‘คนสำคัญของฉัน’
เขมิกานั่งนิ่งวนเวียนคิดถึงแต่คำพูดของบุคคลด้านในห้องทำงาน รวมถึงสายตาที่ใช้มองเธอในวันนี้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอกัน บอกตามตรงว่าเสียใจ ถึงจะคิดไว้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงเธอกลับรับไม่ได้ เธอทนเห็นเขาใช้สายตาเย็นชาระคนรังเกียจไม่ได้จริง ๆ แต่จะทำอะไรได้เล่า เธอไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใด ๆ อยู่แล้ว ที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้ก็เพราะตัวเธอเองไม่ใช่เหรอ
ถ้าวันนั้นเธอเลือกที่จะคุยกับเขา อธิบายทุกอย่างให้เขาเข้าใจ มันคงไม่เป็นแบบนี้... มาคิดได้ตอนนี้ก็สายไปแล้วละ ในเมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องจำทนยอมรับและเผชิญหน้ากับมัน ส่วนความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขา เห็นทีต้องกดเอาไว้ให้อยู่ลึกที่สุด เพื่อที่ใครอีกคนจะได้ไม่เสียใจหรือหวาดระแวงเรื่องในอดีตระหว่างตัวเธอกับทิวากร
อีกอย่าง การมีอยู่ของผู้หญิงที่ชื่อแพทริเซีย นับเป็นเรื่องดีสำหรับเธอเหมือนกัน เพราะเธอจะได้ตระหนักรู้ ว่าข้างกายเขา มันไม่มีที่ว่างสำหรับเธออีกต่อไปแล้ว เป็นการตอกย้ำให้เธอเตือนตัวเอง ว่าไม่ควรรู้สึกกับเขาไปมากกว่านี้ถ้าไม่ต้องการเจ็บ
ใช่ เพื่อความปลอดภัยต่อความรู้สึกแสนเปราะบาง เธอต้องไม่ถลำลึก และหยุดทุกอย่างไว้แค่นี้เสีย
คิดน่ะมันง่าย แต่ทำน่ะมันยาก...
เขมิกายิ้มเศร้าดวงตากลมโตแดงระเรื่อหัวใจดวงน้อยบีบรัดเหมือนถูกมือที่มองไม่เห็นขยำเล่น เธอกำลังเจ็บปวด เป็นการเจ็บปวดที่ไม่สามารถบอกใครได้เลย
เป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีเสียง แต่กลับทำให้หัวใจเธอกลัดหนองและร้าวรานที่สุด
รู้ว่าต้องตัดใจ แต่ตอนนี้เธอยังทำมันไม่ได้ รักเขาขนาดนี้จะตัดใจง่าย ๆ ได้ยังไง 6 ปีนะไม่ใช่ 6 วัน จะได้เลิกรักง่าย ๆ
เขมิการักเขามาก รักมาตลอด...
รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นได้แค่อดีต ส่วนปัจจุบันคือผู้หญิงคนนั้น หัวใจเจ้ากรรมก็ยังไม่ยอมฟังสมองสักที เธอห้ามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้เลย
ทนหน่อยนะหัวใจ ถึงจะรักกันไม่ได้แล้ว แต่เธอขอเวลาไม่นาน เธอยังอยากเห็นหน้าเขา อยากเห็นรอยยิ้ม อยากได้ยินเสียงหัวเราะ ขอแค่ได้มองเขาต่ออีกหน่อย แค่นานกว่านี้อีกสักนิด… ก็พอ
ถ้าวันไหนเธอพอใจแล้ว เธอจะไม่ยอมให้หัวใจต้องเจ็บอีก เธอสัญญา
เขมิกากะพริบตาไล่หยาดน้ำตาที่คลอเบ้าให้กลับคืน มือเรียววางทาบยังตำแหน่งหัวใจที่กำลังเต้นตึกตัก พลางหลับตาข่มความรู้สึกต่าง ๆ ที่กำลังล้นทะลักออกมาให้กลับไปอยู่ยังที่ที่ควรอยู่
“แค่เห็นเขามีความสุขและมีชีวิตที่ดีก็พอแล้วเขม อย่าหวังอะไรที่เกินตัวมากไปกว่านี้เลย”
หญิงสาวพูดกับตัวเองแล้วหันหน้าไปมองบานประตูห้องทำงานที่เธอเพิ่งออกมาอีกครั้งด้วยแววตาที่ต่างไปจากเดิม เป็นแววตาปกติของพนักงานธรรมดาคนหนึ่ง
“เฮ้อ ฟุ้งซ่านไปก็ไร้ประโยชน์ ทำงานได้แล้วเขม เธอยังมีหน้าที่อยู่นะ” ตำหนิตัวเองเล็กน้อยแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานทันที
เขมิกาเปิดแฟ้มเอกสารขึ้นอ่านพลางพิจารณา อะไรที่สำคัญก็จัดการแยกไว้ อะไรที่เร่งด่วนจำเป็นต้องได้รับการเซ็นอนุมัติเธอก็คัดแยกไว้อีกส่วนเช่นกัน
“เอกสารพวกนี้สงสัยต้องเอาไปให้คุณป้าเซ็นก่อน ท่านรองเพิ่งมาคงจะยังไม่สามารถเซ็นตอนนี้ได้จนกว่าจะได้ประชุมเพื่อเปิดตัวกับบอร์ดบริหาร จริงสิ! ประชุมบอร์ดบริหาร!”
เขมิกาพูดเสียงดังพร้อมกับดูเวลาที่หน้าปัดนาฬิกาบนข้อมือซ้ายทันที ก่อนเบิกตากว้างเมื่อเห็นเข็มสั้นชี้ไปที่เลข 11
“โอ๊ยตายแล้ว! ลืมไปได้ยังไงเนี่ย! ยังไม่ได้แจ้งท่านรองเลย” หญิงสาวกล่าวว่าตัวเองแล้วผุดลุกจากเก้าอี้ตรงไปยังหน้าห้องเจ้านายคนใหม่ทันที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตค่ะ” หญิงสาวกล่าวอย่างเร่งรีบและเดินเข้าไปด้านในอย่างรีบร้อน ทว่าเมื่อเงยหน้าขึ้นกลับช็อกกับภาพตรงหน้า ความรู้สึกที่บอกให้กดไว้ลึกที่สุดตีตื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ
ภาพตรงหน้าทำใจเธอเจ็บแปลบ… ทิวากรกำลังจูบกับแพทริเซียบนเก้าอี้ทำงาน!
หญิงสาวอึ้งจนพูดไม่ออก ได้แต่ยืนตาค้างอยู่เช่นนั้นจนเจ้าของห้องทนไม่ไหว ตวัดสายตาไม่พอใจส่งให้
“มีอะไร เข้ามาแล้วทำไมไม่พูด”
ทิวากรกล่าวเสียงห้วน มองคนที่ยืนตะลึงตรงหน้าประตูที่เอาแต่นิ่งเงียบด้วยความไม่ชอบใจ จนผ่านไปหลายนาทีเขมิกาก็ยังไม่ตอบอะไรออกมาจึงกล่าวเสียงดุ
“นี่! ฉันถามว่ามีอะไร ทำไมไม่ตอบ ถ้าเข้ามาแล้วเงียบก็ออกไปเถอะ น่ารำคาญ!”
“ขะ ขอโทษค่ะ” เขมิกาละล่ำละลักตอบคำ ก้มหน้าหลบสายตาคมดุที่มองมา
“เอ้า เงียบอีกละ มีอะไรทำไมไม่พูด ถ้าไม่พูดก็ออกไปข้างนอก!” ชายหนุ่มตะคอกใส่เสียงดังจนหญิงสาวได้สติ
“ประทานโทษค่ะท่านรอง เขมจะมาแจ้งว่าบ่ายโมงตรงท่านรองมีประชุมบอร์ดบริหารน่ะค่ะ”
“เรื่อง”
“เป็นเพียงการแนะนำตัวและทำความรู้จักกับบอร์ดบริหารค่ะ”
“แค่นี้ใช่ไหม”
“ค่ะ”
“อืม ออกไปได้แล้ว ถ้าไม่ได้เรียกก็ไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามา... รังเกียจ!”
ลับหลังร่างของเขมิกาที่พ้นจากประตูห้องไป ทิวากรก็ดันร่างแพทริเซียออกจากตักพร้อมมองไปยังทิศทางประตูไม่วางตา
แพทริเซียตวัดสายตาค้อนเคืองส่งให้เพื่อนชาย มีอย่างที่ไหนคุยกันอยู่ดี ๆ พลันได้ยินเสียงเคาะประตู เจ้าของห้องก็รวดเร็วดังสายฟ้าฟาดฉุดกระชากเธอมานั่งตักยังเก้าอี้ทำงานในท่าชวนเข้าใจผิดเสียนี่ ใช้งานเสร็จก็ผลักออกแถมไม่สนใจกัน เหอะ น่าหมั่นไส้ชะมัด หญิงสาวหรี่สายตามองขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ เมื่อทนไม่ไหวจึงโพล่งออกมา
“ทำไม เป็นห่วง?” น้ำเสียงเย้าแหย่เรียกสติทิวากรให้กลับคืน ชายหนุ่มตวัดสายตาไม่พอใจส่งให้พร้อมสะบัดหน้าตอบกลับเสียงขุ่น “เหอะ เป็นห่วงก็บ้าละ”
“ไม่เป็นห่วงแล้วทำไมต้องมองตามไปเหมือนคนรู้สึกผิดด้วย”
“ก็แค่มองตามเฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกอะไรสักหน่อย”
“จริงเหรอ”
“จริงสิ”
“แน่ใจ”
“เอ๊ะ ยูนี่! จะมาจับผิดไอทำไม บอกไม่เป็นห่วงก็ไม่เป็นห่วงสิ เซ้าซี้อยู่ได้”