ราชมรรคาสีดำ

1314 คำ
ราชมรรคาสีดำ เมื่อครั้งพระมหาอุปราชาแห่งพม่าทำศึกยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราช เราทราบกันดีว่าผลของสงครามคราวนั้นเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ไทย แต่น้อยคนนักจะทราบว่าเบื้องหลังของความปราชัยของพระมหาอุปราชานั้นมีความเป็นมาอย่างไร จับใจความได้จากเอกสารทางประวัติศาสตร์หลายต่อหลายแหล่งด้วยกัน ประติดประต่อโดยย่นย่อพอได้ความดังนี้ ก่อนการเคลื่อนทัพสู่แดนอยุธยา พระมหาอุปราชาทรงหวั่นพระทัยแสนสาหัส ความเร่าร้อนของธาตุไฟในร่างกายร้อนระอุปานดั่งจะเผาให้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่าน พงศาวดารได้บันทึกเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า พระมหาอุปราชาได้กราบทูลพระราชบิดาคือสมเด็จพระเจ้านันทบุเรงหงษาวดีว่า “โหรเคยพยากรณ์ไว้ว่าดวงชะตาของพระนเรศวรร้ายกาจนักไม่มีใครทำให้ปราชัยได้ มิใช่หรือเสด็จท่านพ่อ” สมเด็จพระเจ้านันทบุเรงไม่พอพระทัยอย่างหนักจึงแกล้งตรัสว่า “ถ้าเจ้ากลัวก็บอกมาตรงๆเถอะ อย่าได้อ้อมค้อมไปเลย” “ปะๆๆๆ เปล่า พระเจ้าข้า หามีไม่ความหวั่นกลัวในตัวข้าพระพุทธเจ้า” “แล้วเหตุไฉนเจ้าจึงถามเช่นนั้น ถ้าหากไม่ใช่เพราะความขี้ขลาดตาขาวของเจ้า” “อะๆๆๆ คืออย่างนี้ พระเจ้าข้า แบะๆๆๆ” “หยุดพล่ามได้แล้ว ถ้าเจ้ากลัวก็อย่าไปรบเลย แล้วจงรีบเอาผ้าถุงสตรีมานุ่งเสียจะได้สิ้นเคราะห์ สิ้นเวรเสียที” เมื่อพระมหาอุปราชาซึ่งมีสิทธิ์จะขึ้นครองบัลลังก์เป็นพระเจ้าแผ่นดินในอนาคตได้ยินดังนั้นก็อับอายขายหน้าบรรดาขุนนางและหวาดกลัวพระราชอาญาของพระบิดายิ่งนัก จึงต้องแสร้งทำเป็นเข้มแข็งให้สมกับเป็นเลือดขัตติยะ “ข้าพระพุทธเจ้าไม่หวั่นไหวใดๆทั้งสิ้น แม้กระทั่งความตาย !!” “ดีแล้ว มันต้องอย่างนั้นถึงจะสมเป็นชายชาตินักรบ” ถึงกระนั้นก็ไม่อาจขจัดสิ่งที่น่าครั่นคร้ามได้ ! ภายในห้องบรรทม อากาศร้อนอบอ้าวจนรู้สึกอึดอัด พระมหาอุปราชาได้สั่งเสียพระสนมว่า ความจริงพระองค์ไม่สนพระทัยการสงคราม แต่จำต้องไปตามหน้าที่ ขอให้นางทั้งหลายอย่าโศกเศร้าคร่ำครวญเลย “คราวนี้ เราไปไม่นานก็จะรีบกลับ!” พระสนมหลายนางได้ยินชัดเจนเช่นนั้นถึงกับสะดุ้งพลาง “อ๊ะ รีบกลับเช่นนั้นหรือ เพค่ะ” “ใช่แล้ว เราจะรีบเอาชัยชนะมาฝากพวกเจ้ายังไงล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ” การเดินทางข้ามเทือกเขาสลับซับซ้อนไปทำสงคราม ณ อยุธยาธานีหาใช่การไปสำราญอิริยาบถในสวนอุทยาน พระองค์ตรัสเช่นนั้นมันช่างมีความหมายลึกล้ำและเยือกเย็นในจิตวิญญาณเสียนี่กระไร อีกทั้งพระพักตร์ของพระองค์ก็หมองคร้ำ และแววพระเนตรคร่ำเครียดจนหมดสง่าราศรี ! บรรดาพระสนมต่างพากันร้องไห้รำพัน ด้วยความห่วงใยพระมหาอุปราชาจึงขอตามเสด็จไปด้วย แต่พระองค์ตรัสห้ามว่า การเดินทางไปในป่าเขาเป็นการลำบาก และจะเป็นการกังวลจนทำให้พระองค์รบพุ่งกับศัตรูไม่ถนัด กว่าจะตรัสปลอบโยนและสั่งเสียพระสนมเสร็จครบทุกนางก็เป็นเวลาใกล้รุ่ง เช้าวันรุ่งขึ้น พระมหาอุปราชาทรงรับพระพรจากพระเจ้านันทบุเรงแล้วก็ทูลลา เสด็จไปทรงช้างพระคชาธารชื่อพัทธกอ ทรงเคลื่อนทัพซึ่งมีพล ๕๐๐,๐๐๐ นายพร้อมด้วยเหล่าช้าง ม้า พลเดินเท้า พาหนะเกวียนและอาวุธยุทธภัณฑ์ต่าง ๆ นำกองทัพผ่านป่าเขาลำเนาไพรมาอย่างช้า ๆ ยุทธวิธีการเคลื่อนทัพคราวนั้นแปลกประหลาด ไม่เคยมีแม่ทัพท่านใดเคยทำมาก่อน คือ เดินทางเฉพาะเช้าและเวลาเย็น พอแดดร้อนก็หยุดพัก รี้พลและ ช้าง ม้าเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติ ฟังเสียงนกร้องเพลงในพงไพร เสียงสายน้ำไหลผ่านโตรกธารในยามเย็น ทำให้พระมหาอุปราชาหวลนึกถึงเวียงวังที่สุขสบายและการพะเน้าพะนอจากบรรดาพระสนม นางในแทบขาดใจ ในที่สุดกองทัพของพระมหาอุปราชาก็เคลื่อนไปถึงเมืองหน้าด่านของกรุงศรีอยุธยาคือเมืองกาญจนบุรี กองลานตระเวนได้ไปพบกองทัพไทยเข้าโดยบังเอิญ จึงรีบกลับไปกราบทูลให้พระมหาอุปราชาทรงทราบทันที “บัดนี้ กองทัพอยุธยากำลังตั้งท่ารอรับอยู่หนองสาหร่าย มีกำลังพลประมาณไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ คน” พระมหาอุปราชาทรงประเมินสถานการณ์เบื้องต้นเห็นว่าเป็นฝ่ายตนได้เปรียบหลายขุม เพราะกำลังพวกตนมีมากกว่าหลายเท่า จึงรับสั่งให้เตรียมพลเคลื่อนทัพออกจากเมืองกาญจนุบรีโดยพลัน เดินทางผ่านตำบลหนองหญ้าขาว และเมืองจรเข้สามพัน โดยมีแผนยุทธศาสตร์สำคัญ ๓ ประการ คือ ๑. ตีกองทัพไทยที่หนองสาหร่ายให้แตกกระเจิง ๒. โอบล้อมกรุงศรีอยุธยา แล้วจุดไฟเผาให้แหลกละเอียด ๓. รีบกลับทันที อนิจจา...!!!! จุดมุ่งหมายของพระมหาอุปราชาสำเร็จเพียงข้อ ๑ แล้วข้ามมาข้อ ๓อย่างอัตโนมัติ เพราะข้อ ๒ นั้นต้องพังทลายลง เมื่อพระองค์พบเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเสียก่อน ในขณะประทับอิริยาบถสบายอยู่ใต้ร่มข่อยใหญ่อันร่มรื่น ทันใดนั้น! เมฆสีดำก้อนมหึมาผุดขึ้นทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ท้องฟ้ามืดมิดราวกับไม่เคยมีแสงตะวันมาก่อน พายุใหญ่พัดปั่นป่วนในท้องฟ้า เสียงฟ้าร้องกึกก้องกัมปนาทเหมือนโลกทั้งโลกกำลังจะถล่มทลาย แต่ไม่นานนัก ความมืดมิดทั้งหลายทั้งปวงก็ปราศนาการไปอย่างฉับพลันทันที สนามรบสว่างจ้าขึ้นอีกครั้ง และเมื่อฝุ่นละอองสงบลงก็ปรากฏว่า มีสองกษัตริย์หนุ่มผู้องอาจ ทรงช้างผงาดเด่นอยู่ตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัวรัศมีว่าที่กษัตริย์แห่งพม่าในอนาคต มิหน้ำซ้ำกษัตริย์องค์ดำยังชูของ้าว ประกาศท้าทายขึ้นว่า “พระเจ้าพี่ผู้ทรงเป็นใหญ่ พระเกียรติคุณเป็นที่ครั่นคร้าม เกรงกลัว พระเดชานุภาพเลื่องลือ หวาดหวั่นกันไปทั่วทุกสารทิศ ไม่มีผู้ใดกล้าสู้ฤทธิ์ ต่างพากันหลบหนี พระเจ้าพี่คือผู้ปกครองประเทศอันบริบูรณ์ยิ่ง เป็นการไม่สมควรเลยที่พระเจ้าพี่จะประทับอยู่ในร่มข่อย ขอเชิญเสด็จออกมาทำยุทธหัตถีกันเถิด เพื่อแสดงเกียรติไว้ให้ปรากฏแก่อนุชนในภายภาคหน้า เพราะต่อจากเราทั้งสองจะไม่มีอีกแล้ว การรบด้วยการชนช้างจะถึงที่สุดเพียงนี้ ต่อไปจะไม่พบอีก การที่กษัตริย์จะทำยุทธหัตถีกันก็คงมีแต่เราสองพี่น้องชั่วฟ้าดินสลาย ขอเชิญอินทร์พรหมเสด็จมาประชุม ณ ทุ่งแห่งนี้ ทอดพระเนตรการชนช้างตัวต่อตัว ผู้เชี่ยวชาญกว่าขอทรงอวยพรให้มีชัย” คำประกาศนั้นคือการท้าดวลยุทธหัตถีหรือการชนช้าง(Elephant duel)การทำสงครามบนหลังช้างเป็นการสู้รบซึ่งถือว่าเป็นเกียรติยศ เป็นศักดิ์ศรีของผู้นำ ช้างที่ใช้ในการรบเป็นสัตว์ใหญ่ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี สองฝ่ายปะทะกันซึ่ง ๆ หน้า ความเป็นหรือความตายเกิดขึ้นได้ในเสี้ยววินาที ด้วยอารมณ์เดือดดาลเป็นกำลัง พระมหาอุปราชาได้ทรงสดับดังนั้นก็รีบไสช้างเข้าต่อสู้โดยพลัน ยุทธการอันยิ่งใหญ่เหนือทุ่งหนองสาหร่ายได้เปิดฉากขึ้นเป็นพลวัน การต่อสู้ยุติลงเมื่อพระมหาอุปราชาถูกสมเด็จพระนเรศวรมหาราชฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกที่ไหล่ขวาขาด สิ้นพระชนบนหลังช้าง การเสด็จมาหนองสาหร่ายของพระมหาอุปราชามิได้มีสิ่งใดบ่งบอกถึงชัยชนะ พระองค์ประทับบนหลังช้างพลางนึกพะวักพะวงในสิ่งเร้นลับจากคำทำนายของโหราจารย์ตลอดเวลา ‘ไม่มีใครทำให้ปราชัยได้’ ความหวาดหวั่นครั่นคร้ามคอยหลอกหลอนทุกฝีก้าวที่ย่ำเดินเข้าแดนอยุธยา ในที่สุดคำตรัสของพระมหาอุปราชา ‘เราไปไม่นานก็จะรีบกลับ’ ก็ได้ปรากฎเป็นจริงแก่ปวงพสกนิกรของพระองค์และถูกจารึกไว้เป็นตำนาน ตำนานที่ผู้ชนะกลายเป็นวีรบุรุษ ส่วนผู้แพ้ก็ก้มหน้ารับชะตากรรมต่อไป *******
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม