12 : ไปไม่ถึงที่พัก
สองพ่อลูกตระกูลหยาง อยู่ใกล้กับครอบครัวของหลินเต๋อมากที่สุด เขาได้ยินสิ่งที่พ่อบ้านหม่าเอ่ยอย่างชัดเจน และได้ยินหลินซือเยว่ตอบโต้ คล้ายไม่สนใจไยดีผู้เป็นย่าของตนเอง
“นางทำไม่ถูกจริง ๆ นางควรมอบยาให้ท่านย่าของนาง” หยางห่าวอู๋เอ่ยเบา ๆ กับบุตรชาย
หยางห่าวหรานไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เขาเพียงแต่นึกไม่ถึงว่าสตรีอายุสิบห้าสิบหกปีผู้นี้ จะหาญกล้าต่อกรกับคนในตระกูลได้ ทำให้เขาต้องหันกลับมามองนางเสียใหม่
“ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง” เขาก้มหน้าลงมองมารดาที่นอนลืมตาอยู่ข้างบิดา มองผ้าห่มหนาผืนหนึ่งที่ได้รับมาจากบนรถม้า
จูฮูหยินขยับตัวเล็กน้อย “ข้าดีขึ้นแล้วล่ะยาคุณหนูหลินใช้ได้ดีมาก นางยังมอบให้ข้าติดตัวไว้ด้วย ผ้าห่มนี่นางก็ยกให้ข้า” ขวดยาสีขาวถูกหยิบออกมาจากสาบเสื้อ มอบให้สองพ่อลูกดู
หยางห่าวหรานหยิบออกมาเปิดจุกขวด ดมกลิ่นยาที่อยู่ด้านใน “เป็นยาลดไข้จริงด้วย”
“เจ้านอนพักต่อเถอะ พรุ่งนี้จะได้มีแรงเดินทางต่อ” หยางหาวอู๋ลูบเส้นผมของภรรยาอย่างเบามือ ดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้ ก่อนเลื่อนตัวลงไปนอนบนพื้นด้านข้างกับภรรยา
เปลวไฟยังสว่างไสวไม่ยอมหยุด สะเก็ดไฟปะทุขึ้นตลอดเวลา มีบ่าวไพร่ของแต่ละจวนคอยผลัดกันดูไฟไม่ให้ดับ ฝั่งของหลินซือเยว่มีหลินอ้ายคอยดูแลไฟให้ แต่เขากลับเผลอหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า พอสะดุ้งตื่นขึ้นมาก็พบว่าคนของตระกูลหยาง มาคอยเฝ้าไฟแทนเขาแล้ว
“คุณชายของข้าให้ข้ามาดูไฟให้พวกเจ้า เจ้าก็นอนเถอะ ตอบแทนบุญคุณคุณหนูของเจ้า ที่ช่วยเหลือฮูหยินของพวกข้าไว้” เขามากับสหายสองคนเพื่อที่จะได้ผลัดการเฝ้าไฟ จะได้ไม่เหนื่อยล้าจนเกินไปในตอนเดินทาง
“เอ่อ เช่นนั้นต้องขอบคุณพี่ชายมาก ข้าไม่ไหวแล้วจริง ๆ” หลินอ้ายปิดปากหาวสองสามที จากนั้นเขาก็ส่งเสียงกรนออกมาเบา ๆ
หลินซือเยว่ที่สัมผัสเสียงไวได้ยินทุกอย่าง ก่อนออกเดินทางนางให้เผิงฉือนำผ้าห่มมาเย็บเป็นถุงนอน และให้เผิงฉือกับหลินอ้ายคนละถุง พวกเขาจึงมีอุปกรณ์ในการนอนที่แปลกกว่าใครเพื่อน นางไม่ห่วงคนบนรถม้าเพราะว่ายังมีเตาอุ่นอันเล็กซ่อนเอาไว้อยู่ นับว่าคนตระกูลหยางรู้จักคุณคนอยู่
หลินซือเยว่ให้จูฮูหยินขึ้นนั่งบนรถม้าอีกหนึ่งวัน เพราะอาการของนางยังไม่หายดี มาวันนี้นางจึงสามารถเดินตามสามีและบุตรชายไปได้ ทำให้จูฮูหยินได้พูดคุยกับเถียนฮูหยินมากขึ้น
“ตระกูลหยางของเราไม่รู้ไปขัดแข้งขัดขาใครถึงได้มีวันนี้เข้า เหตุใดคนทำดีถึงไม่ได้ดีเล่า” เอ่ยแล้วน้ำตาของจูฮูหยินก็คลอเบ้า
“ฮูหยินข้าเองก็ใช่ต่างจากท่าน พี่ชายของสามีข้าก็ถูกคนใส่ร้ายเช่นเดียวกัน พวกเราถึงได้มีชะตากรรมเช่นนี้ สวรรค์ไม่ยุติธรรมจริง ๆ”
“ข้ารู้สึกมีวาสนาต่อเจ้ากับครอบครัวของเจ้า ขอเรียกเจ้าว่าจินเยว่ได้หรือไม่”
“ได้แต่แน่นอนเช่นนั้นข้าก็ขอเรียกท่านพี่ฮุ่ยชิวนะเจ้าคะ”
“ได้ ๆ”
ทั้งคู่พูดคุยกันถูกคอยิ่งนัก แต่คนที่ไม่ใคร่จะสบายใจคือหลินเต๋อ เพราะเขาจำได้ว่าพี่ชายได้กำชับ ห้ามไปยุ่งเกี่ยวกับคนตระกูลหยาง เพราะพวกเขาอันตราย เหตุใดฮูหยินของตนถึงได้ลืมเลือนเสียได้
หลินซือเยว่มองบิดาด้วยสายตาเอือมระอา “เดินทางลำบากเช่นนี้ทุกคนต่างก็เครียด ท่านแม่มีสหายคอยพูดคุยด้วยระหว่างทาง ดูเหมือนท่านพ่อจะไม่พอใจนะเจ้าคะ”
“เหตุใดข้าจะไม่พอใจเล่า เพียงแต่ว่า” หลินเต๋อไม่รู้จะเอ่ยคำไหนออกมาอีก
“ข้าได้ยินท่านป้าจูกับท่านแม่นับเป็นพี่สาวน้องสาวกันด้วย” หลินซูฮวาบางครั้งก็ปีนขึ้นไปนั่งรถม้า บางครั้งก็ลงมาเดิน นางจึงได้ยินเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งสองพูดคุยกัน
“มีมิตรเพิ่มย่อมดีกว่าสร้างศัตรู”
“พี่รองเอ่ยถูกต้องแล้ว”
เจ้าสองคนยังเห็นพ่ออย่างข้าอยู่ในสายตาหรือไม่ !
ในวันที่หกของการเดินทาง
ขบวนเนรเทศถูกทหารต้อนเข้าไปในเส้นทางหุบเขาแห่งหนึ่ง รอบข้างมีหิมะหนากองสูงท่วมเข่า พวกทหารจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทาง เพราะสะพานข้ามแม่น้ำหลิวถูกหิมะถล่มจนพังข้ามผ่านไปไม่ได้
รองแม่ทัพซุนต้าหลงได้รับมอบหมายให้คุ้มกันขบวนเนรเทศในครั้งนี้ เขาเป็นพวกไม้หลักปักเลน เอนเอียงเข้าหาใครก็ได้ ที่มีผลประโยชน์ต่อตัวเอง ฮ่องเต้ได้มอบหมายให้เขาทำหน้าที่นี้ หลายวันที่ผ่านมานี้เขาเฝ้ามองดูคนตระกูลหยางอย่างเงียบ ๆ และเห็นคนของตนเองแอบรังแกพวกเขาอยู่ไม่น้อย ในใจชายวัยสี่สิบห้าปีผู้นี้ กำลังรอให้พวกเขาหมดความอดทน และลงมือทำร้ายทหารในขบวนคุ้มกัน เช่นนั้นเขาจะได้สังหารพวกกบฏได้โดยชอบธรรม
“ท่านรองแม่ทัพ หนทางข้างหน้าอันตรายยิ่งนัก เกรงว่าวันนี้อาจไปไม่ถึงที่หมายก็เป็นได้” นายพันหวงอี้เข้ามาคำนับรายงาน หลังจากให้ลูกน้องของตนเองมุ่งหน้าไปสำรวจเส้นทางใหม่ ที่เพิ่งเลือกใช้เดินทางแทนเส้นทางเก่า
“อย่างไรก็ต้องไปให้ได้ ย้อนกลับไปก็ไม่มีประโยชน์” รองแม่ทัพซุนยกยิ้มคล้ายไม่ใส่ใจ หากว่าจะมีใครหนาวตายท่ามกลางหิมะในค่ำคืนนี้
หลินซือเยว่ถอนสายตากลับมาจากทั้งคู่ ร่างกายของนางพัฒนาเรื่องการรับรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ ความสามารถนั้นราวกับจะเพิ่มขึ้น ตามวันเวลาของการมีชีวิตอยู่ของนาง จากการมองและได้ยินในเรื่องเมื่อครู่นี้ นางอดที่จะทอดถอนลมหายใจออกมาไม่ได้ ทุกคนในขบวนกำลังจะได้พบกับบททดสอบจากภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ไม่เพียงเท่านั้นยังจะมีภัยจากผู้ไม่ประสงค์ดีอีกด้วย
เกรงว่าหนทางนี้จะยากลำบาก ไม่แคล้วได้เลือดตกยางออก หรือล้มหายตายจากไป ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ แม้ล่วงรู้แต่ไม่อาจระบุแน่ชัด หรือแก้ไขได้ในทันที หากดวงชะตาไม่ชัดเจนนางก็ทำการใดไม่ได้ มีเพียงภาพรวมของคนทั้งขบวน ว่าดีหรือร้ายเท่านั้นเอง
ยามเซิน (15.00-16.59)
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า ทว่าขบวนเดินทางยังคงไปไม่ถึงที่หมาย รองแม่ทัพซุนที่นำขบวนอยู่ด้านหน้า เริ่มหน้าบึ้งตึงขึ้น ลำพังเพียงตะเกียงน้ำมันในมือของทหาร ก็ส่องแสงสว่างไม่เพียงพออยู่แล้ว ครั้นต้องการจุดคบไฟลมกลับพัดแรง หิมะดันตกหนักขึ้นกว่าเดิม คนในขบวนเองเริ่มอ่อนแรง ทำให้การเดินเชื่องช้าลง
หลินซือเยว่ให้มารดากับน้องสาวขึ้นไปนั่งบนรถม้า นางกับเผิงฉือและหลินอ้ายมีเตาอุ่นมือคนละอัน หลินเต๋อเห็นเช่นนั้น ก็ไปแย่งเอามาจากหลินอ้ายหน้าด้าน ๆ หลินซือเยว่หมดคำจะเอ่ย หันไปบอกให้หลินอ้ายไปนำตะเกียงน้ำมัน ที่อยู่ในรถม้าออกมาถือ นอกจากจะช่วยส่องทางแล้วยังทำให้เขาอบอุ่นขึ้น สองมารดากับบุตรสาวภายในรถม้า พากันรื้อผ้าห่มออกมาคลุมกายเอาไว้
“ขืนเป็นอย่างนี้ต่อไปพวกเราได้หนาวตายกันหมดแน่” หยางห่าวอู๋เอ่ยด้วยหน้าเคร่งเครียด มองบุตรชายที่หนาวสั่นจนปากเขียวไปหมด “ห่าวหรานเจ้าเป็นอันใดไป”
“ท่านพ่อข้า...” เอ่ยได้เพียงเท่านั้นหยางห่าวหรานก็ล้มลงไปบนหิมะในทันที
“ห่าวหราน !” จูฮูหยินกรีดร้องออกมาอย่างตกใจ รีบเข้าไปพยุงบุตรชายขึ้นมา “ท่านพี่ห่าวหรานเป็นไข้ตัวร้อนสูงมาก” นางเอ่ยออกมาด้วยความสงสารบุตรชาย
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ตอนแรกก็ดี ๆ อยู่ไม่ใช่รึ” หยางห่าวอู๋ไม่เข้าใจ
“พี่ใหญ่ห่าวหรานมีบาดแผลที่ร่างกายขอรับ ถูกคนในคุกทรมานให้รับสารภาพ แต่เขาไม่ยินยอมพวกมันจึงเอาเหล็กร้อน ๆ มานาบตรงเหนือหัวใจของห่าวหราน ข้าแอบนำยาสมานแผลมาใส่ให้เขาแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ห่าวหรานกำชับข้าไม่ให้บอกพวกท่านทั้งสองคน” หยางชุนเป็นรองแม่ทัพคนหนึ่ง นับไปแล้วเขามีศักดิ์เป็นท่านน้าของหยางห่าวหราน เขาก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด
“ต้องรอให้ห่าวหรานตายก่อนหรืออย่างไร เจ้าถึงจะพูดความจริง” จูฮูหยินนึกโกรธน้องชายของสามีผู้นี้ขึ้นมา
“เอะอะอันใด ทำไมไม่เดินทางต่อ” นายทหารที่คุ้มกันท้ายขบวนถือดาบเดินมาทางพวกเขา
“บุตรชายของข้าได้รับบาดเจ็บ หมดสติไปเช่นนี้คงไม่อาจเดินทางต่อได้”
“ก็ทิ้งไว้ที่นี่เสีย”
ทันใดนั้นบรรยากาศรอบตัวก็เย็นยะเยือกหนักกว่าเดิม เนื่องจากสายตาของคนตระกูลหยาง จดจ้องมาที่เขาเป็นจุดเดียว นายทหารถึงกับรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ไปบอกหัวหน้าของเจ้าให้เดินทางต่อได้เลย ข้าจะรอจนกว่าลูกชายของข้าฟื้นถึงจะเดินทางตามไป” หยางห่าวอู๋มีรัศมีน่าเกรงขาม ครั้นเอ่ยออกไปเช่นนี้ นายทหารผู้นั้นก็รีบวิ่งไปหน้าขบวน เพื่อรายงานสถานการณ์ท้ายขบวนในทันที
ซุนต้าหลงยังไม่อยากมีปัญหากับตระกูลหยางยามนี้ ยามที่ทุกชีวิตตกอยู่ในอันตราย “อนุญาตให้อยู่ดูแลคนป่วยได้เพียงสองคน นอกนั้นให้ตามขบวนมา ส่วนเจ้าต้องเป็นคนจับตาอยู่เฝ้าพวกมัน และเดินทางตามมาให้ทันขบวนใหญ่”
“ขอรับท่านรองแม่ทัพ” นายทหารผู้นี้คือจี๋ไห่ ที่ท้ายขบวนนอกจากเขาแล้ว ยังมีลูกน้องของเขาอีกสี่คน ย่อมหมายความว่าทั้งห้าคน ต้องอยู่กับคนตระกูลหยางที่เจ็บป่วย
ซวยจริง ๆ