่อยู่ในร้านอาหารออกมาจากมิติ เครื่องปรุงอย่างอื่นเธอเอาออกมาจัดเก็บไว้ในครัวบ้างแล้ว เธอจึงเริ่มลงมือจุดไฟตั้งเตา
นำน้ำซุปมาตั้งไฟให้เดือดพล่าน ใส่เกลือและพริกไทย ต้มซุปต่อไปอีกนาทีหนึ่ง แล้วปิดไฟ ค่อย ๆ เทไข่ลงไป คนไข่ตามเข็มนาฬิกาช้า ๆ อย่างสม่ำเสมอ เพื่อที่ไข่จะได้ดูเป็นเส้น
จากนั้นโรยต้นหอมหรือใส่บะหมี่ลงในซุปหลังจากที่ไข่จับตัวเป็นทรงแล้ว
พอเย่วซินเธอทำซุปไข่เสร็จเธอทำเบอร์เกอร์ต่อทันที เธอทำเบอร์เกอร์ทั้งหมดสิบชิ้น และชงน้ำหวานมาอีกหนึ่งกระติกใหญ่
เมื่อเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้วเธอก็ได้เรียกให้น้องชายมาช่วยขนของทันที
“ห่าวหรวน ช่วยพี่ขนของไปใส่ไว้ในตะกร้าหน้ารถจักรยานหน่อย เราไปหาพี่ใหญ่ที่แปลงนากัน”
จางเยวซินอุ้มลี่มี่เดินออกมาหน้าบ้านให้ลี่นั่งด้านหน้า (เย่วซินเธอใส่ที่นั่งสำหรับเด็กไว้ด้วย) และให้ห่าวหรวนปิดประตูบ้านแล้วนั่งซ้อนท้ายจักรยานปั่นไปหาพี่ใหญ่กันที่แปลงนากันสามคน
ระหว่างปั่นจักรยานนั้น มีชาวบ้านมองตลอดทาง แต่ทั้งสามคนไม่มีใครสนใจพวกชาวบ้านที่มองกันเลย บางคนมองแล้วก็ซุบซิบกันในกลุ่ม บ้างก็มองด้วยอาการตื่นเต้นที่มีจักรยานอีกคันในหมู่บ้าน
หยางลี่มี่มัวแต่ตื่นเต้นดีใจที่ได้นั่งจักรยานครั้งแรก และชวนคุยกันกับเย่วซินตลอดเส้นทางไม่สนใจใครเลย แต่มีสายตาสองคู่ที่มองหยางลี่มี่ด้วยความอิจฉา คิดว่ากลับไปบ้านจะฟ้องแม่กับย่าให้จัดการ
ห่าวหรวนถึงแม้จะตื่นเต้น แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกมามากเท่าลี่มี่ เย่วซินปั่นได้สักพักก็ถึงแปลงนา เธอจอดจักรยานแล้วอุ้มลี่มี่แล้วให้ห่าวหรวนหยิบของตามมา
คนที่ลงงานในแปลงนาต่างก็มองหน้ากันว่าทำไม หยางลี่มี่บ้านหยางถึงได้อยู่กับน้องสาวบ้านจาง แม้แต่บ้านหยางก็อดที่จะสงสัยไม่ได้
ส่วนสะใภ้รองบ้านหยางนั้น เวลานี้ยืนหน้าดำมืดด้วยใจที่อิจฉาลี่มี่เป็นอย่างมาก
ลี่มี่เป็นเด็กที่ขาดแม่แต่ทำไมสองวันมานี้ถึงมีความสุขเหลือเกิน ดูมีชีวิตที่ดีขึ้น ดูชุดที่ลี่มี่ใส่นั่นสิแล้วยังได้นั่งรถจักรยานคันใหม่นั่นอีก
เมื่อเย่วซินมองเห็นพี่ชายนั่งรออยู่ที่ใต้ต้นไม้ ส่วนพี่ซีห่าวของเธอกำลังเดินมาจากแปลงนาของที่บ้านหยางที่เขาทำงานอยู่ ลี่มี่เมื่อเห็นพ่อของเธอเดินเข้ามาจึงร้องเรียกขึ้น
“พ่อขา ลี่มี่มาแล้วค่ะ ลี่มี่มากับน้าซินซินและน้าห่าวหรวนยังได้นั่งจักรยานคันสวยของน้าซินซินด้วยนะคะ”
ซีห่าวเมื่อได้ฟังลูกสาวเรียกเย่วซินว่าคุณน้าซินซินก็ทำหน้าสงสัย เขาสงสัยว่าทำไมลูกสาวเขาถึงเปลี่ยนการเรียก เย่วซินก็ไม่ปล่อยให้เขาสงสัยนานจึงเอ่ยไปว่า
“เอ้า ยังมาทำหน้างงใส่อีก ฉันเป็นคนให้เรียกแบบนี้เอง ไม่แน่ว่าในอนาคตสถานะอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้ใครจะไปรู้”
เธอขยิบตาให้ซีห่าวทันทีที่พูดจบ หยอดวันละนิดจิตแจ่มใส เย่วซินเธอคิดในใจ
พูดจบแล้วก็ปล่อยให้ซีห่าวยืนหูแดงหน้าแดงอยู่ตรงนั้น ตัวเธอก็อุ้มลี่มี่กับจูงห่าวหรวนเดินไปหาพี่ใหญ่ห่าวอู๋ทันที ใครว่าเธอไม่เขินล่ะ เธอเขินเหมือนกันนะ แต่เธอถือคติที่ว่าด้านได้อายอดค่ะ
เมื่อทุกคนมานั่งพร้อมกันแล้ว เย่วซินจึงเอาอาหารออกมายื่นให้กับทุกคน ทุกคนมองก้อนกลม ๆ ที่ห่อกระดาษด้วยความฉงนและสงสัยว่ามันคืออะไรเพราะไม่เคยเห็น แต่เมื่อแกะห่อกระดาษเท่านั้นแหละกลิ่นความหอมของเนื้อได้ลอยเข้าจมูกของแต่ละคน แม้แต่ลี่มี่ตัวน้อยเองก็น้ำลายแทบจะไหลออกมา
“ไม่ต้องสงสัยค่ะ กินไปค่ะทุกคน เย็นนี้ฉันมีเรื่องจะบอกกับทุกคนรวมทั้งพี่ซีห่าวด้วย แต่ตอนนี้หิวแล้วกองทัพต้องเดินด้วยท้อง”
ทั้งห้าคนไม่มีใครทนกลิ่นหอมของอาหารได้เลย จึงลงมือกินอาหารกันอย่างอร่อย ปล่อยให้คนที่อยู่แถวนั้นมองทั้งหมดกินด้วยความอิจฉา แต่แล้วอยู่ ๆ ก็มีเสียงแหลม ๆ ร้องดังขึ้น
“พี่ใหญ่หยางกินอาหารดี ๆ ไม่คิดจะเรียกพ่อกับแม่บ้างเหรอ ช่างเป็นคนดีจริง ๆ”
ไม่ใช่เสียงใครที่ไหน ทว่าเป็นเสียงของฟางเซียง สะใภ้รองบ้านหยางนั่นเอง
ซีห่าวเหลือบสายตาขึ้นมามองเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่ได้สนใจที่จะพูดคุยกับฟางเซียงเลย ฟางเซียงเห็นดังนั้นก็หน้าเสียที่ซีห่าวทำเป็นไม่สนใจเธอ เธอจึงได้หันไปหาลี่มี่แทน
“ลี่มี่จ๊ะ ไม่คิดจะเอาของกินไปให้ปู่กับย่าบ้างเหรอ ปู่กับย่ากินแต่แป้งจี่แข็ง ๆ ไม่เห็นมีเนื้อเหมือนที่เธอกินเลย กินคนเดียวแบบนี้เขาเรียกอกตัญญูหรือเปล่า” ฟางเซียงเธอลอยหน้าลอยตาพูดกับหยางลี่มี่
“ป้าพูดแบบนี้ไม่สวยเลยนะ ป้าเป็นใครถึงมาพูดแบบนี้ คนดี ๆ ที่ไหนมาพูดแขวะเด็กสี่ห้าขวบ ท่าทางประสาทจะไม่ดี ป้าลืมกินยาหรือเปล่า”
เย่วซินเธอหันหน้าไปพูดตอกกลับทันทีที่ฟางเซียงพูดจบ เธอได้แต่คิดว่ายายป้าคนนี้เป็นใคร
“แล้วก็นะป้า ช่วยถ่างตาดูก่อนนะว่าของพวกนี้ทำมาให้ใครกิน ป้าไม่ใช่คนในครอบครัวฉัน ทำไมฉันต้องให้ป้าด้วยล่ะ หรือว่าป้าตายแล้วถึงมาขอส่วนบุญ”
เย่วซินเธอไม่ใช่คนที่จะยอมใคร เธอโตมาจากบ้านเด็กกำพร้าเมื่อชาติก่อน ฝีปากของเธอไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร เพราะส่วนมากเธอจะโดนดูถูกเป็นประจำ
“ฉันไม่ได้แก่ขนาดนั้นนะถึงจะมาเรียกฉันว่าป้า และที่สำคัญฉันเป็นน้องสะใภ้ของพี่ซีห่าว เธอจะมาเรียกฉันว่าป้าไม่ได้”
“ลี่มี่จ๊ะ โตขึ้นหนูอย่าร้องโหยหวนแบบนี้นะลูก ไม่ดีไม่งามค่ะ แต่ว่าตอนนี้หนูต้องเอามือปิดหูก่อนนะ พี่ซีห่าวพี่อุ้มลี่มี่ก่อนค่ะเอามือปิดหูลูกด้วยนะพี่”
เย่วซินพูดกับเด็กน้อยก่อนจะส่งลี่มี่ให้กับซีห่าว
ซีห่าวและห่าวอู๋ลอบสบตากันแล้วยกยิ้มมุมปาก ส่วนห่าวหรวนแอบยกนิ้วโป้งให้กับพี่ซินซินของเขา สู้คนแบบนี้สิถึงถูก ตอนแรกเขากลัวว่าพี่สาวเขาจะตกใจ ก้มหน้าก้มตาเหมือนเมื่อก่อนที่พอใครพูดไม่ดีหรือว่าเวลาใครแกล้งพี่สาวเขาได้แต่ก้มหน้า