9 : พบหน้าในคุก

2243 คำ
9 : พบหน้าในคุก เมื่อควบม้ามาถึงเรือนเฟยเฟิ่ง หิมะที่หยุดตกไปก่อนหน้ากลับโปรยปรายลงมาอีกหน มีทหารมารออยู่ภายในห้องโถง เพื่อรอนางกลับมาจริง ๆ เผิงฉือถูกสั่งให้เตรียมห่อผ้าเอาไว้ล่วงหน้า หลินซือเยว่สั่งให้นางเย็บห่อผ้าแบบสมัยใหม่ เป็นเป้ผ้าขนาดใหญ่ใส่ของได้เยอะ แต่ที่นางคิดไม่ถึงคือเผิงฉือกลับเตรียมเป้ของตัวเองเอาไว้ด้วย “คุณหนูไปไหนข้าไปด้วยเจ้าคะ” “ป้าเผิง การถูกเนรเทศไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรข้าก็ไม่อาจรู้ได้” “ข้าไม่กลัว ข้าเสียครอบครัวไปหมดแล้ว ที่มีชีวิตอยู่มาได้ทุกวันนี้ ก็เพราะคุณหนูนะเจ้าคะ หากไม่มีคุณหนูข้าเองก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม” เผิงฉือตัดสินใจอย่างแน่วแน่ “ป้าเผิงท่านคิดดีแล้วหรือ” “ข้าคิดดีแล้วเจ้าค่ะ” หลินซือเยว่ไม่อาจฝืนใจผู้อื่นได้ นางหันไปมองรอบกาย “แล้วหลินอ้ายล่ะ” “หลินอ้ายมีสัญญาซื้อขายตัวกับตระกูลหลิน ยังไงก็ต้องถูกเนรเทศไปกับตระกูลหลินเจ้าค่ะ” “เช่นนั้นก็ไปพร้อมกันนี่แหละ” เสื้อกันหนาวอย่างอุ่นถูกเตรียมพร้อมเอาไว้ ผ้าห่มอย่าหนากับของใช้บางอย่าง หลินอ้ายเป็นคนหอบหิ้วตามไปด้วย ทหารได้ตรวจตราเรือนเฟยเฟิ่ง ไม่พบว่ามีของมีค่าแม้แต่ชิ้นเดียว นั่นเพราะหลินซือเยว่ให้เผิงฉือนำไปขาย และเปลี่ยนเป็นตั๋วเงินให้หมด เพื่อที่จะได้เก็บซ่อนเอาไว้กับตัวได้ง่าย เหลือเงินไม่กี่สิบตำลึงพกติดใส่ถุงเงินไว้ เพื่อให้พวกทหารได้ยึดเอาไปพอเป็นพิธี คุกเมืองหลวงคึกคักขึ้นมาในทันที หลังจากหลินซือเยว่ถูกนำตัวเข้ามาในห้องขัง นางกวาดสายตามองครู่หนึ่ง ก่อนจะทำการคำนับแก่ฮูหยินเฒ่า นายท่านใหญ่กับฮูหยิน และบิดามารดาของนาง นางคำนับได้ถูกคน โดยไม่ต้องให้ใครแนะนำ ฮูหยินเฒ่ากำลังจะเอ่ยถาม แต่เสียงลูกสะใภ้คนรองของนางก็ดังกลบขึ้นเสียก่อน “เจ้าคือเยว่เอ๋อร์หรอกหรือ” เถียนฮูหยินไม่คิดว่าจะได้พบเจอบุตรสาวตัวเองในคุกเช่นนี้ หลินซือเยว่หันมามองผู้เอ่ยถามตนเอง นางเอียงหน้าลงเล็กน้อยคล้ายประเมินว่าอีกฝ่ายเป็นใคร “เจ้าค่ะท่านแม่” นางเอ่ยเสียงเรียบ มองสบสายตากับบิดาเล็กน้อย เห็นท่านมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ แทบไม่กล้ามองหน้านางด้วยซ้ำ เถียนฮูหยินสะท้านในใจขึ้นมา นางจำบุตรสาวแทบไม่ได้ แต่อีกฝ่ายกลับรู้จักตนเองในทันที “เยว่เอ๋อร์ลำบากเจ้าแล้ว มานี่มา มาทำความรู้จักกับน้องสาวของเจ้า นี่คือซูฮวา” เถียนฮูหยินดึงมือของบุตรสาวคนโต มาทำความรู้จักกับบุตรสาวคนเล็กของตนเอง “นี่คือป้าเผิงเจ้าค่ะ นางเลี้ยงดูข้ามาได้สิบปีแล้ว” หลินซือเยว่ผายมือไปทางเผิงฉือ “เอ่อ ข้า ขอบคุณท่านมาก” เถียนฮูหยินน้ำตาคลอเบ้าในทันที “ข้าไร้ความสามารถ ไม่อาจเลี้ยงดูบุตรสาวของตนเองได้ ลำบากท่านแล้ว” เผิงฉือมองออกถึงความเสียใจที่อยู่ในแววตาของเถียนฮูหยิน “เป็นวาสนาของข้ามากกว่า” “ท่านไม่ใช่คนตระกูลหลินไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ก็ได้” หลินเต๋อมองว่านางเป็นคนนอก เผิงฉือยิ้มอ่อนให้เขา “คุณหนูไปไหนข้าไปด้วย แม้ตายก็ไม่แยกจากกันเจ้าค่ะ” คำตอบเช่นนี้ทำให้ทุกคนหน้าถอดสีกันหมด ช่างเป็นคนนอกตระกูลที่รักใคร่หลินซือเยว่ยิ่งนัก คนอื่น ๆ ในตระกูลต่างลอบมองพวกนางเงียบ ๆ หลินจื่อรั่วหันไปทางมารดาแล้วกระซิบถามเสียงค่อย “นางเป็นคนปัญญาอ่อนไม่ใช่หรือท่านแม่” หวางฮูหยินเองก็ตอบบุตรสาวไม่ได้เหมือนกัน หลินซือเยว่ไม่ได้สนใจผู้อื่นมากนัก ภายในห้องขังเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความหดหู่ สิ้นหวัง ไหนเลยจะมีใครมาสนใจคนอย่างนางได้ สงสารก็แต่วิญญาณสองดวงในเรือนเฟยเฟิ่ง ยังไม่ทันจะได้ช่วยตามหาคน ก็มีเหตุให้ต้องออกจากเมืองหลวงไปเสียแล้ว “เอามานี่ !” ทหารนายหนึ่งเข้ามาแย่งห่อผ้าห่มจากมือของหลินอ้าย “เอาไปไม่ได้นะ นี่ของคุณหนูรอง !” หลินอ้ายยื้อเอาไว้สุดชีวิต “พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์นำของมีค่าติดตัวไปด้วย” “นี่เรียกของมีค่าได้อย่างไรพี่ชาย เป็นเพียงผ้าห่มกับเสื้อกันหนาวเท่านั้น ช่วงนี้หิมะตกทุกวันอีกด้วย หากไม่มีผ้าห่มเสื้อกันหนาว พวกเราจะรอดตายกันได้อย่างไร” “นั่นมีเป็นเรื่องของเจ้า โอ๊ย !” ทหารผู้นั้นรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มเข้าที่ฝ่ามือ จึงรีบปล่อยห่อผ้าในทันที “เจ้ากล้าทำร้ายข้ารึ” “พี่ชายข้ายังไม่ได้ทำอะไรท่านเลยนะ” หลินอ้ายเองก็เกิดกลัว รีบวางห่อผ้าห่มกับเสื้อกันหนาวลงบนพื้น ทหารนายนั้นยื่นมือไปแตะห่อผ้าอีกหน เขาสะดุ้งด้วยความเจ็บรีบชักมือกลับ ไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น ใครเล่นตลกกับเขาก็ไม่รู้ หรือว่ามีสิ่งเร้นลับที่มองไม่เห็นในห้องขังแห่งนี้ รีบเดินถอยหลังออกจากห้องขัง ปิดประตูลงกลอนแล้วรีบเดินจากไป หลินอ้ายคลานไปหยิบห่อผ้าขึ้นมา นำไปวางไว้ด้านข้างกับเผิงฉือ ตัวเขาเองก็นั่งอยู่ตรงนี้ด้วย หลินซือเยว่ล้วงห่อผ้าหยิบเสื้อกันหนาวแบบบุนวม เป็นชุดที่นางสั่งตัดขึ้นเป็นพิเศษ ซึ่งได้มอบให้เผิงฉือกับหลินอ้ายได้สวมใส่ไว้ก่อนหน้า หากมองผิวเผินคงเป็นชุดธรรมดาทั่วไป แต่ด้านในนั้นนางอัดแน่นไปด้วยปุยนุ่นอย่างหนา นางหยิบชุดที่เป็นของตัวเองออกมา “สวมเอาไว้ เสื้อของเจ้าบางนัก” นางคลุมให้น้องสาวที่นั่งปากสั่นอยู่ด้านข้าง “ขอบคุณพี่รอง” หลินซูฮวาไม่คิดว่านางจะได้รับเสื้อกันหนาวแสนอุ่นจากพี่สาวคนนี้ หลินเฉินมองหน้าหลินจางเหว่ยบุตรชายของตน สลับกับมองไปยังผ้าห่มผืนนั้น ก่อนหันไปมองหลานชายวัยห้าขวบเจ็ดขวบ ผู้ใหญ่ยังพอทนไหวแต่เด็กทั้งสองยังเล็กนัก “เยว่เอ๋อร์เจ้าพอจะแบ่งผ้าห่มให้หลาน ๆ ได้หรือไม่” เมื่อนายท่านใหญ่เป็นคนเอ่ยขอ ทุกคนจึงมองไปทางหลินซือเยว่กันหมด พร้อมกับเฝ้ารอว่านางจะมอบให้หรือไม่ แต่นางกลับทำนิ่งเฉยไม่เอ่ยคำพูดใดออกมา หลินเต๋อผู้เป็นบิดาคิดว่านางไร้ผู้สั่งสอน ไม่รู้จักการแบ่งปันผู้อื่น “เยว่เอ๋อร์มอบผ้าห่มให้หลานชายไปเถอะ” หลินซือเยว่หันไปมองหน้าบิดาของตนเองเล็กน้อย ก่อนหน้าแทบไม่กล้าพูดกับนางตรง ๆ ครั้นพี่ชายของตนเอ่ยปากขอผ้าห่ม เขาถึงยอมเปิดปากพูดกับนาง หลินเต๋อ “...?” เขาไม่เข้าใจเหตุใดบุตรสาวจึงมองตนเองด้วยสายตาผิดหวังเช่นนี้ “ป้าเผิงให้ผ้าห่ม” นางเอ่ยเพียงเท่านั้น ก็หลับตาพิงลูกกรงไป เผิงฉือรื้อผ้าห่มออกมามอบให้เด็กน้อยทั้งสองคน นึกเสียดายอยู่ไม่น้อย เพราะระหว่างทางต้องลำบากกว่านี้เป็นแน่ มองไปรอบ ๆ ตัว พบว่าทุกคนล้วนสวมใส่ชุดหน้าหนาวอยู่ก่อนหน้าแล้ว ดังนั้นอยู่ภายในห้องขังจึงไม่มีปัญหาใด แต่ยามได้ออกเดินทางข้างนอกนั่น จะมีคนรอดไปถึงชายแดนสักกี่คนกัน ยิ่งมีทั้งเด็กทั้งคนชราเช่นนี้ด้วย จีหวังลี่มารดาของเด็กทั้งสองคนหันไปทางบ้านรอง หลินซือเยว่หลับตาไม่สนใจ จึงเอ่ยผ่านบิดามารดาของนางแทน “ขอบคุณคุณหนูรอง” นางรับผ้าห่มมาจากเผิงฉือ แล้วจัดการปูลงบนพื้น ให้บุตรชายทั้งสองได้นอน แล้วพับทบขึ้นเพื่อคลุมตัวให้ หลินเต๋อกับเถียนฮูหยินทำเพียงพยักหน้าให้นาง ฮูหยินเฒ่ามองเหตุการณ์ภายในห้องขังอย่างเงียบ ๆ รู้สึกพูดไม่ออกกับภาพลักษณ์ของหลินซือเยว่ คนตระกูลหลินไม่เคยรู้มาก่อน ว่านางหายจากอาการปัญญาอ่อนแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขา ไม่ได้ใส่ใจในตัวของนางแม้แต่น้อย กระทั่งข่าวคราวยังไม่คิดถามไถ่ถึง พอเกิดเหตุร้ายขึ้นเช่นนี้ กลับต้องดึงนางเข้ามาพัวพันด้วย นางไม่เคยได้รับความยุติธรรมมาก่อน หญิงชราจึงไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากพูดคุยกับหลินซือเยว่ได้ เพราะไม่รู้จะเอ่ยอย่างไรนั่นเอง ค่ำคืนนี้ผ่านพ้นไปอย่างลำบากยากเย็น ครั้นตื่นเช้าขึ้นมาทุกคนก็ถูกต้อนออกมาด้านนอกคุกหลวง ตั้งแถวเดินขบวนเนรเทศออกจากเมืองหลวงไป หลินซือเยว่มองดูสภาพอากาศของวันนี้ นางหยั่งรู้เรื่องดินฟ้าอากาศ จึงรู้ว่าวันนี้ยังคงมีหิมะตกแบบบางเบา หากแต่มีเครื่องนุ่งห่มหนาหน่อย ก็ไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต “เหตุใดถึงมีผู้อื่นร่วมเดินทางด้วยเล่า” หลินเฉินเอ่ยถามทหารที่คุ้มกันขบวนเนรเทศตรงหน้า “มีนักโทษอีกกลุ่มความผิดร้ายแรงต้องโทษเนรเทศ เลยให้เดินทางไปพร้อมกันในคราวเดียว” นายทหารตอบ แล้วยกมือขึ้นให้ทุกคนตรวจตราขบวนให้พร้อม หลินเฉินหันไปทางน้องชายและลูกชาย “คนพวกนั้นถูกล่ามโซ่ไว้ เกรงว่าจะเป็นพวกอันตราย บอกทุกคนให้ระวังตัวเอาไว้ อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับคนอื่นในขบวนเด็ดขาด” “ขอรับท่านพ่อ” หลินจางเหว่ยหันไปกำชับภรรยาของตน ให้บอกต่อกับบ่าวรับใช้ด้านหลัง “ข้าเข้าใจแล้วพี่ใหญ่” หลินเต๋อเองก็ส่งต่อเรื่องนี้ให้คนในครอบครัว รวมถึงบ่าวไพร่ในขบวนจนครบ หลินเฉินยังมีสหายอยู่ในเมืองหลวง พวกเขาต่างเตรียมของใช้มามอบให้ระหว่างทาง แต่ก่อนหน้าต้องจ่ายค่าน้ำชาให้แก่ทหารที่คุ้มกันขบวนไปด้วย ลูกสะใภ้ของเขาจีหวังลี่ นั้นมีบ้านเดิมอยู่ในเมืองหลวง ทางบ้านรู้ว่านางถูกจับกุมกะทันหัน ไม่อาจนำของมีค่าติดตัวไปได้ จึงได้ให้คนนำของกินของใช้และตั๋วเงินมามอบให้ระหว่างทาง เนื่องจากทหารได้รับตั๋วเงินจำนวนมาก จึงทำเป็นมองไม่เห็นการส่งมอบของใช้เหล่านี้ การเดินทางไปชายแดนใช้เวลาปกติครึ่งเดือน แต่เนื่องจากเดินทางในฤดูหนาว อีกทั้งหิมะยังตกไม่หยุดอยู่แบบนี้ พวกเขาจึงไม่รังเกียจที่จะรับสินบนเอาไว้ “ท่านพ่อพวกเราไม่มีใครนำของมาให้บ้างหรือ” หลินซูฮวาเห็นคนบ้านใหญ่ได้รับของมากมาย แถมยังแบกไว้บนหลังกันแทบทุกคน อีกทั้งยังมีรถม้าให้ด้วยอีกสามคัน เกรงว่าด้านในรถม้าจะมีอาหารแห้งบรรจุเอาไว้เต็มคันรถ มีเพียงครอบครัวของนาง ที่ไม่มีใครนำของมามอบให้ นอกจากพี่รองของนางที่คนติดตามสองคน มีกระเป๋าผ้าแปลก ๆ อยู่บนหลัง หลินเต๋อ “...?” สหายของเขานั้นย่อมมี แต่เป็นสหายกินหาใช่สหายตายไม่ “ท่านพี่ช่างเลือกคบเก่งจริง ๆ” เถียนฮูหยินอดประชดสามีตัวเองไม่ได้ หลินซือเยว่ถึงกับอมยิ้มเล็กน้อย ก่อนหน้านางนึกภาพบิดามารดาไม่ออกด้วยซ้ำ พอได้ร่วมเดินทางไปด้วยกันเช่นนี้ จึงพอจะมองออกอยู่บ้าง บิดาของนางนั้นค่อนข้างไร้ความสามารถ และกลัวภรรยายิ่งนัก “พวกทหารคุ้มกันมีอาหารให้กับทุกคนเพียงพออยู่แล้ว หากไม่พอจริง ๆ ข้าไปขอพี่ใหญ่มาให้พวกเจ้าสามแม่ลูกก็ได้” หลินซือเยว่ “...?” บิดาผู้โง่เขลาของนางคิดง่ายเกินไป เถียนฮูหยิน “พี่ใหญ่ของท่านมีถึงสามภรรยาสองบุตรหลานอีกสี่คน ยังต้องดูแลท่านแม่ด้วย ของแค่นั้นมีหรือจะเหลือตกมาถึงข้ากับลูก ๆ ได้” “เจ้าก็อย่าพูดมากไปนักเลย เอาไว้ถึงยามนั้นก่อนค่อยคิดก็แล้วกัน” เผิงฉือหันไปมองหลินอ้ายเล็กน้อย เคราะห์ดีที่นางกับหลินอ้ายติดตามหลินซือเยว่ ตั๋วเงินราวสี่พันตำลึงนั้น คุณหนูของนางเก็บไว้เองสามพันตำลึง ที่เหลือฝากไว้ที่นางเก้าร้อยตำลึง และอีกหนึ่งร้อยตำลึงให้ไว้ที่หลินอ้าย หลินซือเยว่ให้เหตุผลว่า การกระจายเงินเก็บไว้นั้น เผื่อฉุกเฉินเกิดเรื่องร้ายกับคนใดคนหนึ่งเข้า ที่เหลืออีกสองคนก็ยังพอช่วยบรรเทาได้ หลินอ้ายนั้นไม่อาจมอบหน้าที่ความรับผิดชอบให้ได้มากนัก จึงให้เก็บไว้แค่หนึ่งร้อยตำลึงเป็นพอ
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม