8
“คุณปล่อยฉันเถอะนะ...”
เธอพูดเสียงเบา หดลำคอหนีเรียวปากที่คลอเคลียไม่ห่าง ขนในกายเริ่มลุกเมื่อผิวเนื้อสัมผัสกับลมหายใจอุ่นๆ ของเขา
“ก็บอกแล้วไงว่าต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
เขาพูดขณะที่ใบหน้ากำลังป้วนเปี้ยนอยู่แถวซอกคอหอม
“อะ...อะไรล่ะ”
“ยังนึกไม่ออกติดไว้ก่อนก็แล้วกัน”
“ถ้ายังนึกไม่ออกก็ปล่อยก่อนสิ” เธอพูดอีกครั้งทั้งๆ ที่ยังเอามือมาปิดปากไม่ยอมปล่อย
“นึกออกแล้ว...ต้องให้ฉันจูบก่อน”
คำพูดของเขาทำให้เธอส่ายหน้าดิก ปฏิเสธทันที อยู่ๆ จะมาให้เขาจูบไม่มีทาง เจอหน้ากันวันเดียวแท้ๆ เลย อดคิดไม่ได้ว่าเขาจะหาเศษหาเลยแบบนี้กับพี่สาวของเธอหรือเปล่า
“ไม่”
“เลือกเอาจะให้จูบหรือว่าจะให้ปล้ำ”
ดวงตาของมนตราเบิกกว้างทันที ทางเลือกแรกว่าแย่แล้ว ทางเลือกที่สองหนักกว่าหลายร้อยเท่า อยากรู้เป็นอย่างมากว่าเขาเคยทำแบบนี้กับพี่สาวหรือเปล่า มือที่ปิดปากไว้ตอนนี้เลื่อนมาอยู่ที่หน้าตักของหญิงสาว ก่อนที่เธอจะยิงคำถามที่ตัวเองสงสัย
“ฉันถามหน่อยเถอะ คุณเคยทำแบบนี้กับพี่สาวฉันหรือเปล่า ท่าทางคุณมือไวใจเร็วเหลือเกินนะ”
เขายิ้มเต็มใบหน้า รอยยิ้มที่ใกล้กันเพียงลมหายใจช่างสวยงามและเอิบซ่านในหัวใจของหญิงสาวยิ่งนัก ความรู้สึกเกลียด ไม่ชอบหน้า ถดถอยลงกลายเป็นความตื่นเต้น ยามเมื่อได้ใกล้ชิด
“ไม่เคยและไม่คิดที่จะทำด้วย”
เขาตอบก่อนจะเลื่อนริมฝีปากมาทาบทับปากช่างเจรจา โดยที่หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว จูบของเขาหวานล้ำอ่อนโยน และแผ่วเบา กลีบปากนุ่มที่ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนสัมผัสมาก่อน สั่นไหวเล็กน้อย ลิ้นนุ่มที่ถูกรุกรานด้วยลิ้นหนา สั่นระริกด้วยความหวาดกลัวระคนใคร่รู้
ความหอมหวานที่เขาได้รับจากกลีบปากและเรียวลิ้นนุ่ม ทำให้บางสิ่งบางอย่างวิ่งพล่านอยู่ในร่างกาย มันคือความร้อนจากทุกสารทิศ มารวมอยู่ในร่างกายของเขา ร้อนจนเขาอยากจะถอดเสื้อผ้าออก เพื่อบรรเทาความร้อนรุ่มที่สุมอยู่ในร่างกาย ผู้หญิงที่ปากร้ายอย่างเธอเหตุไฉนกลีบปากของเธอจึงมีความนุ่มผสมผสานกับความหอมหวานที่มากล้นเช่นนี้...หวานจนไม่อยากผละจากเลย ถ้าไม่เป็นเพราะ...
กริ๊ง...กริ๊ง...กริ๊ง เสียงโทรศัพท์ภายในห้องแผดเสียงร้องดัง ราวกับระฆังช่วยชีวิตของมนตรา ทันทีที่เขาผละริมฝีปากออก หญิงสาวผลักร่างของเขาอย่างแรง ก่อนจะวิ่งเข้าไปในห้องครัว ไม่หันกลับมามองเขาเลย วิศรุตเอื้อมมือมารับโทรศัพท์อย่างขัดใจ กระแทกเสียงใส่ปลายสายอย่างหงุดหงิด
“มีอะไร”เขาเอ่ยถามเสียงดังโดยไม่รู้ว่าต้นสายคือใคร
“เอ่อ...น้องมาร์ชคะ นี่พี่ซาซ่าเองนะคะ คือพี่จะโทรฯ มาบอกว่างานเขาเลื่อนมาเร็วกว่ากำหนดครึ่งชั่วโมง ตอนนี้น้องมาร์ชอยู่ไหนแล้วค่ะ”
ซาซ่าสาวประเภทสองเจ้าหน้าที่ของต้นสังกัด เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา ดูท่าทางตอนนี้วิศรุตคงอารมณ์ไม่ดีอย่างแรง
“ทีหลังโทรฯ มาบอกให้มันไวกว่านี้หน่อยนะ แค่นี้แหละ”
วิศรุตตัดสายทิ้งทันที ก่อนจะเดินไปยังห้องครัว สายตาของเขามองเห็นร่างของสาวน้อยแสนหวาน กำลังง่วนอยู่กับการทำแซนด์วิชทูน่า จัดใส่กล่องพลาสติกรูปทรงสี่เหลี่ยม
“เมื่อกี้ซาซ่าโทรฯ มาเราต้องไปงานกันแล้วนะ พอดีเขาเลื่อนกำหนดเข้ามาครึ่งชั่วโมง” เขาก้าวเท้าเข้ามาหาเธอพร้อมกับพูดไปด้วย
“หยุดอยู่ตรงนั้นไม่ต้องเข้ามา นี่แซนด์วิชเอาไปกินระหว่างทาง”
เธอวางกล่องแซนด์วิชไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเดินอ้อมโต๊ะรับประทานอาหาร เพื่อที่จะได้ไม่ต้องใกล้ชิดกับเขา และไม่มองหน้าเขาด้วย จะมองได้อย่างไรแค่นี้ก็อายจะแย่แล้ว
“เธอต้องไปด้วยนะมน...เพราะเธอเป็นผู้จัดการส่วนตัวของฉัน”
เขาพูดเหมือนออกคำสั่งกลายๆ มนตราหน้ายุ่งเล็กน้อย ยืนกรานเสียงแข็งว่าจะไม่ไปกับเขาเด็ดขาด
“ไม่ไป...ยังไงก็ไม่ไป”
“ต้องไป” วิศรุตพูดเดินตามหญิงสาวอย่างไม่ลดละ
“ไม่ไป”
“ต้องไป ถ้าไม่ไปยากลับมาฉันจะไล่ยาออก เพราะคนที่มาทำงานแทน...ทำงานไร้ประสิทธิภาพ”
หญิงสาวที่เอาแต่หลบหน้าหลบตา เงยหน้ามองเขาเขม็ง ทำไมเขาต้องข่มขู่เรื่องนี้กับเธอด้วย มายาไม่ผิดซะหน่อย
“ทำไมคุณต้องขู่ฉันอยู่เรื่อยเลย ใช่สิ...ฉันมันคนจนตรอก ไม่มีทางสู้ คุณถึงมาย่ำยีฉันอย่างนี้”
เสียงของหญิงสาวสั่นเครือคล้ายกำลังจะร้องไห้ คนฟังถึงกับอึ้ง เขาไม่เคยคิดแบบนั้นเลย เพียงแต่ข่มขู่ให้หญิงสาวไปกับเขาเท่านั้น
“ฉันไม่เคยคิดแบบนี้นะ โอเค...เรื่องเมื่อกี้ฉันขอโทษก็แล้วกัน ต่อไปนี้เรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นอีก ตกลงหรือเปล่า”
หญิงสาวชั่งใจกับคำพูดของเขา อันที่จริงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ไม่ใช่ความผิดของเขาคนเดียว ตนเองก็มีส่วนผิดในเรื่องนี้ด้วย เธอใจอ่อนโอนอ่อนผ่อนตามเขา ไม่คัดค้านหรือว่าขัดขืน
“แน่นะ” มนตราถามย้ำด้วยความไม่แน่ใจ
“รับรองด้วยเกียรติของลูกผู้ชาย” เขายืนยันเสียงหนักแน่น
“ก็ได้ตกลงตามที่คุณพูด...ถ้าคุณผิดสัญญา...ฉัน...ฉันจะไม่ทำงานกับคุณแล้ว”
“งั้นรีบไปเถอะเดี๋ยวจะไม่ทัน ป่านนี้ซาซ่าคงให้รถมารับแล้ว”
ซาซ่าจัดการธุระเรื่องพาหนะ ที่จะไปรับไปส่งเขามาตลอดสามปี แต่บางครั้งเขาขับรถไปเองโดยมีมายาติดตามไปด้วยทุกครั้ง มายาไม่อยู่คนที่จะต้องไปกับเขาทุกที่คือมนตรา วิศรุตหยิบกล่องแซนด์วิชติดตัวไปด้วย มนตราเดินตามไปห่างๆ ไม่อยากใกล้ชิดกับเขามากเท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะกลัวเขา มนตรากลัวใจตัวเองมากกว่า ปากก็บอกว่าเกลียดและชิงชัง เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้ความรู้สึกของเธอติดลบไปหมด ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ