เช้านี้เย่วซินตื่นขึ้นมาด้วยอาการสดชื่น และอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เธอลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าง่าย ๆ ให้พี่ชายและน้องชายได้กินก่อนที่จะได้เวลาเริ่มลงงานที่แปลงนา
“พี่ใหญ่ ห่าวหรวน มากินข้าวได้แล้ว ฉันทำอาหารเสร็จแล้ว” เย่วซินเอ่ยเรียกห่าวอู๋และห่าวหรวน
“ซินซิน วันนี้น้องทำอะไร หอมมากเลย”
“ใช่ครับพี่รองพี่ทำอะไรทานครับ กลิ่นหอมมากจนท้องผมร้องเสียเสียงดังเลยครับ” ห่าวหรวนถาม พร้อมกับเอามือลูบท้อง
“พี่ใหญ่ เดี๋ยววันนี้ฉันเอาข้าวเที่ยงไปส่งที่แปลงให้พี่นะ พี่จะได้ไม่ต้องเดินกลับมากินข้าวที่บ้านให้เหนื่อย พี่จะได้มีเวลางีบและจะได้พักสักหน่อยด้วย”
เย่วซินบอกกับห่าวอู๋ด้วยความเป็นห่วง เพราะถ้ากินข้าวที่แปลงนาเลยพี่ชายเธอจะได้มีเวลาพักผ่อน ก่อนที่สัญญาณเริ่มงานช่วงบ่ายจะดังขึ้น
“แล้วน้องหายดีแล้วเหรอ เดินไปแปลงนาแดดร้อนมากนะ พี่กลัวอาการไข้ ของเราจะกลับขึ้นมาอีก”
“น้องหายดีแล้วค่ะ ส่วนห่าวหรวนก็ไปโรงเรียนได้แล้วนะ หยุดเรียนมาดูแลพี่หลายวัน พี่กลัวครูที่โรงเรียนจะว่าเอา แล้วก็กลัวเราจะเรียนไม่ทันที่ครูสอน”
เธอบอกพร้อมกับทำหน้าตาทะเล้น ประมาณว่าเธอหายป่วยแล้วจริง ๆ
“ได้ อย่างนั้นตามใจน้องละกัน”
ห่าวอู๋พูดด้วยอาการจนใจ กับการที่น้องสาวแสดงสีหน้าทะเล้นออกมา
หลังจากจบมื้อเช้า ห่าวอู๋ก็ได้เดินออกไปที่แปลงนา เพราะเหลือเวลาไม่นานแล้วก่อนที่สัญญาณเริ่มงานจะดังขึ้น ระหว่างทางได้เจอกับซีห่าวและลูกสาวตัวน้อยวัยสี่ขวบกว่า ชื่อ หยางลี่มี่
“อ้าว พี่ซีห่าว กำลังไปแปลงนาเหรอครับ แล้วนี่พาลี่มี่ไปด้วยเหรอพี่”
“ใช่ พี่กำลังไปที่แปลงนา วันนี้ลี่มี่อยากไปด้วย ห้ามอย่างไรก็ไม่ฟัง ร้องจะตามมาด้วย”
ซีห่าวพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อเอ่ยถึงเหตุผลว่าทำไมเด็กน้อยถึงมาด้วย
เด็กน้อยนามว่าลี่มี่ เมื่อเห็นห่าวอู๋ทักทายบิดาของตน ลี่มี่จึงได้เอ่ยทักทายด้วยเช่นกัน
“สวัสดีค่ะ คุณน้า วันนี้หนูมาทำงานกับพ่อด้วยค่ะ”
เด็กน้อยพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับกอดคอของพ่อ
“ครับ อย่างนั้นรีบไปกันเถอะพี่ แต่น้าคิดว่าลี่มี่มาช่วยทำงาน หรือมาป่วนกันแน่”
ห่าวอู๋พูดกับหลานตัวน้อยด้วยรอยยิ้มบ้างหัวเราะบ้าง จากนั้นจึงเดินไปที่แปลงนาพร้อมกัน
กลับมาที่เย่วซิน หลังจากที่ห่าวหรวนน้องชายของเธอได้เดินทางไปโรงเรียน เธอจึงเดินสำรวจในครัวอีกครั้งเพื่อที่จะดูว่าของกินของใช้มีอะไรบ้าง ซึ่งอาหารและเสบียงภายในบ้านเหลือไม่มากแล้ว คงใช้ได้อีกไม่กี่วัน
วันนี้เธอจึงได้แอบเอาของออกมาจากมิติอีกเล็กน้อย เพื่อที่จะทำอาหารเที่ยงไปส่งให้พี่ชายที่แปลงนา พรุ่งนี้เธอจะหาโอกาสเข้าไปในเมืองดูว่ามีลู่ทางหาเงินบ้างไหม
“ฉันจะพาทุกคนในครอบครัวไปอยู่ในเมืองให้ได้ แต่ก่อนอื่นต้องหาเงินให้ได้มาก ๆ เสียก่อน”
เย่วซินคิดที่จะพาครอบครัวไปทำมาค้าขายในเมืองดีกว่าที่จะให้พี่ชายเธอทำงานในทุ่งนาแบบนี้ อย่างไรพี่ชายเธอก็เรียนจบถึงมัธยมปลายคงไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะทำธุรกิจหรอกมั้ง เย่วซินคิดในใจ แต่ทว่ายุคนี้ยังไม่มีการให้ค้าขายอย่างเสรีนี่สิคือปัญหาใหญ่
“ไปทำอาหารก่อนดีกว่า นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาพักแล้ว”
พอใกล้จะถึงเวลาที่พี่ใหญ่ของเธอพักแล้ว เธอจึงรีบไปทำอาหาร เพื่อที่จะไปส่งให้พี่ใหญ่ที่แปลงนา
เธอจุดเตาไฟตั้งหม้อต้มน้ำ เพื่อที่จะทำเกี๊ยวน้ำ เธอได้หยิบเกี๊ยวสำเร็จรูปแบบแช่แข็งที่เธอซื้อไว้ในมิติ พร้อมทั้งหยิบซาลาเปาไส้หมูสับห้าลูก ไส้หวานอีกสามลูกออกมาใส่ลังนึ่ง แล้วนึ่งทิ้งไว้
“เที่ยงนี้อาหาร แค่สองอย่างก็น่าจะพอ เอาแบบง่าย ๆ นี่ล่ะ หวังว่าพี่ใหญ่คงจะกินได้นะ”
ก่อนจะเดินออกจากหน้าเตา เพื่อไปเตรียมน้ำหวานเอาใส่กระติกไปให้พี่ใหญ่ไว้ดับกระหาย
เมื่ออาหารทั้งสองอย่างร้อนได้ที่แล้ว เธอได้ใส่เครื่องปรุงลงในหม้อเกี๊ยวน้ำ จากนั้นรออีกสิบนาทีเกี๊ยวน้ำก็เสร็จเรียบร้อยพร้อมทาน
หลังจากเธอเตรียมอาหารเสร็จแล้ว เธอนำอาหารทั้งสองอย่างใส่ตะกร้า แล้วใช้ผ้าปิดไว้ จากนั้นเธอก็หยิบกระติกน้ำที่เตรียมไว้ เสร็จแล้วเธอก็เดินออกมาปิดประตูบ้านเพื่อที่จะไปส่งอาหารที่แปลงนา
ระหว่างทางเธอได้เจอคนในหมู่บ้านหลายคนส่วนใหญ่ก็จะมองเธอแบบแปลก ๆ คงเป็นเพราะไม่เคยเห็นเธอเดินมาที่แปลงนา แต่เธอก็ไม่ได้สนใจและไม่ต้องการจะสนทนาหรือพูดคุยกับใคร
เพราะโดยปกติร่างเดิมนั้นก็ไม่ค่อยจะคุยกับใครอยู่แล้ว ยิ่งเป็นคนที่เธอไม่สนิทสนมด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เธอไม่สนใจใครอยากจะมองอย่างไร ก็มองไปเถอะ
เย่วซินเดินผ่านบุคคลเหล่านั้นไปเรื่อย ๆ จนถึงแปลงนา เธอเห็นพี่ใหญ่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ มองมาเห็นเธอพอดีพร้อมโบกมือให้เธอด้วยรอยยิ้ม เธอเลยโบกมือพร้อมกับยิ้มตอบกลับไป
“พี่ใหญ่เหนื่อยไหม ซินซินมาแล้ว พี่หิวหรือยัง ”
เธอถามออกไปพร้อมรอยยิ้ม
“ขอโทษด้วยนะ ฉันมาช้าไปหน่อย แต่หน่อยเดียวจริง ๆ นะ”
เธอพูดพร้อมกับทำมือว่าเธอมาช้าแค่นิดเดียวจริง ๆ ด้วยหน้าตาที่เหมือนจะน่าสงสาร
แต่สำหรับห่าวอู๋แล้ว กิริยาและหน้าตาที่เธอทำพร้อมกับท่าทางของเธอที่แสดงออก มันไม่ได้น่าสงสารเลยสักนิดเดียว เขามองว่ามันน่าหมั่นไส้มากกว่า เขาเลยตอบน้องสาวด้วยเสียงหัวเราะไปว่า
“หึหึ ไม่สายหรอก พี่เพิ่งจะได้พัก นั่งได้แป๊บเดียวเราก็มานี่แหละ”
“พี่ใหญ่หัวเราะฉันทำไม ฉันไม่ได้เป็นตัวตลกเสียหน่อย เชอะ” เธอพูดไป ค้อนไป
“มากินอาหารดีกว่า พี่น่าจะหิวแล้ว”
พูดจบ เย่วซินก็ส่งกระติกน้ำพร้อมแก้วให้กับพี่ชาย
“ดื่มน้ำหวานเสียก่อนพี่ใหญ่ จะได้สดชื่น”
จากนั้นเธอก็ได้จัดแจงนำอาหารออกมาจากตะกร้า และตักเกี๊ยวน้ำใส่ถ้วยส่งให้กับพี่ชาย
ห่าวอู๋รับถ้วยมาจากน้องสาว ก่อนจะหันไปเห็นซีห่าว พร้อมกับลูกสาวตัวน้อยที่กำลังเดินผ่านมาจึงได้เอ่ยทักไปว่า
“อ้าวพี่ซีห่าว จะไปไหนเหรอพี่”
“พี่จะกลับไปทำอาหารที่บ้านน่ะ วันนี้ไม่ได้เตรียมมา เมื่อเช้าลี่มี่งอแงนิดหน่อย”
“มากินด้วยกันสิ พี่ไม่ต้องกลับไปทำกินที่บ้านหรอกกว่าพี่จะกลับไปทำอาหารเสร็จ ยังไม่ทันได้กินอิ่ม เสียงแตรทำงานได้เริ่มขึ้นก่อนพอดี”
ห่าวอู๋ได้ชวนซีห่าวทานอาหารด้วยกัน เพราะเขาสงสารเด็กน้อยคิดว่าลี่มี่คงจะหิวแล้วแน่ ๆ
“ลี่มี่หิวหรือยัง มากินอาหารกับน้ามา”
ลี่มี่ยิ้มหวาน พร้อมหันมองหน้าพ่อ พร้อมกับขอลงจากการอุ้มของพ่อ
“พ่อ ลี่มี่ลงได้ไหม”
ส่วนเย่วซินนั้น เธอได้นิ่งค้างไปแล้วตั้งแต่เห็นหน้าของซีห่าวแล้ว เธอคิดในใจว่า ใช่เลย โดนใจฉันเลย ใจเธอเต้นโครมครามแทบจะทะลุออกมาจากอก
แต่หลังจากที่ได้ยินเด็กน้อยเรียกชายคนนี้ว่าพ่อเท่านั้นแหละจากอาการนิ่งค้าง หัวใจเต้นแรง กลับกลายเป็นมีคนมาถีบเธอลงเหวทันทีเสียอย่างนั้น แห้วกินไปเลยทีนี้
ฮือ ๆ ทำไมต้องมีลูกมีเมียแล้วด้วย ฉันมาช้าไปใช่ไหม ถ้ามีลูกอย่างเดียว ฉันจะโนสนโนแคร์เลย