Mercedes Benz SLK 350 คูเป้คันหรูจอดลงตรงคอนโดทำเลสวยขนาดกลางติดสถานีรถไฟฟ้า เมื่อรถจอดสนิท ดวงตาเรียวคมของคนที่เอามือกอดพวงมาลัยรถอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบตาขึ้นไปมองมันเต็มความสูง ก่อนปรากฏรอยยิ้มที่มุมปากเล็กๆ อย่างอดไม่ได้
“ขอบคุณมากนะ” เสียงเล็กที่ดังขึ้นเรียกให้เขาต้องละความสนใจจากภาพตรงหน้าหันกลับไปมอง มือบางยื่นคืนเสื้อสูทเนื้อดีที่คนตรงหน้าอุตส่าห์เสียสละถอดให้ตั้งแต่เธอโดนเล่นสงกรานต์กลางร้านเมื่อเย็นนั้น ตอนนี้สภาพของเขาจึงไม่ต่างกับพนักงานออฟฟิศคนหนึ่ง เชิ้ตขาวตัวในถูกปลดกระดุมแขนออก แล้วพับมันขึ้นมาลวกๆ อย่างที่เจ้าตัวไม่คิดจะใส่ใจอะไรกับมันนัก เช่นเดียวกับเนคไทสีเข้มที่ปมของมันถูกคลายออกมาหลวมๆ ให้เจ้าตัวพอจะปลดกระดุมเม็ดบนของเสื้อออกได้ มองโดยรวมทั้งการแต่งตัวรวมถึงท่าทางสบายๆ ของเขาในตอนนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชายหนุ่มตรงหน้าดูดีไม่เหมือนผู้ชายที่อายุขึ้นเลขสามแล้วเลยสักนิด
“อาฮะ” คิ้วหนาได้รูปของคนตัวโตเลิกขึ้นเล็กน้อย อดสงสัยไม่น้อยว่าเสียงขอบคุณอย่างเหนื่อยอ่อนของคนตรงหน้านั้น มันสำหรับอะไร ขอบคุณสำหรับการมาส่ง ขอบคุณที่ให้ยืมเสื้อตัวนี้ หรือทั้งสองอย่าง แต่ถึงอย่างไรก็ตามเขาก็เลือกที่จะตอบรับคำขอบคุณนั้นไว้สั้นๆ พร้อมยิ้มอ่อนๆ ให้เธอโดยไม่ต่อปากต่อคำอะไรอีก แววตาที่หม่นลงอย่างเห็นได้ชัดประกอบกับน้ำเสียงที่ไม่ร่าเริงสดใสเหมือนเดิม มันทำให้รู้สึกหดหู่ใจแบบบอกไม่ถูก ถ้าเลือกได้เขาคงอยากเห็นยัยแพนด้าขอบตาดำที่ต่อปากต่อคำกับเขาไม่เลิกมากกว่าสภาพเหมือนคนแบกโลกทั้งใบไว้อย่างในตอนนี้ มันคงจะทำให้เขายิ้มได้มากขึ้น
ด้านลลนา แววตาอ่อนโยนที่ส่งมาให้ ยิ้มแบบที่เธอก็ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเจ้าตัวเองจะรู้หรือเปล่า รอยยิ้มอบอุ่นที่เธอแอบคิดว่าบางทีอาจเป็นพันธุกรรมเด่นของตระกูลที่สืบทอดมาถึงคนตรงหน้า จริงๆ แล้วมันก็ไม่ได้แปลกอะไรมาก หรือถ้าจะแปลกก็ที่เธอเองนี่ล่ะ เวลาเจอยิ้มแบบนี้ทีไร เป็นต้องทำอะไรไม่ถูก ต้องเผลอหลบตาแทบทุกที
“เอาคืนไปได้แล้ว” แต่พอรวบรวมสติได้ คนตัวเล็กก็แสร้งเสียงดัง เสมองผ่านหน้าเลยไปยังหน้าต่างของประตูรถอีกด้านแทนที่จะมองอีกฝ่ายตรงๆ แล้วยื่นสิ่งของในมือกลับไปให้อีกครั้ง แอบเห็นคนเป็นเจ้าของทำหน้าหงุดหงิดนิดหน่อย ก่อนยื่นมือผลักมันกลับมาให้เธอเบาๆ
“เธอเอาไปใช้ก่อนเถอะ เดินขึ้นไปสภาพแบบนี้ คงไม่ดีแน่ๆ ” เขาพูด แววตาดูเหมือนจะขัดใจอะไรบางอย่างเมื่อมองไปยังร่างเล็กของยัยแสบในตอนนี้
ชุดเดรสผ้าชีฟองสีหวานของเธอ โดยปกติมันคงจะดูน่ารักอยู่ไม่น้อย ถ้าไม่ชุ่มไปด้วยน้ำแอลกอฮอล์หมักสีแดงแม้ตอนนี้จะไม่ได้เปียกซ่กมากแล้ว แต่ไอความชื้นของมันก็ทำให้ผ้าชีฟองสีอ่อนเนื้อบางลู่ลงจนแนบเนื้อ เลยไปถึงผิวบางขาวจัดตามแบบฉบับสาวหมวยที่อยู่ในนั้น
ความคิดที่ลอยฟุ้งอยู่ในหัว ทำให้เจ้าตัวเผลอขมวดคิ้วยุ่งออกมาแบบอดขัดใจไม่ได้ ปฏิกิริยาเหมือนคนกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง ร่างเล็กที่แอบลอบมองอยู่ต้องขมวดคิ้วตามไปด้วย ก่อนไล่สายตามองตามไปยังจุดโฟกัสเดียวกันที่ทำให้เขาต้องทำหน้าอย่างนั้น เท่านั้นล่ะคนตัวเล็กก็ถึงกับตาโต ทำอะไรไม่ถูก
นี่มันอะไรกันเนี่ย!!! เธอพลาดไปแล้วแท้ๆ ชุดสวยสีครีมของเธอ ปกติมันก็สวยดีหรอกนะ แต่พอโดนประดับด้วยรอยแดงกับน้ำชื้นๆ นี้ ไม่บอกก็รู้ว่ามันเห็นไปถึงไหนต่อไหน ถึงไม่พูดออกมาก็เถอะ แต่เล่นมองกันขนาดนั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ ว่าไอ้พี่ภัทรชีกอตรงหน้ากำลังคิดอะไร อึ้ย คนบ้า
เมื่อคิดได้ดังนั้น ลลนาก็ถึงกับไม่อยู่สุข ถอยร่างตัวเองไปชิดประตูโดยอัตโนมัติ ยกมือขึ้นปัดป่ายปิดบังตัวเองให้วุ่นวายไปหมด ถึงแม้จะเซฟตัวเองด้วยการใส่เสื้อซับไว้อีกชั้นแล้วก็เถอะ แต่มันก็ อึ้ย แค่สายเดี่ยวตัวเล็กๆ ตัวเดียว สีขาวอีกต่างหาก แล้วนี่เธอกำลังอยู่ในรถสองต่อสองกับเจ้าชู้ตัวพ่อเลยนะนั่น
คิดไปมือก็เที่ยวปิดนู่นบังนี่ไม่ยอมหยุด ยังไม่พอ อีกมือที่ถือเสื้อคลุมของอีกฝ่ายไว้ก็หวังจะดึงกลับเข้ามาใส่ แต่อีกคนกลับไม่ยอมปล่อย แถมดึงมันกลับคืนไปซะอย่างนั้น
จะทำอะไรเนี่ย ไอ้พี่ภัทรบ้าเธอคิดอยู่ในใจ พลางกำหมัดแน่น เล็งไปยังเป้าหมายที่ตั้งไว้เต็มที่
เอาสิ ถ้าพี่ภัทรคิดจะทำอะไร คราวนี้จะเอาให้เป็นหมัน ไม่ต้องลุกขึ้นมาสืบพันธุ์แน่
ร่างสูงที่ค่อยๆ โน้มตัวเข้ามาใกล้ พอๆ กับร่างเล็กที่กำลังรวบรวมสติ กำหมัดแน่น เล็งไปยังตำแหน่งที่เหมาะสม
นิดเดียวนะ รอแค่เข้ามาใกล้อีกนิดเดียว เสร็จแน่ ไอ้พี่ภัทร ลลนาคิดหมายมั่นอยู่ในใจ แต่ในจังหวะที่มือบางกำลังเงื้อมออกไป ก็พอดีกับสัมผัสอบอุ่นบางอย่างที่โอบอยู่รอบตัวเธอ ความรู้สึกแปลกกว่าที่คิดนั้น ทำให้เจ้าของร่างเล็กต้องเงยหน้าขึ้นมอง พร้อมกับคำตอบว่าเสื้อคลุมตัวโตที่ยื้อแย่งมาไม่สำเร็จเมื่อสักครู่นี้ ถูกนำมาวางลงบนร่างน้อยๆ ด้วยมือของเจ้าของมันเอง
“ขึ้นไปได้แล้ว อย่าลืมอาบน้ำแล้วกินยาด้วย ตัวเปียกมาทั้งวัน เดี๋ยวจะไม่สบาย” เสียงห้าวยังคงพูดออกไปเรื่อยๆ เหมือนปกติ ต่างจากตัวเธอที่แทบลืมหายใจไปชั่วขณะ เมื่อรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ เป่าลงรดต้นคออย่างที่คนกระทำคงไม่ได้ตั้งใจทิ้งสัมผัสนี้ไว้ก่อนจะผละตัวกลับไป ณ ตำแหน่งเดิม
ก็รู้ว่าไม่ตั้งใจ แต่ทำไมต้องใจเต้นแรงขนาดนี้
“นี่ ที่ฉันพูดได้ยินหรือเปล่า ยัยเตี้ย!!! ” ลลนาถึงกับหลุดออกจากภวังค์ เพราะเสียงห้วนจัดติดหงุดหงิดที่ดังอยู่ข้างหู
แล้วทำไมต้องเสียงดังด้วย เมื่อกี้ยังดีๆ อยู่เลย
“อืม รู้แล้วน่า” เธอตอบรับไปอย่างนั้น อดแสร้งหลบตาอีกฝ่ายที่ขมวดคิ้วมองมาอยู่แล้วไม่ได้ รู้สึกหน้าร้อนๆ ขึ้นมาแบบบอกไม่ถูก
“เอ่อ งั้นขึ้นห้องละนะ” เสียงติดๆ ขัดๆ กล่าวออกไปก่อนหยุดประโยคไว้เท่านั้น พยายามกลั้นหายใจเรียกความกล้าอีกครั้ง นานเกือบนาทีที่ความเงียบครอบคลุม นานจนอีกฝ่ายที่รอฟังตีสีหน้าหงุดหงิดเป็นเชิงถาม ร่างบางจึงพยายามรวบรวมความกล้าหาญก่อนพูดออกไปในที่สุด
“ขอบคุณอีกครั้ง สำหรับทุกอย่าง” พูดไปแล้วมันก็โล่ง เธอไม่ชอบติดค้างบุญคุณใคร ใครทำอะไรให้ก็ต้องขอบคุณ
และไม่รอให้เขาพูดอะไรไปมากกว่านี้ คนตัวเล็กก็จัดการเปิดประตูรถที่คนขับปลดล็อคไว้ให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไปทันที
อดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้ เมื่อภาพบางภาพลอยซ้อนทับขึ้นมาในหัว
นานแล้วสินะที่ไม่ได้รู้สึกแบบนี้คิดไปพลางก็ส่ายหัวให้กับตัวเองเบาๆ ก่อนแสร้งพยายามลืมๆ มันไป อดต่อว่าตัวเองไม่ได้ บางทีการเป็นคนซื่อสัตย์กับตัวเองมากเกินไป มันก็มีข้อเสียอยู่เหมือนกัน