10 : ออกเดินทางท่ามกลางหิมะ

2322 คำ
10 : ออกเดินทางท่ามกลางหิมะ จวนแม่ทัพโจว หลังจากหลินซือเยว่จากไปแล้ว ช่วงดึกท่านหมอเจินได้เดินทางกลับมาพอดี เขาได้ตรวจดูอาการของโจวจื่อถง ปรากฏว่าร่างกายของชายหนุ่มดีขึ้นถึงสามส่วน ชุยเหลียงรีบนำกระดาษที่หลินซือเยว่ให้ไว้มอบให้เขาตรวจดู หลังจากนั่งพิจารณาอยู่ครู่ใหญ่ ท่านหมอเจินดวงตาฉายแววยินดีออกมา “นี่เป็นหมอเทวดาท่านไหนกัน” “ไม่ใช่หมอเทวดาที่ไหนหรอก เป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งเท่านั้น” “แล้วนางอยู่ที่ไหน ข้าต้องการหารือเรื่องรักษากับนาง” ชุยเหลียง “ท่านหมอเจินนี่หมายความว่า” “เจ้าโง่นัก อาการของคุณชายใหญ่ดีขึ้นหลังนางฝังเข็มให้ นั่นหมายความว่านางรักษาได้ผล แล้วรูปแบบการฝังเข็มเช่นนี้ มหัศจรรย์ยิ่งนัก ข้าเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน ว่าสามารถฝังเข็มรักษาแบบนี้ได้” ชุยเหลียงได้รับคำยืนยันเช่นนี้ เกิดนึกเสียดายในโอกาสรักษาของคุณชายใหญ่ จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านหมอเจินได้รับรู้ หลังฟังจบท่านหมอเจินมีเพียงคำพูดเดียว คือน่าเสียดายจริง ๆ แต่ว่าเขายังมีความหวังอยู่ เพราะหลินซือเยว่ได้แนะนำวิธีการรักษาไว้อย่างละเอียด เพียงแค่เขาต้องหาท่านหมอมากฝีมือ มาช่วยกันพิจารณาร่วม ถึงจะลงมือฝังเข็มในครั้งต่อไปได้ หลังจากโจวจื่อถงตื่นขึ้นได้รู้ความจริงเข้า ว่าคู่หมั้นของตัวเองนั้นหายจากอาการปัญญาอ่อนแล้ว อีกทั้งยังเป็นคนรักษาเขาเมื่อคืนที่ผ่านมา จึงถามถึงสถานการณ์ของหลินซือเยว่ในตอนนี้ และได้รู้ว่าหลังจากรักษาให้เขา นางถูกจับกุมตัวไปอยู่ในคุก รวมกับครอบครัวของนาง และเช้านี้คนตระกูลหลินกำลังถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวงไป “คุณหนูรองบอกว่าการหมั้นหมายของคุณชายใหญ่กับนาง ให้เป็นอันยกเลิกไปขอรับ” “เดิมทีนางไม่เคยคิดอยากรักษาข้า พอข้ามอบเงินให้นางนางถึงได้ตอบแทนเช่นนี้ และเอ่ยคำว่ายกเลิกการหมั้นหมายโดยไม่ลังเล” โจวจื่อถงรู้สึกเหมือนกำลังกลืนก้อนเลือดคาว ๆ ลงคอ บอกไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกเช่นไร “นางทิ้งวิธีการรักษาเอาไว้ให้ ข้ากลับคิดว่านี่เป็นทางออกที่ดีที่สุดของคุณชายใหญ่นะขอรับ” “จริงของเจ้า ข้าไม่สมควรโกรธแค้นนาง อากาศข้างนอกเป็นอย่างไรบ้าง” โจวจื่อถงยังคงขยับท่อนล่างไม่ได้เหมือนเดิม เพียงแต่เขารู้สึกสดชื่นขึ้นกว่าทุกวัน “หิมะเริ่มตกแล้วขอรับ” “นางเดินทางท่ามกลางอากาศเช่นนี้ไม่ดีนัก เจ้าไปเตรียมรถม้าคันหนึ่งให้นาง ใส่ของใช้สำหรับหน้าหนาวให้เต็ม รวมถึงอาหารแห้งจำเป็นสำหรับการเดินทางด้วย เพิ่มเงินให้นางไปอีกสองพันตำลึง” “คุณชายใหญ่ไม่มากไปหรือขอรับ” “ไม่มากหรอก หากวิธีการรักษาของนางได้ผล แค่นี้ไม่นับว่าอะไรหรอก” “แล้วหากไม่ได้ผลเล่า” “เช่นนั้นข้าคงโง่ถูกนางหลอกเข้าแล้ว” เห็นท่าทีไม่แยแสของผู้เป็นนาย ชุยเหลียงจึงไม่อาจขัดคำสั่งของเขาได้ รีบไปจัดเตรียมรถม้าคันใหญ่ พร้อมสิ่งของจำเป็นและตั๋วเงิน ให้คนไปมอบให้หลินซือเยว่ที่ขบวนเนรเทศของคนตระกูลหลิน แต่ว่าคนของชุยเหลียงมาช้าไป พวกเขาออกเดินทางไปถึงหน้าประตูเมืองแล้ว จึงต้องรีบเร่งควบม้าไปให้เร็วที่สุด ทหารที่รั้งท้ายขบวนขวางทางพวกเขาไว้ ครั้นเห็นป้ายจวนแม่ทัพโจว และได้รับเงินมามากถึงห้าสิบตำลึง ทหารจึงยอมปล่อยให้คนเข้าไปมอบของได้ “คุณหนูหลินโปรดรอก่อนขอรับ” คนของชุยเหลียงเคยเห็นหน้าหลินซือเยว่มาก่อน เขาคือคนที่ถูกทิ้งไว้ที่หน้าเรือนเฟยเฟิ่งเมื่อคืนที่ผ่านมา “เจ้าเรียกคุณหนูของข้ารึ” เผิงฉือจดจำใบหน้าของเขาได้ “ขอรับท่านป้า คุณชายใหญ่ของข้ามีของฝากมาให้คุณหนูหลินขอรับ” หลินซือเยว่หยุดอยู่กับที่ ก่อนจะหันหลังเดินย้อนกลับไปไม่กี่ก้าว ทว่าคนอื่น ๆ ในขบวนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน กลับถูกทหารกระตุ้นให้เดินทางต่อ เหลือไว้เพียงหลินซือเหว่กับคนของนาง “พวกเราเป็นพ่อแม่ของนาง ให้เราอยู่กับนางเถอะ” เถียนฮูหยินรีบบอกทหารที่กำลังชี้ดาบมาทางพวกตน จากนั้นรีบเดินไปรวมตัวอยู่กับลูกสาวคนโตของนาง ไม่วายดึงสามีกับลูกสาวคนเล็กตามไปด้วย หลินซือเยว่ประหลาดใจนัก รถม้าคันนี้ค่อนข้างใหญ่โต มีสิ่งของจำเป็นเต็มคันรถ ไหนเลยจะเหมือนรถม้าของคนกำลังถูกเนรเทศ แต่พอมองดูบิดามารดาและน้องสาวของนางที่กำลังเดินมาทางนี้ ไม่รับคงไม่ได้ “ฝากขอบคุณคุณชายใหญ่ของท่านด้วย ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทนเขาจริง ๆ” “มิกล้า ๆ ขอบคุณคุณหนูหลินด้วยขอรับที่ ช่วยรักษาโรคให้คุณชายใหญ่” “ข้าทำเพราะต้องการตอบแทนคุณ เช่นนั้นก็กำชับท่านหมอที่รักษา ให้ระมัดระวังในเรื่องฝังเข็มด้วย หากไม่แน่ใจให้ลองกับคนที่ร่างกายแข็งแรงดูก่อน จะได้ไม่เกิดข้อผิดพลาดยามลงมือฝังเข็มจริง” “ข้าจะนำความไปบอกต่อขอรับ” “ไปเถอะ” “เยว่เอ๋อร์คนผู้นั้นคือใครกัน” หลินเต๋อทำใจกล้าเอ่ยถามบุตรสาวผู้แสนเย็นชาของตน เขาไม่ได้ยินทั้งคู่พูดคุยกัน จึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร “พวกเขาติดค้างข้าในบางเรื่อง จึงได้ส่งของมาขอบคุณ” หากบอกว่าเป็นคนของจวนแม่ทัพโจว ดูจะเป็นการไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เมื่อนางไม่อยากเกี่ยวข้องกับการหมั้นหมายนี้ เช่นนี้ก็ทำเป็นไม่เกี่ยวข้องกันต่อไปเถิด “ท่านแม่รถม้าคันใหญ่ ท่านกับน้องสามขึ้นไปนั่งด้านในเถอะ” “ได้อย่างไร เช่นนั้นเจ้าก็ขึ้นมาด้วยกัน” “ท่านแม่ของบนรถม้าค่อนข้างหนัก เกรงว่าจะเดินได้ไม่เท่าไรม้าอาจจะหมดแรงเสียก่อน เอาเป็นว่าผลัดกันขึ้นนั่งบนรถม้าจะดีกว่า” หลินเต๋อมองดูสัมภาระบนรถม้าแล้ว รู้สึกว่าบุตรสาวของตนเอ่ยมานั้นเป็นความจริง “ฮูหยินเจ้าเชื่อคำที่เยว่เอ๋อร์บอกเถอะ” เขาเห็นคนบ้านใหญ่ให้เด็กและสตรีขึ้นรถม้า และอีกคันก็ให้มารดาของตนขึ้นเหมือนกัน เช่นนั้นคันนี้ให้ภรรยากับบุตรสาวคนเล็กนั่ง ย่อมเหมาะสมที่สุดแล้ว ด้านหน้าของขบวนมีกลุ่มคนที่ถูกล่ามโซ่ตรวน นับรวมกันได้ราวยี่สิบกว่าคน ถัดมาก็เป็นรถม้าของฮูหยินเฒ่า ตามด้วยรถม้าของครอบครัวหลินเฉิน จากนั้นก็เป็นบรรดาบ่าวรับใช้ในจวนทั้งหมด รั้งท้ายสุดคือครอบครัวของหลินเต๋อ พวกเขาได้รถม้า กลับไม่ได้คิดจะแซงหน้าบ่าวไพร่ขึ้นไปด้านหน้า “เหตุใดเจ้ารองถึงได้ไปอยู่รั้งท้ายเช่นนั้นเล่า” ฮูหยินเฒ่านึกแปลกใจจึงได้เอ่ยถามบุตรชายคนโต ที่เดินตามขบวนอยู่ด้านข้าง “ข้าจะให้คนไปถามดูขอรับท่านแม่” หลินเฉินหันไปสั่งพ่อบ้านหม่าให้เขาหาคนไปถามดู ไม่นานนักพ่อบ้านหม่าก็เดินเข้ามารายงานใกล้ ๆ “เห็นว่ามีคนมอบรถม้ากับของใช้ให้มาขอรับ พวกเขาจึงอยู่รั้งท้ายขบวน นายท่านรองฝากบอกมาว่าไม่ต้องเป็นห่วงพวกเขาขอรับ” “เช่นนี้นี่เอง” หลินเฉินโบกมือให้พ่อบ้านหม่า แล้วหันไปทางมารดารายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้ท่านรับรู้ ฮูหยินเฒ่า “นับว่ายังมีสหายดีอยู่บ้าง” การเดินทางเป็นไปอย่างลำบาก ทหารคุ้มกันขบวนต่างได้รับมอบหมาย ให้พาคนไปให้ถึงจุดตั้งของกระโจม แต่ละแห่งจะมีการตั้งครัวชั่วคราว เพื่อแจกจ่ายอาหารให้แก่นักโทษ การพักแรมได้มีการเตรียมเอาไว้ทุกจุด บางวันเป็นกระโจมใหญ่นอนแออัดกัน บางวันเป็นวัดร้าง บางวันก็เป็นโรงเลี้ยงสัตว์เปล่า แล้วแต่สถานการณ์จะเป็นไป การเดินทางวันที่สามกลุ่มคนที่ถูกล่ามโซ่ไว้ที่มือ มีฮูหยินผู้หนึ่งล้มป่วยลง เนื่องจากเสื้อผ้าของพวกเขานั้นกันความหนาวได้ไม่ดี คนที่เหลือได้เอ่ยขอร้องให้ทหารช่วยหาหมอมารักษา แต่ไม่ว่าจะร้องขอเช่นไรก็ไม่เป็นผล คราวนี้หลินซือเยว่ได้นำรถม้ามาอยู่ด้านหลังของคนบ้านใหญ่ นางลอบสังเกตคนกลุ่มนี้มาสองวันเต็ม มองเห็นกลิ่นอายความแข็งแกร่งของพวกเขาในทันที หาใช่คนร้ายจิตใจโหดเหี้ยมไม่ ดูไปแล้วไม่แคล้วเป็นนักรบมากฝีมือ ขบวนนี้เนรเทศคนดีหรอกรึ นางหัวเราะในใจ เผิงฉือเดินเข้ามาใกล้ ๆ แล้วกระซิบบอกนางเสียงค่อย “คุณหนูเจ้าคะ ข้าตรวจดูของที่อยู่บนรถม้าแล้ว หากกินแค่พวกเราก็น่าจะอยู่ได้ถึงครึ่งเดือน แต่หากเผื่อแผ่ผู้อื่นเกรงว่าจะไม่พอ” หลินซือเยว่ตรวจดูชะตากรรมของเส้นทางนี้ นางพบว่าอุปสรรคใหญ่หลวงคือเรื่องอาหารการกิน เพราะสภาพอากาศไม่เป็นใจ การเดินทางจะต้องล่าช้าออกไป แต่ละวันทหารไม่สามารถนำทางไปถึงจุดนัดหมายได้ ดังนั้นอาหารบนรถม้าจึงสำคัญเป็นอย่างมาก “อย่าเพิ่งกินของที่อยู่บนรถม้า ให้กินของที่ทหารมอบให้ไปก่อน” “เจ้าค่ะคุณหนู” ยามพักกินข้าวมื้อเที่ยงกันอยู่นั้น พ่อบ้านหม่าได้เข้ามารายงานหลินเฉิน ว่ากลุ่มคนที่ถูกล่ามโซ่ด้านหน้านั้น เป็นคนของตระกูลหยาง “ตระกูลหยาง แม่ทัพหยางห่าวอู๋เช่นนั้นรึ” หลินเฉินตกใจเป็นอย่างมาก เขารู้เพียงว่าตระกูลหยางเป็นตระกูลนักรบมีชื่อ เหตุใดถึงได้กลายเป็นนักโทษถูกเนรเทศเช่นนี้ได้ “มีคนกล่าวหาว่าแม่ทัพหยางห่าวอู๋ติดต่อกับพวกกบฏ แสร้งแพ้ในสงครามทางใต้ขอรับ เห็นว่ามีหลักฐานเป็นแผนที่หนังแกะของแม่ทัพหยางในมือของข้าศึก พวกมันบอกว่าแม่ทัพหยางเป็นคนมอบให้ แม่ทัพคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์จึงจับกุมแม่ทัพหยางกับคนของเขา และถูกส่งตัวมาคุมขังไว้ในคุกหลวง เพื่อรอการตัดสินโทษอย่างเงียบ ๆ” “เรื่องใหญ่เช่นนี้แม้แต่ข้ายังไม่รู้” หลินเฉินเพิ่งเข้าใจว่าตัวเขาไม่ได้เป็นคนสำคัญ ในตำแหน่งหน้าที่การงานที่ทำอยู่เลย คนที่มีตำแหน่งสูงกว่าจึงไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับเขา หลินซือเยว่มองเห็นชะตาของการถูกใส่ร้ายจากพวกเขา นางคิดว่าเบื้องหลังเรื่องนี้คงมีคนใหญ่คนโตชักใยอยู่ แม้แต่ท่านลุงของนางเองก็ใช่ด้วย ทว่าตอนนี้นางกลับไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขสิ่งใดได้ ดวงชะตาของพวกเขาไม่เกี่ยวพันกับเมืองหลวงอีกต่อไป อาหารที่เหล่าทหารแจกจ่ายมาไม่ถูกปากหลินจื่อรั่ว นางจึงอ้อนขอให้บิดานำอาหารที่อยู่บนรถม้าออกมาให้นางกิน หลินเฉินนั้นรักบุตรีบุตรชายจากภรรยาเอกเป็นอย่างมาก นางร้องขอนิดหน่อยก็นำออกมาให้ และไม่ลืมที่จะแสดงความกตัญญูต่อมารดาของเขาด้วย ทว่ากับอนุภรรยาทั้งสองและบุตรสาวนั้นกลับถูกลืมเลือนไปเสีย อนุหลิว หลิวลี่อิน หันไปมองหน้าอนุจาง จางซูเจิน แล้วมองไปยังบุตรสาวของพวกนาง นายท่านใหญ่หลงลืมอนุเช่นพวกนางนั้นไม่ว่า แต่เหตุใดถึงลืมบุตรสาวทั้งสองคนนี้ได้ อาหารแห้งที่นำออกมากินกับข้าวต้มนั้น ดูเหมือนจะเป็นเนื้อทอดและขนมอบแห้งต่าง ๆ ที่เก็บไว้ได้นาน หลินเฉินมอบให้หลินจางเหว่ยนำไปให้หลานชายทั้งสองของเขากิน เขามองดูจำนวนอาหารอันน้อยนิดนี่ คงไม่สามารถแจกจ่ายให้ครบได้ทุกคน จึงแสร้งทำเป็นไม่เห็นบุตรสาวจากอนุภรรยาทั้งสอง “ท่านยังกล้าไปขออยู่ไหม” เถียนฮูหยินมองเหตุการณ์ตรงหน้าแล้วแค่นหยันเบา ๆ ขนาดลูกสาวของตัวเองยังไม่ให้กิน น้องชายกับน้องสะใภ้ทางนี้ก็อย่าหวัง “เจ้าก็พูดมากเสียจริง เยว่เอ๋อร์บนรถม้าของเจ้ามีของกินหรือไม่” เหลินเต๋อหันไปถามลูกสาวตัวเองดู แต่นางยังไม่ทันเอ่ยตอบ เถียนฮูหยินก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน “ตอนข้าอยู่บนนั้นเห็นแต่เครื่องนุ่งห่ม ไม่มีของกินหรอก” เถียนฮูหยินไม่ได้โกหก เพียงแต่นางมองไม่เห็นอาหารที่ถูกซ่อนเอาไว้ในกล่องไม้ด้านหลัง จึงมองผิวเผินเห็นเพียงเครื่องนุ่งห่มกับอุปกรณ์กันความหนาว “สหายเจ้าผู้นี้ไม่รู้ความเสียจริง” หลินซือเยว่ไม่อยากพูดอันใดให้มากความ นางรู้ว่าพ่อบ้านหม่าได้ยินคำพูดของมารดาของนาง เขากำลังเดินไปรายงานฮูหยินเฒ่ากับหลินเฉินได้รู้ “เจ้าเอาครอบครัวตัวเองให้รอดก่อนเถอะเจ้าใหญ่ บ้านเจ้ารองนั้นไม่ได้สำคัญอันใด” ฮูหยินเฒ่าย่อมเห็นบ้านใหญ่สำคัญที่สุด หลินซือเยว่มีสายตากว้างไกล หูที่ได้ยินไกลกว่าผู้อื่น นางอมยิ้มเล็กน้อย ท้ายที่สุดคนก็ย่อมเลือกเห็นแก่ตัวกันทั้งนั้น
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม