13 : หยางห่าวหรานป่วยจนหมดสติ
หลินซือเยว่เห็นจูฮูหยินเดินตรงมาทางตัวเอง ท่าทางน่าสงสารเป็นอย่างมาก
“คุณหนูหลินเจ้าช่วยไปดูลูกชายของข้าได้หรือไม่ เขาไม่สบายจนหมดสติไปแล้ว” มือไม้สั่นเทาไปหมดไม่รู้ว่าด้วยความหนาวเย็น หรือว่าความหวาดกลัวเรื่องความเป็นตายของบุตรชาย
“พี่ฮุ่ยชิว” เถียนฮูหยินรีบลงมาจากรถม้า แล้วเข้าไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้
หลินซือเยว่ลอบถอนหายใจเบา ๆ ท่านแม่ท่านนับญาติกับคนแปลกหน้าง่ายเกินไปไหม
“เยว่เอ๋อร์เจ้าพอจะช่วยลูกชายของท่านป้าฮุ่ยชิวได้หรือไม่”
ไม่ทันไรข้าก็มีป้าเพิ่มมาอีกคนแล้วรึ
“ข้าขอไปดูก่อน ป้าเผิงเอากระเป๋าของข้ามาด้วย”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
หยางห่าวอู๋ให้คนในตระกูลหยางเดินทางไปก่อน เขากับภรรยาอยู่รอเฝ้าลูกชายเอง คราวแรกไม่มีใครยอมขยับตัว ทหารที่คุ้มกันนับสิบคนจึงชักดาบออกจากฝัก เห็นดังนั้นพวกเขาไม่อาจสร้างปัญหา ให้แก่แม่ทัพกับรองแม่ทัพของตนเองได้
“ไม่ใช่ว่าข้าบอกแล้วรึว่าให้อยู่ดูคนป่วยได้แค่สองคน” จี๋ไห่ผู้ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เดินเข้ามาขวางหน้าของหลินซือเยว่
“ข้ามีความรู้เรื่องการรักษาเล็กน้อย” หลินซือเยว่ตอบเขาเสียงแข็ง
“ไม่ได้ !”
“จุดหว่างคิ้วของเจ้าดำคล้ำ จุ๊ ๆ อนุภรรยานอกเรือนของเจ้าช่างมีวาสนาดียิ่ง เด็กในท้องนางดูเหมือนจะเป็นเพศชาย ทว่าจุดหว่างคิ้วของเจ้านี้ อาจทำให้การคลอดครั้งนี้อันตรายยิ่งนัก”
“เจ้า !” จี๋ไห่ผงะตกใจไปด้านหลัง ลูกน้องที่อยู่ด้านข้างของเขาก็พลอยตกใจตามไปด้วย เพราะเรื่องที่จี๋ไห่เลี้ยงอนุภรรยากำลังตั้งท้องอยู่นอกเรือนนั้น พวกเขาต่างก็ได้ยินตอนที่จี๋ไห่เมาแล้วเผลอพูดออกมา
“อย่ามาพูดเหลวไหล !”
“นายท่านได้โปรดเชื่อเถอะ คุณหนูของข้าเติบโตในอารามเต๋า นางได้เรียนรู้ศาสตร์ทำนายดวงชะตามาจากท่านเจ้าอาวาสที่นั่น เรื่องที่นางทำนายล้วนแต่เป็นจริงทั้งนั้น” เผิงฉือกล้าที่จะประกาศความสามารถของหลินซือเยว่ต่อหน้าทุกคน
“ข้าไม่เชื่อ !”
“เจ้าไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า แต่อย่ามาขวางทางของข้า” หลินซือเยว่ลอบเหยียดนิ้วเบา ๆ จี๋ไห่กับลูกน้องกลับเกิดบางอย่างขึ้น เพียงแค่ขยับหรือพูด ร่างกายจะปวดแสบปวดร้อนไปหมด ทำได้เพียงแค่ยืนนิ่ง ๆ อยู่กับที่
หลินซือเยว่เหยียดนิ้วเบา ๆ อาการพวกนั้นก็หายไป แต่หากใครกล้าเข้ามานางก็จะจัดการพวกเขาในทันที จี๋ไห่เริ่มรู้สึกไม่ดี เขายกมือห้ามไม่ให้คนอื่น ๆ เข้าไปใกล้ คนตระกูลหยางหรือแม้แต่ครอบครัวของหลินเต๋อ ไม่มีใครสังเกตเห็นเรื่องนี้ มีเพียงจี๋ไห่กับลูกน้องที่เริ่มหนาวสั่นอยู่ในอก
“พาเขาขึ้นรถม้าเถอะ ตรงนี้พื้นเย็นเกินไป” นางเหลือบเห็นว่าบิดามารดาของเขานั้น มีโซ่ตรวนอยู่ที่ข้อมือทั้งสองข้าง จึงหันไปทางบิดาของตนเอง “ท่านพ่อวานท่านมาช่วยทางนี้หน่อย”
หลินเต๋อสะดุ้งไม่คิดว่าจะถูกบุตรสาวคนโต้ไหว้วาน “ดะได้” เข้าไปช่วยพยุงคนสลบอย่างเก้ ๆ กัง ๆ หลินอ้ายทนดูไม่ได้รีบเข้าไปช่วยอีกแรง
เมื่อนำคนป่วยขึ้นไปบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว หลินซือเยว่ขึ้นไปอยู่บนรถม้ากับเขาแค่สองคน อีกทั้งยังปิดผ้าม่านลงอีกด้วย บุพการีของทั้งคู่ได้แต่มองหน้ากัน อย่างไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกมาดี
เผิงฉือจำต้องอธิบายให้ทุกคนได้เข้าใจ “อากาศด้านนอกหนาวเย็นเจ้าค่ะ คุณหนูต้องรักษาคนป่วยในที่อบอุ่น เมื่อครู่ข้าได้นำเตาอุ่นมือของคุณหนูเข้าไปไว้บนรถม้าแล้ว อีกทั้งยังมีตะเกียงน้ำมันเพิ่มแสงสว่างอีกด้วย บนรถม้าคงอุ่นขึ้นไม่น้อย”
“เช่นนี้นี่เอง” จูฮูหยินยิ้มพร้อมก้มศีรษะไปทางเถียนฮูหยินเล็กน้อย ซึ่งอีกฝ่ายก็น้อมศีรษะลงตามไปด้วย
“ชีวิตของฮูหยินข้าได้บุตรสาวของนายท่านรองช่วยเหลือไว้ มาคราวนี้เป็นบุตรชายของข้าอีก โปรดรับการคารวะจากข้าด้วย” หยางห่าวอู๋ประสานฝ่ามือตรงหน้าของหลินเต๋อ
“มิกล้า ๆ ทราบมาว่าท่านคือแม่ทัพหยาง” หลินเต๋อรีบคารวะกลับอย่างเกรงใจ “บุตรสาวของข้ามีความรู้เพียงน้อยนิด ท่านก็อย่าได้มั่นใจว่านางจะรักษาได้เลย ขนาดข้าเองก็ยังไม่มั่นใจ”
“หืม” หยางห่าวอู๋นึกแปลกใจ ก่อนจะนึกออกว่าก่อนหน้านี้ คนข้างกายของหลินซือเยว่พูดว่านางอยู่อารามเต๋ามาก่อน จึงหันไปทางเผิงฉือ “คุณหนูหลินอยู่อารามเต๋ากับเจ้ารึ”
เผิงฉือไม่คิดว่าจะถูกเอ่ยถามเช่นนี้ ได้แต่มองบิดามารดาตัวจริงของหลินซือเยว่ก่อน เห็นเพียงพวกเขาทำหน้าสลดเล็กน้อย ทว่าไม่ได้ห้ามปรามตนแต่อย่างใด จึงหันกลับมาทางผู้ถาม “เจ้าค่ะท่านแม่ทัพ คุณหนูอยู่อารามเต๋าจริง ๆ เจ้าค่ะ ด้วยครั้งนี้มีเรื่องให้ต้องกลับมาที่เมืองหลวง จึงได้ลงจากอารามไท่ผิงกวนมา ไม่คิดว่าจะได้พบเจอกับเคราะห์ร้ายเช่นนี้”
จูฮูหยินเห็นสีหน้าของเถียนฮูหยินมิสู้ดีนัก มารดาที่ไหนจะส่งบุตรสาวไปอยู่อารามเต๋า คงมีเรื่องอะไรซ่อนเร้นอยู่อย่างแน่นอน จึงรีบดึงแขนเสื้อของสามีเอาไว้ “อย่างไรก็ต้องขอบคุณพวกท่านมาก บุญคุณครั้งนี้หากมีโอกาส ข้ากับท่านพี่จะต้องได้ตอบแทนพวกท่านอย่างแน่นอน”
“พี่ชุ่ยฮิวอย่าได้เกรงใจไปเลย”
จากนั้นบรรยากาศก็คลายความอึดอัดใจลง พวกเขายืนล้อมกันเป็นวงกลม เพื่อรับไออุ่นจากเตาอุ่นมือของเผิงฉือ เสียงพูดคุยเงียบลง เพื่อรอคอยข่าวจากคนบนรถม้า
“ป้าเผิงสุราต้ม” เสียงในรถม้าดังออกมา
เผิงฉือรีบเดินอ้อมไปหลังรถม้า แล้วรื้อกระเป๋าของตัวเองออกมา หยิบขวดสุราต้มออกมายื่นเข้าไปในรถม้า จากนั้นก็หาของที่หลินซือเยว่ร้องขอส่งยื่นให้
ราวสองเค่อหลินซือเยว่ก็เปิดม่านรถม้าออกมา สีหน้าของนางนิ่งเฉยดังเดิม ยากจะคาดเดาเรื่องราวได้
“ข้าเฉือนหน้าที่ตายออก ล้างด้วยสุราต้ม แล้วใส่ยารักษาแผลสดให้ไปใหม่ ให้ยาเม็ดลดไข้ไปแล้ว ตอนนี้คงได้แต่ภาวนา ให้เขามีใจสู้จึงผ่านพ้นไปได้”
“ข้าขอไปดูห่าวหรานได้หรือไม่”
“ได้เจ้าค่ะ ท่านป้าท่านขึ้นไปเฝ้าลูกชายของท่านบนรถม้าเถอะเจ้าค่ะ หากมีอาการตัวร้อนหนาวสั่น ให้รีบเรียกข้านะเจ้าคะ” หลินซือเยว่ถูกมารดาแนะนำสตรีผู้นี้ว่าท่านป้า นางจึงต้องสมยอมตามน้ำไป
“ได้ ๆ ข้าเรียกเจ้าว่าเยว่เอ๋อร์เหมือนแม่เจ้าได้หรือไม่”
“....” หลินซือเยว่เหมือนต้องคิดอยู่อึดใจใหญ่ “ได้เจ้าค่ะ”
“ฮูหยินรีบขึ้นไปดูห่าวหรานเถอะ”
“เจ้าค่ะท่านพี่” จูฮูหยินรีบปีนขึ้นรถม้าอย่างดีใจ ครั้นบุตรชายสีหน้าเริ่มมีสีเลือดฝาด ริมฝีปากไม่เขียวช้ำเหมือนก่อนหน้า นางจึงยกฝ่ามือขึ้นลูบดวงหน้าของเขาเบา ๆ
“ในเมื่อรักษาเสร็จแล้ว ก็รีบเดินทางต่อ” จี๋ไห่เดินมาตะคอกใส่พวกเขา
หยางห่าวอู๋กับคนบ้านรองตระกูลหลิน ต่างหันไปทางเขาพร้อมสายตาสาปส่ง ก่อนที่หลินซือเยว่จะมองเห็นไอเลือดสีแดงฉาน ปรากฏอยู่ด้านหน้าไกล ๆ ดวงตาของนางคล้ายมีแสงบางอย่างวาบผ่าน
“ท่านเอ่ยถูกแล้ว รีบเดินทางเถิด คนพวกนั้นเจอเคราะห์หนักเข้าแล้ว”
ทุกคน “?!”
เคราะห์หนักอันใดของเจ้าา ?
หลินซือเยว่ให้จูฮูหยินอยู่เฝ้าบุตรชายบนรถม้า จากนั้นก็พากันเร่งเดินทางต่อในทันที จี๋ไห่ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้ เพราะตอนที่หลินซือเยว่กล่าวคำว่าเคราะห์หนักนั้น แววตาของนางนิ่งลึกเป็นอย่างมาก และเรื่องที่นางทำนายเรื่องอนุภรรยานอกเรือน เขากลับรู้สึกปล่อยวางไม่ลงเสียแล้ว
ใช้เวลาเดินทางราวครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็รู้ซึ้งถึงคำว่าเคราะห์หนักที่หลินซือเยว่ทายทักไว้ ขบวนเนรเทศที่ล่วงหน้ามาก่อน ถูกโจรป่าลอบทำร้ายระหว่างทาง ทหารล้มตายไปเกือบครึ่ง นักโทษเองก็ล้มตายไปหลายคน ส่วนคนเจ็บนั้นก็นอนรอความตายจากภัยหนาวกันอยู่
หยางห่าวอู๋รีบวิ่งเข้าไปหาหยางชุน เพราะนอกจากจะเป็นรองแม่ทัพของตนแล้ว เขายังเป็นน้องชายจากอนุภรรยาของบิดาอีกด้วย “หยางชุน เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“พี่ใหญ่ ข้าไม่เป็นไร เพียงแค่เหนื่อยมากเกินไป เลยต้องนั่งพักเสียหน่อย” หยางชุนเห็นพี่ชายมองข้อมือ ที่ไร้โซ่ตรวนของตนจึงรีบเอ่ย “โจรป่ามากันเกือบร้อยคน ข้าแย่งดาบพวกมันมาได้ เลยปลดโซ่ตรวนให้คนของเรา เพื่อที่จะได้ต่อสู้ได้สะดวก ยังดีที่พวกมันไม่สนใจเด็กสตรีคนชรา เอาแต่ของมีค่าบนรถม้าไป”
“เฮอะ บนรถม้าจะมีสิ่งมีค่าได้อย่างไร” หยางห่าวอู๋ไม่เข้าใจ นำหน้าขบวนมีคนถือธงของคุกหลวงนำทางอยู่ ดูก็รู้ว่าเป็นเหล่านักโทษกำลังเดินทางอยู่
หยางชุนมองซ้ายขวาแล้วเอ่ยเบา ๆ “ไม่รู้เพราะเหตุใด พวกมันมุ่งหน้าไปที่รถม้าของซุนต้าหลง แล้วยึดเอาลังไม้ที่อยู่ในนั้นไปทั้งหมด”
สีหน้าของหยางห่าวอู๋เริ่มเข้มขึ้น เขามองเห็นว่าหน้าขบวนนั้น มีรถม้าขนเสบียงอยู่หลายส่วน เนื่องจากบางจุดระหว่างทาง อาจต้องพักอยู่นอกเมืองเอง แต่พอมาคิดดูแล้วรถม้าพวกนั้น กลับมีหลายคันจนเกินไป อีกทั้งยังมีคนคุ้มกันอยู่คันละสี่คน ซึ่งดูไปแล้วก็คงผิดปกติจริง ๆ
“ช่างเถอะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเรา แค่เจ้ากับคนของเราปลอดภัยก็พอแล้ว” หยางห่าวอู๋ตบบ่าน้องชายเบา ๆ
หยางชุนมองฝ่าแสงไฟจากคบเพลิงไปด้านหลังพี่ชาย “พี่ใหญ่แล้วห่าวหรานล่ะ”
“อยู่บนรถม้าของคนตระกูลหลิน ฮูหยินก็อยู่ดูแลบนนั้น”
“รถม้าคนตระกูลหลิน ?”
“ฮูหยินไปขอร้องคนบ้านรองของตระกูลหลิน”
“นับว่ายังมีเรื่องดีอยู่ นางช่วยพี่สะใภ้ได้ก็ต้องช่วยห่าวหรานได้”
“ข้าก็หวังเช่นนั้น แล้วทางนี้ซุนต้าหลงจะเอาอย่างไรต่อ”
“เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ให้หมอที่พามาด้วยดูแลอาการอยู่ เห็นว่าอาจต้องพักอยู่ที่นี่ไปก่อน”
“จะพักได้อย่างไร สองข้างทางมีแต่หิมะเช่นนี้”
“ให้ทำอย่างไรได้ ไม่มีที่ให้ไปแล้ว ทั้งมืดและมองไม่เห็นทางเช่นนี้”
หลินซือเยว่ที่กำลังยืนมองศพคนตายนับสิบ แววตาของนางเย็นยะเยือก จำเป็นต้องเปิดผนึกเนตรทิพย์ เพื่อสอดส่องดวงวิญญาณเหล่านั้น เป็นไปอย่างที่นางคิดจริง ๆ พวกเขายึดติดกับครอบครัว ไม่อาจเดินทางสู่ปรโลกได้ด้วยตัวเอง จำต้องมีคนนำทาง
“หืม” หางตานางกระตุก มองท้องฟ้ากับเมฆหมอกยามค่ำคืน หายนะยังไม่จบสิ้น หากยังอยู่ตรงนี้ต่อไป หนนี้เป็นภัยจากธรรมชาติ
“ป้าเผิงไปบอกครอบครัวของคนที่ตาย ว่าข้าจะสวดส่งวิญญาณของพวกเขาให้ จงให้พวกเขาไปขุดหลุมไว้ใต้ต้นไม้นั่น” นางชี้นิ้วไปที่ต้นไม้ใหญ่ด้านข้าง ให้ฝังไว้ที่เดียวกันแต่แยกศพละหลุม วันข้างหน้าหากใครรอดชีวิตกลับมาได้ ก็กลับมาขุดกระดูกกลับไปไว้ในสุสานของตระกูล”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
เมื่อคำพูดของเผิงฉือถูกเอ่ยออกไป เหล่าครอบครัวของคนตายก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมา แม้ไม่ได้คาดหวังอันใดมากนัก เพราะเผิงฉือบอกเพียงแค่ว่าคุณหนูของนางเติบโตในอารามเต๋า ไม่ได้เป็นนักพรตแต่อย่างใด แต่มีความสามารถในการสวดส่งวิญญาณได้
พวกเขาไม่มีทางเลือกจึงพากันไปขุดหลุมรอบ ๆ โคนต้นไม้ แล้วนำศพลงไปไว้ในนั้น แต่ละคนต่างก็หาไม้มาแกะสลักชื่อแบบสั้น ๆ ของคนตายปักไว้ เผื่อวันข้างหน้าได้มีโอกาสกลับมา ขุดศพกลับไปไว้ที่สุสานของตระกูล
“ปล่อยนางทำไป” หลังได้รับรายงานเรื่องนี้ ซุนต้าหลงก็แค่นหยามออกมาคำหนึ่ง ในยามนี้แล้วยังมีคนอยากใช้วิชาหลอกลวงนักโทษอยู่ “โง่เขลานัก ถูกนางหลอกยังไม่รู้ตัว”
จี๋ไห่ที่กำลังจะเอ่ยขอให้นายทหาร ที่ล้มตายนับสิบคนได้ร่วมพิธีสวดวิญญาณ เป็นอันต้องหุบปากลงในทันที เขาเดินกลับไปประจำตำแหน่งที่ท้ายขบวนตามเดิม