ตอนที่ 1
“อะไรนะครับคุณแม่… ”
พีรวิทย์ ชายหนุ่มใบหน้าคมคร้าม จมูกโด่งเป็นสันสวย คิ้วเข้มดกดำระบายแนวเป็นแพอยู่เหนือกรอบดวงตาคมประกาย ถึงกับตะลึง อ้าปากค้าง แทบสำลักกาแฟที่กำลังยกขึ้นดื่ม
“ผมหูฝาดไปใช่ไหมครับ”
เขารู้สึกตกใจ กับเรื่องที่เพิ่งได้ยินชัดเจนเต็มสองหู เริ่มโอดครวญขึ้นมาในทันที เมื่อคุณหญิงผกาผู้เป็นมารดา ยื่นคำขาดว่าถ้าเขาไม่ยอมแต่งงานกับ ‘ดาราวดี’ ซึ่งเป็นลูกสาวของเพื่อนรักคนสนิท พีรวิทย์จะถูกตัดขาดออกจากมรดกกองโตในทันที
“ก็อย่างที่แกได้ยินนั่นแหละ… ชัดเจนแล้วนี่ ไม่เห็นจะต้องแปลภาษาไทยให้เป็นภาษาไทยนี่นา”
ได้ทีคุณหญิงผกาลอยหน้าเอาจริง กล่าวออกมาอย่างนึกสะใจที่ได้เห็นลูกชายทำหน้าเหมือนโดนผีหลอก คงตกใจแทบ
ช็อคละสิท่า
“นี่มันยุคไหนแล้วครับคุณแม่… ”
คนเป็นลูกชายส่ายหน้าพรืด นึกในใจว่ายุคสมัยนี้ยังมีการ ‘คลุมถุงชน’ ให้เห็นอยู่อีกหรือ? ให้ตายเถอะโรบิ้นให้ดับดิ้นเถอะ
โรเบิร์ต พีรวิทย์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าเรื่องอย่างนี้จะเกิดขึ้นกับตน
“ไม่รู้แหละ… ฉันไม่สนใจว่ายุคไหนสมัยไหน เพราะถ้าแกยังขืนทำตัวเสเพล สัมมะเลเทเมา เละเทะไม่เป็นโล้ไม่เป็นพาย ทำตัวเป็นเพลย์บอยควงผู้หญิงไม่ซ้ำหน้าอยู่อย่างนี้ ฉันกลัวเหลือเกินว่าจะพลาดไปคว้าผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายตีนมาเป็นสะใภ้เข้าสักวัน… ถึงตอนนั้นนังแม่อย่างฉันคงอกแตกตายเสียก่อน”
คุณหญิงผกากอดอก เชิดหน้า ยกพัดขึ้นกระพือพรึ่บพรั่บ ไม่ยอมสบสายตาออดอ้อนของลูกชาย ตั้งใจว่าคราวนี้จะไม่ใจอ่อนเหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา
“โธ่… จะให้แต่งงานทั้งที่ผมยังไม่เคยรู้จัก ยังไม่เคยเห็นหน้ายัยดาวอะไรนี่?”
พีรวิทย์รีบหาข้ออ้างพัลวัน หวังว่าเหตุผลของตนจะได้รับความเห็นใจจากมารดา
“แกเรียกให้มันถูกหน่อยตาพีร์ น้องเค้าชื่อ ‘ดาราวดี’ ชื่อเล่นว่า ‘ดาว’ เป็นลูกสาวของเพื่อนแม่ รับรองว่าคนนี้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูท่าทางแล้วมีความเป็นกุลสตรี เป็นแม่บ้านแม่เรือนอย่างไม่ต้องสงสัย แกไม่รู้หรอกว่าแม่แอบเล็งเอาไว้ให้แกตั้งแต่หนูดาวยังเป็นเด็กๆ รอให้เรียนจบ คนนี้แหละ… เหมาะสมเหลือเกินที่จะมาเป็นสะใภ้ของตระกูล”
น้ำเสียงและแววตาของคุณหญิงผกาแสดงความชื่นชมในตัวว่าที่ลูกสะใภ้อย่างออกนอกหน้า ไม่สนใจลูกชายจอมดื้อรั้นที่กอดอก นิ่วหน้า นิ่งฟังแล้วแอบเบะริมฝีปาก ทั้งที่ก็ยังไม่เคยเห็นหน้าหญิงสาวที่มารดากำลังเอ่ยถึงด้วยซ้ำ
“โห! ‘ดาราวดี’ ชื่อยังกะนางเอกลิเกแน่ะ”
คนปากจัดติติงสารพัด
“อุ๊ย! ไปว่าน้องได้ยังไง ปากหรือนั่น”
คุณหญิงเผลอฟาดต้นแขนลูกชายด้วยพัด
“แล้วคุณแม่มั่นใจได้ยังไงล่ะครับ ว่ายัยนางเอกลิเกคนนี้จะถูกสเปคผม แน่ใจนะว่าไม่อ้วน ดำ ล่ำ สั้น หรือไม่ก็เตี้ยเหมือนตอม่อทางด่วน แน่ใจนะครับว่าสะโพกไม่แฟ่บ หน้าอกไม่แบนแต๊ดแต๋เป็นไม้กระดาน”
คนช่างตำหนิติติงรีบย่นหน้าผาก ร้อนตัวจนต้องตีโพยตีพายออกมาเสียยืดยาว คุณหญิงผกาเหลือบไปเห็นแววของความหนักใจปรากฏขึ้นชัดเจนในดวงตาของลูกชาย
“เออน่ะ… อย่าเพิ่งพูดมาก เอาไว้เจอตัวจริงเสียก่อนแล้วค่อยบ่น” พูดจบก็ยกพัดขึ้นกระพือด้วยความเคยชิน
“แล้วแน่ใจนะครับ… ว่ายัยน้องดาวคนนี้จะเข้ากับผมได้”
พีรวิทย์อุทธรณ์เสียงอ่อน
“แหม… ห่วงเสียจริงนะ ที่ผ่านๆ มาฉันก็เห็นแก ‘เข้า’ กับสาวๆ ได้หมดทุกคน มาคราวนี้ทำเป็นบ่น… ชิ๊”
คุณหญิงเผอทำปากยื่นใส่ลูกชาย ด้วยรู้เห็นกิตติศัพท์ความเจ้าชู้และเรื่องราวกระฉ่อนฉาวมานาน มีหรือที่จะไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองเป็นเช่นไร
“โธ่… คุณหญิงแม่ใจร้ายยยย”
ชายหนุ่มโอดครวญ ลากเสียงยืดยาวจนฟังดูน่าสงสาร นึกในใจว่าถ้าโดนบังคับแถมยังยื่นคำขาดแบบนี้ แล้วเขาจะเอา ‘เมนี่’ หญิงสาวสุดเซ็กซี่ พริตตี้อวบอึ๋ม คู่ควงคนปัจจุบันที่กำลังคบหากันไปไว้ที่ไหน ถ้าขืนต้องแต่งงานตามบัญชาของมารดา
“แม่มีทางเลือกให้แค่สองทาง… หนึ่งคือยอมแต่งงานเสียโดยดี สองคือโดนตัดออกจากกองมรดก”
คุณหญิงทำเสียงเข้ม ไม่มีวี่แววว่าล้อเล่นเลยสักนิด
“โห… คุณแม่ใจร้าย”
พีรวิทย์ยกมือขึ้นกุมขมับ นั่นเท่ากับบังคับกันเห็นๆ ไม่ให้โอกาสเขาได้เลือกเลยสักนิด
ธุระร้อนของมารดาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันที ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าจู่ๆ จะต้องโดนบังคับให้แต่งงานแบบสายฟ้าผ่า กับผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อน ให้ตายสิพับผ่า!
แต่เอาเถอะ เพื่อเห็นแก่มรดกกองโตของตระกูล รวมๆ แล้วก็เฉียดหมื่นล้าน ในเมื่อคุณหญิงผกาผู้เป็นมารดาใช้แผนนี้กับตน เขาจะรับมือด้วยการ ‘ซ้อนแผน’ ของคุณหญิงแม่อีกที ด้วยการยอมๆ แต่งงานกับยัยน้องดาวอะไรนี่ไปก่อน จากนั้นค่อยหาหนทางหย่ากันทีหลัง ชายหนุ่มนึกในใจว่าคุณหญิงแม่รู้จักลูกชายคนนี้น้อยเกินไปเสียแล้ว
หนึ่งเดือนต่อมา
ภายหลังงานวิวาห์ที่จัดขึ้นในโรงแรมหรูได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ตลอดวันอันยาวนาน ดาราวดีรู้สึกว่าเพิ่งได้ชีวิตของตัวเองกลับคืนมา ได้กลับมาเป็นตัวเองอีกทีก็ตอนนี้เอง หลังจากพยายามทำตามใจคนโน้นคนนี้ ทั้งพ่อและแม่ที่เจ้ากี้เจ้าการเอาเธอมาใส่พานเป็นเจ้าสาวให้กับลูกชายของเศรษฐีซึ่งเธอเพิ่งมีโอกาสได้เห็นหน้าเขาเพียงไม่กี่วันก่อนเข้าพิธีวิวาห์
“ยัยดาว… รีบแต่งๆ ไปเถอะลูก หนูเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดรู้มั้ย โอกาสแบบนี้ใช่ว่าจะมีเข้ามาในชีวิตบ่อยๆ รู้หรือเปล่าว่ามีแต่คนอิจฉาเรา มีแต่คนอยากเกี่ยวดองกับตระกูลของคุณหญิงผกากันทั้งนั้น ฐานะอย่างครอบครัวของเราเมื่อเทียบกับเขาก็หนูตกถังข้าวสารดีๆ นี่เอง หลังจากแต่งงานแล้วปล่อยให้มีลูกเลยนะ คุณหญิงผกาท่านบ่นกับแม่ว่าปูนนี้แล้วแกยังไม่ได้อุ้มหลานกับเขาเสียที”
ประโยคที่ผู้เป็นมารดาพูดกับหญิงสาว ยังกึกก้องอยู่เต็มสองหู ดาราวดีนึกในใจว่ามารดาของเธอคิดได้เพียงเท่านี้เองหรอกหรือ? แต่คิดอีกทีก็คงเป็นเพราะว่ามารดาพูดออกมาจากความเป็นห่วงลูกสาวคนเดียวอย่างเธอ ทั้งพ่อและแม่กลัวว่าเธอจะขึ้นคานจนแก่หง่อมคาบ้าน ต้องเป็นภาระให้ดูแลตอนแก่เฒ่า เหมือนลืมไปว่าเธอเองก็ร่ำเรียนจนจบปริญญาตรี อาชีพการงานที่ทำอยู่แม้จะได้เงินเดือนไม่มาก แต่ก็พอให้ใช้จ่ายไม่ขัดสน
ปกติดาราวดีเป็นคนมัธยัสถ์อยู่แล้ว แต่งเนื้อแต่งตัวก็เรียบง่าย ไม่เคยฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยไปตามกระแสแฟชั่น ที่ผ่านๆ มาจึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่าย