บทที่ 8 ตกลงแล้วเป็นดอกบัวขาวหรือไม่
เมื่อกลับมาถึงเรือนของตนเอง ไป๋ลี่เฟยก็พบกับมารดาของตนนั่งรออยู่ด้วยใบหน้าไม่สบายใจนัก
“ท่านแม่มารอลูกหรือเจ้าคะ” ลี่เฟยยิ้มออดอ้อนเดินเข้าไปหามารดา
“มีคนบอกว่าเจ้าออกไปข้างนอกกับช่างชาง ก่อนที่องค์ชายเสด็จกลับไปเสียอีก จะแก้ตัวว่าอย่างไร” จงว่านกุ้ยดันตัวบุตรสาวที่ตรงเข้ามาหาให้ออกห่าง
“เห้อ แล้วองค์ชายว่ากล่าวอันใดหรือไม่เจ้าคะ” ลี่เฟยถอนหายใจที่สุดท้ายก็ต้องถูกว่ากล่าวในเรื่องนี้จนได้
“ไม่ได้พูด แต่จะว่าหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอันใด” ฮูหยินเอกของจวนถาม
“หากองค์ชายไม่ได้มีท่าทีอันใด ก็อย่าเอามาใส่ใจเลยเจ้าค่ะท่านแม่ อย่างไรก็คุ้นเคยกันมานาน หากไม่พอใจย่อมเอ่ยมาตามตรงแล้ว” ลี่เฟยพยายามชักจูงมารดาของตนให้ปล่อยวางเรื่องนี้
“แม้มู่กุ้ยเฟยจะนำเจ้าเข้าวังไปเป็นเพื่อนเล่นองค์ชายตั้งแต่ยังเล็กจนคุ้นเคยกัน แต่ทำเช่นนี้ไม่ใช่เจ้าบ้านที่ดีเลย”
“การให้คนมาแจ้งล่วงหน้าไม่ถึงชั่วยามก็ไม่ใช่การกระทำของแขกที่ดีเช่นกัน” คุณหนูใหญ่ไป๋เริ่มมีความโมโหจึงกดเสียงลงต่ำเรียกความประหลาดใจ จากจงว่านกุ้ยให้ปรากฏ
“ลูกแม่เจ้าไม่สบายตรงที่ใดหรือไม่ ปกติแล้วเจ้ารักษาท่าทีอย่างที่แม่สอนเสมอ” ฮูหยินจงไม่เคยเห็นบุตรสาวคิดเล็กคิดน้อยมาก่อน ลูกคนนี้มักจะยึดถือกับการทำหน้าที่ของตนให้ไม่ขาดตกบกพร่อง มารยาททางสังคมไม่เคยหย่อนแม้ว่าอีกฝ่ายจะกระทำเช่นไรมา
“ลูกสบายดีทุกอย่างเจ้าค่ะ ท่านแม่ไม่ต้องเป็นกังวล มารยาทที่ดีสมควรเก็บไว้ใช้กับคนที่คู่ควร” ลี่เฟยเอ่ยจบก็คลี่ยิ้มเต็มดวงหน้าพร้อมกับเปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นแทน “วันนี้ไปกับพี่ชายรองและจี้ผ่าสนุกนักท่านแม่”
“คุณหนูฉือผู้นี้สดใสยิ่งนัก แม่ชอบให้เจ้าเป็นเพื่อนกับนาง” เมื่อบรรยากาศเปลี่ยนมาเป็นเรื่องที่เริงใจ จงว่านกุ้ยก็คลายข้องใจ เรื่องกลิ่นอายที่เป็นแปลงไปของบุตรสาว ทั้งยังถูกเรื่องที่บุตรชายของตนสนใจคุณหนูสกุลจางอยู่ผู้หนึ่งกลบความกังวลไปจนหมดจด
ไป๋ลี่เฟยคุยเล่นกับมารดาไปจนยามเซิน ผู้เป็นแม่ก็ขอตัวกลับไปเตรียมน้ำให้สามีอาบ ซึ่งนางเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดมารดาจะต้องทำสิ่งเหล่านี้เอง ทั้งที่สามารถใช้สอยให้บ่าวทำได้
“คุณหนูเจ้าคะ” จูจูบ่าวคนสนิทเรียกขานเมื่อฮูหยินเอกของจวนจากไปแล้ว
“ว่าอย่างไรจูจู”
“บ่าวในเรือนนี้ที่คุณหนูให้แบ่งไปสอดส่องดูคุณหนูรองห่างๆ แจ้งมาว่าคุณหนูรองกำลังร้องไห้อยู่ที่ผาน้ำตกจำลองเจ้าค่ะ”
“ซินหยานร้องไห้…แปลกจริง” เมื่อได้ยินคำกล่าวของจูจู ไป๋ลี่เฟยจึงสาวเท้าออกจากเรือนของตน เพื่อไปสอดส่องดู นางคิดเอาเองว่าหากไปเที่ยวตลาดมาก็ควรมีรอยยิ้มประดับจึงขะถูกต้อง
ไป๋ซินหยานนั่งอยู่ริมสระเดิม ทำให้ลี่เฟยต้องนั่งแอบอยู่ที่พุ่มไม้อันคุ้นเคย เพื่อยุ่งย่ามในเรื่องราวของน้องสาว
“ข้าไม่เข้าใจเลยหม่าเจียว เหตุใดท่านแม่ต้องโกรธเคืองข้ามากเช่นนี้” ซินหยานที่ร้องไห้จนสงบลงบ้างแล้วเริ่มระบายสิ่งที่ติดค้างในใจกับคนของตน
“คุณหนูรอง…” หม่าเจียวตอบเจ้านายได้เพียงเท่านั้นก็ต้องชะงัก
“อย่าเรียกข้าเช่นนั้น!” ซินหยานหันไปตวาดบ่าวข้างกาย
“บ่าวขออภัยเจ้าค่ะ บ่าวโง่เขลา หากอยู่ลำพังห้ามเรียกว่าคุณหนูรอง เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ บ่าวมันโง่ สมควรตาย บ่าวปัญญาหมู” หม่าเจียวคุกเข่าโขกศรีษะด่าว่าตนเองซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
ไป๋ซินหยานมองดูบ่าวคนสนิทจนหน้าผากเริ่มแดงช้ำจึงค่อยสั่งให้หยุด “พอ เจ้าก็รู้ว่าข้าต้องเป็นรองเพราะโชคชะตาเล่นตลก”
ไป๋ลี่เฟยที่แอบดูอยู่ตกใจกับสิ่งที่เห็น ภาพลักษณ์อ่อนหวานงดงามที่ซินหยานแสดงออกมา กับการยืนมองบ่าวของตนทำร้ายตัวเองตอนนี้คืออันใดกัน กลีบดอกไม้อันบอบบางที่ลี่เฟยมักใช้เปรยเปรยถึงซินหยานแท้ที่จริงแล้วก็อาจไม่เป็นเช่นนั้น แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่น้องรองบอกว่าชะตาเล่นตลกกับชีวิตของนาง ไป๋ลี่เฟยเองก็พอจะรู้
ชะตาชีวิตของไป๋ซินหยานคือความพลิกผันที่ใครต่อใครต่างเวทนา เดิมทีแล้วลี่จีฮวามารดาของซินหยานต้องได้เป็นฮูหยินเอกของท่านเจ้ากรมไป๋ผู้เป็นบิดาของทั้งสอง แต่เพราะยามนั้น บิดาของจงว่านกุ้ย และไป๋มู่ชางสร้างผลงานโดดเด่นในราชสำนัก ฮ่องเต้จึงมอบสมรสพระราชทานให้แก่ไป๋มู่ชางและบุตรสาวของขุนนางจง โดยที่ไม่ได้ล่วงรู้ว่ามู่ชางในวัยหนุ่มรักใคร่กับลี่จีฮวาอยู่ก่อนแล้ว
ต่อมาเมื่อการแข่งขันภายในเกี่ยวกับการมีบุตรเกิดขึ้น ลี่จีฮวาชนะด้วยการมีบุตรชายคนแรกในแก่ไป๋มู่ชาง นางคลอดบุตรชายตัวอวบอ้วนก่อนฮูหยินเอกของเรือนถึงหนึ่งปีเต็ม แต่เมื่อมาถึงคราวบุตรสาว มารดาของซินหยานกลับคลอดนางออกมาหลังจากฮูหยินจง ทั้งที่ตรวจพบว่าตั้งครรภ์ก่อน นั่นทำให้ตลอดมาไป๋ซินหยานรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างห้ามไม่อยู่ และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ไป๋ลี่เฟยมักดีกับน้องรองผู้นี้อยู่เสมอด้วยเช่นกัน
“แต่หากคุณหนูทำอย่างที่ท่านแม่ต้องการย่อมเป็นผลดีนะเจ้าคะ” หม่าเจียวกล่าวสนับสนุน
“แน่สิ เป็นมารดาของชายาองค์ชายมีอันใดไม่น่าอิจฉากัน หึ” ไป๋ซินหยานแค่นเสียง พร้อมกับปาดน้ำตาที่หยดออกมาทิ้งท้าย
“เช่นนั้นอย่าร้องไห้เลยเจ้าค่ะ ไปขัดผิวให้ผ่องใสกันเถิดคุณหนูของหม่าเจียว ความงามของท่านต้องมัดใจองค์ชายได้แน่”
น้องรองตั้งใจหรือ…ไหนคราแรกเรียกหลินไฉ่ว่าคุณชายมิใช่หรือ มัดใจอันใดกัน
“ไม่ร้องได้อย่างไร ท่านแม่ก่นด่าว่าข้าไร้คุณค่า เพียงเพราะออกไปกับองค์ชายแต่กลับได้ของมาไม่มากพออย่างที่นางหวัง ข้าถึงกับต้องถูกทุบตีเพราะเรื่องนี้เลยหรือ แม้กระทั่งมารดาแท้ยังไม่รักไม่ถนอม ข้าไม่ร้องได้หรือหม่าเจียว” ซินหยานเจ้าของดวงหน้างามหมดจดหลั่งน้ำตาออกมาอีกครั้ง นางเปิดแขนเสื้อให้เห็นรอยแดงที่พึ่งถูกตี และร่องรอยช้ำจากความรุนแรงในอดีตมากมาย
เมื่อไป๋ซินหยานตัดพ้อเช่นนั้นออกมา ลี่เฟยก็ถึงกับสับสน ทุกคราที่เจอกับฮูหยินรอง นางจะคอยย้ำว่าบุตรสาวของนางนั้นดีเพียงไร เรียบร้อยเพียงใด ศาสตร์ทั้งสี่เชี่ยวชาญอย่างไรล้วนประกาศจนครบ ทั้งยังกล่าววาจากระทบกระทั่งย้ำว่าซินหยานงามกว่านางทุกทีที่สบโอกาส แท้จริงแล้วลับหลังกลับรุนแรงกับบุตรของตนไม่น้อย
ไป๋ลี่เฟยรู้สึกว่าตนเองเข้าใจในตัวน้องสาวคนรองคนนี้มากยิ่งขึ้นแล้ว หากว่านางจะหลงไหลเมื่อถูกมอบความรักให้ก็คงไม่แปลกอันใด แต่อย่างไรเมื่อรู้แล้วว่าชายคนนั้น คือว่าที่คู่หมั้นของพี่สาวก็ควรหยุดยั้ง แต่ซินหยานกลับไปข้างนอกกับจ้าวหลินไฉ่หน้าตาเฉย ทั้งยังกล่าววาจาเหมือนตั้งใจจะยัดเยียดตนเองเข้าไปเป็นชายา น้องรองผู้ใสซื่อแปดเปื้อนความผิดแล้ว นางมีส่วนในการหลอกลวงนางในชาติก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย
หากการได้ครองรักกับองค์ชายสามเป็นความตั้งใจของเจ้า การใช้เจ้าเป็นเครื่องมือแก้แค้นก็ควรถือว่าเป็นเวรกรรม ซินหยาน!
เมื่อหายข้องใจกับเรื่องของน้องรองแล้ว ลี่เฟยก็ตัดสินใจกลับเรือนของตน นางเผยแววตาแน่วแน่ออกมา ที่ลี่เฟยเคยลั่นวาจาไว้ยามกรุ่นโกรธว่าจะร้ายจนนางร้ายต้องกราบกรานนั้น เดิมทีก็หวั่นใจว่าจะเป็นการทำร้ายผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างอยุติธรรมหรือไม่ แต่เมื่อได้รู้ว่าผู้ไร้มลทินในเรื่องนี้ไม่มีอยู่จริง นางก็ไม่ต้องเกรงกลัวหรือเกรงใจอันใดอีก