จุดเริ่มต้นของบางอย่าง

2226 คำ
หนึ่งชั่วโมงต่อมาภายในห้องอาหารชื่อดังย่านทองหล่อ ขณะที่ลลนากับนริศรากำลังคุยกันอย่างออกรส ชดเชยที่ไม่ได้เจอกันเป็นเวลานานกว่าหนึ่งอาทิตย์ เสียงส้นสูงที่ดังกระทบพื้นไม่สามารถเรียกความสนใจมากเท่าความรู้สึกเย็นวูบที่มากระทบผิวบางไปทั้งตัว โครม ซ่าส์ๆๆๆ “ฮึ สมน้ำหน้า บอกแล้วไงว่าอย่าให้ฉันเจอหน้าแกอีก” น้ำสีแดงติดกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ถูกราดลงมาใส่หัวแบบไม่ยั้ง และก่อนที่จะได้ตั้งสติทำอะไรไปมากกว่านี้ เสียงแบบเดียวกันก็ดังมาซะก่อน โครม ผลัวะ!!! ติ๋งๆๆๆ เสียงน้ำหยดลงมาจากใบหน้าฉาบปูนนั่นไม่ขาดสาย เธอยังไม่ทันตั้งสติ แต่รู้สึกจะมีอีกคนตั้งสติได้เร็วกว่าเธอ และทำหน้าที่นี้แทนเธอไปซะแล้ว “อ๊ายยย แก…” คนที่โดนสาดกลับมาบ้าง ชี้หน้าโวยวายกลับมาเหมือนถูกเหยียบหาง เอ้ย…เอิ่ม อะไรล่ะ คิดไม่ออก แล้วแต่จะคิดแล้วกัน และไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายเงื้อมมือมาฝากรอยแดงๆ ไว้บนใบหน้าใครอย่างที่นางร้ายในนิยายชอบทำกัน บอกแล้วว่าการอ่านนิยายทำให้คนฉลาดขึ้นเยอะ เรื่องรู้ทันคนอื่นนี่ก็อย่าให้บอก มือบางของสาวหน้าหมวยจัดการกำหมัดซัดเข้าให้ตรงดั้งจมูกโด่งที่จะเพราะผ่านการศัลยกรรมมาหรือเปล่าไม่รู้อย่างจังทันทีราวกับว่ามันสั่งการมาจากกระดูกสันหลัง พอดีกับขาเล็กๆ ของนริศราที่บังเอิญเกิดเส้นเอ็นกระตุกขึ้นมากะทันหันจนต้องยื่นออกไปข้างหน้าอย่างช่วยไม่ได้ ขอโทษนะคะ ที่มันเผอิญทำให้ยัยนั่นต้องล้มลงไปจับกบเล่นบนพื้นแทบไม่ทัน ฮ่าๆๆๆ เสียงเอะอะโวยวาย รวมถึงไทยมุงที่ยืนดูอะไรบางอย่างแทนการนั่งกินข้าว ทำให้ภัทรพลได้แต่ส่ายหัวอย่างอ่อนใจกับนิสัยอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นอย่างนี้ แต่ถึงอย่างนั้นก็อดขมวดคิ้วน้อยๆ ไม่ได้ เมื่อรู้สึกว่าตรงจุดเกิดเหตุนั้น มันใกล้เคียงกับโต๊ะที่ยัยตัวเล็กสองคนนั้นนั่งซะเหลือเกิน ด้วยสัญชาตญาณทำให้ต้องรีบเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ให้หายติดใจสักที เห็นหัวเปียกๆ ของยัยเปี๊ยกที่กำลังยืนต่อปากต่อคำกับแม่สาวส้นสูงที่กำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่กับพื้น โดยมีเพื่อนรักอย่างน้องสะใภ้หมาดๆ เป็นลูกคู่ เสียงคุ้นเคยที่ดังมาแต่ไกลนั้น ทำให้เขาตกใจอยู่ไม่น้อย จนต้องรีบวิ่งเข้าไปห้าม แต่ก็นั่นล่ะ ก็อย่างว่า เรื่องทะเลาะกันของผู้หญิงเนี่ยใช่ว่าจะห้ามกันง่ายๆ ยิ่งสงครามหนึ่งสูงกับสองเปี๊ยกนี้แล้ว ดูท่าจะวุ่นกันไปใหญ่ แค่ไม่กี่นาทียังท้าตีท้าต่อยกันไปแล้วไม่รู้กี่รอบ ถ้างานนี้ไม่มีคนเข้ามาห้ามด้วยนี่ มีหวังคงได้หามส่งโรงพยาบาลแทนมานั่งตกลงกันที่โรงพักอย่างนี้แน่ ฮึ ก็แน่ล่ะ ในเมื่อตกลงกันดีๆ ไม่ได้ ก็เลยถูกเชิญให้มานั่งตกลงกันที่โรงพัก ให้ตำรวจเป็นฝ่ายจัดการ เออ คนเรานี่ก็แปลกนะ บอกให้เลิกดีๆ ให้เลิกไม่ยอมเลิก เดี๋ยวคนโน้นก็จะผิด คนนี้ก็จะไม่ยอม พูดกันดีๆ ไม่ได้ แต่พอมีตำรวจเป็นคนช่วยพูด แถมเสียค่าปรับกันถ้วนหน้าคนละห้าร้อยบาทแค่นั้นล่ะ กลับยอมกันโดยดีซะอย่างนั้น แต่ก็นะ จะจากกันโดยดีมันคงดูเสียฟอร์มนิดหน่อย คนเป็นคู่อริกันเลยต้องฮึมฮำใส่กันอีกสักพัก โดยมียัยตัวเล็กน้องสะใภ้คอยเสียบอยู่ทุกทีที่มีโอกาสอย่างปกป้องเพื่อนเต็มที่ จนตำรวจแถวนั้นต้องหันมาส่งสายตาประมาณว่า ถ้ายังไม่เลิกคงจะโดนมากกว่านี้ ยัยสามคนนั่นจึงยอมต่างคนต่างไปแต่โดยดี “พี่ภีม” และทันทีที่เจ้าของร่างสูงหน้าตาคล้ายๆ ภัทรพลเดินขึ้นมาบนโรงพัก ยัยน้องสะใภ้ตัวแสบก็รีบพาขาสั้นๆ ของตัวเองเดินเข้าไปเกาะแขนคนตัวโตด้วยท่าทางประจบเอาใจอย่างรู้หน้าที่ แล้วก็ต้องเปลี่ยนเป็นยิ้มเจื่อนลงโดยทันที เมื่อประเมินสถานการณ์เบื้องต้นแล้ว แววตานิ่งๆ ที่ส่งมา ดูเหมือนอีกฝ่ายจะ‘ไม่เล่นด้วย’ “แหะๆ ขอโทษค่ะ” เมื่อไม่เล่นด้วย ก็เลยต้องยอมสารภาพเสียงจ๋อยแต่โดยดี แววตาที่ผลุบๆ โผล่ๆ ขึ้นลงระหว่างคนตรงหน้ากับพื้น แต่ดูเหมือนมองไปมองมาแล้วพื้นโรงพักน่าจะน่ามองกว่า แอบชำเลืองขึ้นไปมองคนข้างๆ อีกครั้งก็ยังทำหน้านิ่งเหมือนเดิม เห็นแล้วก็ใจฝ่อ เท่านั้นยังไม่พอ แถมด้วยการถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่อีกต่างหาก อึ้ย น่ากลัว ทางด้านภีมภัทร หลังจากได้รับโทรศัพท์จากพี่ชายว่า ‘ให้มารับเมียตัวเองได้ที่โรงพัก’แทนที่จะเป็นร้านอาหารที่ยัยตัวเล็กนัดเขาไว้ซะดิบดีตั้งแต่เมื่อวาน ตอนแรกก็ตกใจอยู่ไม่น้อย สืบสาวราวเรื่องต่อไป ก็ไม่ได้ความอะไรมากไปกว่า เธอกับเพื่อนไปทะเลาะกับใครสักคนในร้านอาหาร ตกลงกันไม่ได้ จนต้องพากันมาเคลียร์ถึงที่นี่ ดวงตาคมเหลือบไปมองคนที่ก้มๆ เงยๆ อยู่ข้างๆ อีกนิดหน่อย ก่อนเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “มันเรื่องอะไรกัน มีเหตุผลที่ดีพอหรือเปล่า” คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมามองอย่างไม่รู้จะตอบว่าอย่างไร ตัวเธอเองก็ไม่ได้รู้อะไรมากมายไปกว่า มีใครก็ไม่รู้กำลังจะมาทำร้ายเพื่อน และเธอก็เป็นเดือดเป็นร้อนแทนยัยแพนด้าไปโดยอัตโนมัติ แม้จะไม่รู้ว่าต้นเหตุมันมาจากเรื่องอะไรก็ตาม บอกพี่ภีมไปว่ามันคือเหตุผลที่ต้องเข้าข้างเพื่อน มันจะพอฟังขึ้นไหมนะ นริศรากำลังคิดด้วยหน้าจ๋อยๆ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรออกมา เสียงของใครอีกคนก็ดังขึ้นมาซะก่อน “อย่าไปดุเกดเลยค่ะพี่ภีม ที่เพื่อนทำไปทั้งหมด ก็เพราะยุ้ยเอง” เธอหยุดพูดไปนิดหนึ่ง ริมฝีปากบางเม้มสนิทจนเป็นเส้นตรง เผลอกัดมันลงไปจนรับรู้กลิ่นคาวเลือดของตัวเอง หันไปมองเพื่อนรักอีกที ก่อนตัดสินใจพูดออกไป “ยัยนั่น…หมายถึงผู้หญิงคนนั้น เป็นลูกติดของเมียน้อยพ่อ ไม่ถูกกันมาตั้งแต่เด็กๆ พอเจอกันอีกทีมันก็เป็นอย่างนี้แหละค่ะ” เธอกัดฟันพูดออกไป ฝืนกลืนก้อนสะอึกที่มันทะลักขึ้นมาจนแทบกลั้นไม่อยู่ลงคอไปอย่างยากเย็น เลือกที่จะหยุดทุกอย่างไว้แค่นั้น บางทีมันก็บอบบางเกินไปในความรู้สึก และคำพูดที่เอ่ยออกมาจากปากลลนานั้น ก็ส่งผลให้ความเงียบเข้าครอบงำ แต่ละคนต่างตกอยู่ในอารมณ์ที่ต่างกัน ภัทรพลบอกตามตรงว่ามึนไปไม่น้อย ยัยเปี๊ยกที่ดูเริงร่าต่อปากต่อคำกันเป็นประจำ เกิดมีเรื่องให้น้ำตาคลอเบ้าขึ้นมาซะอย่างนั้น แม้จะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัวหรือสนิทสนมมากมายจนคุยกันได้ทุกเรื่อง เพราะเจอหน้ากันทีไรก็เอาแต่ตั้งท่าเขม่นคุมเชิงกันทุกที แต่รวมๆ แล้วเกือบสี่ปีที่ยัยเปี๊ยกนี้มาปรากฏตัวให้รู้จักพร้อมกับยัยหนูนริศรา ก็ไม่มีร่องรอยของคนมีปมขนาดนี้ปรากฏให้เห็นเหมือนกัน ด้านภีมภัทรเองก็ตกใจอยู่เหมือนกัน เพื่อนภรรยาคนนี้เขาก็รักไม่ต่างจากน้องสาว เธอมีรอยยิ้มสดใสให้กับทุกคนตลอดเวลา โลกของเธอก็สดใสดูเป็นปกติดี ไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ยิ่งนริศรา ในฐานะเพื่อนสนิท ยิ่งตกใจขึ้นไปกันใหญ่ ตั้งแต่รู้จักกันมาเกือบสิบปี ลลนาก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้ให้ได้ยินเลยสักครั้ง ครอบครัวของเพื่อนก็ดูปกติดี ตัวเพื่อนเธอเองก็ไม่เคยเกริ่นเรื่องอะไรทำนองนี้เป็นเชิงปรึกษา แต่เธอก็ไม่โกรธหรอก เพราะทุกคนล้วนแต่มีเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป มือบางของคนตัวเล็กเผลอไปเกาะกุมคนตัวโตข้างๆ ไว้โดยอัตโนมัติ เมื่อหันไปมองแล้วรับรู้ถึงแววตาอันเจ็บปวดของคนเป็นเพื่อน เพื่อนของเธอคงเจ็บเกินไป คงบอบช้ำไม่น้อยที่ถูกรื้อฟื้นความทรงจำนั้นขึ้นมาอีกที มือเล็กที่บีบลงมาแน่นจนอีกฝ่ายรู้สึกได้จนต้องหันกลับไปมอง เรียกให้มือหนาเอื้อมไปเช็ดน้ำตาที่เริ่มไหลเอ่ออยู่แถวๆ หางตาของภรรยาตัวเล็ก “เกด โอเคนะ” เสียงอ่อนโยนถามขึ้น เมื่อเห็นอีกคนพยักหน้ารับ คุณหมอหนุ่มจึงกล่าวต่อไป ในสิ่งที่คิดว่าคงตรงกับใจเธอตอนนี้เหมือนกัน “คืนนี้ไปค้างกับเพื่อนก็ได้นะคะ” เสียงนุ่มยังคงกล่าวออกมาเรื่อยๆ และเธอก็กำลังจะตอบตกลง ถ้าบุคคลที่สามในประเด็นการสนทนาไม่ขัดขึ้นเสียก่อน “เฮ้ย ไม่เป็นไรเกด กลับบ้านไปเถอะ ฉันอยู่คนเดียวได้” เสียงใสพูดออกมา พยายามฝืนยิ้มสดใสเต็มที่ พลางเดินเข้าไปกอดเพื่อนรัก “ขอบใจแกมากจริงๆ แกเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด” คนพูดกัดฟันแน่น พยายามกลั้นก้อนสะอื้นที่กำลังตีขึ้นมา “ไม่ต้องห่วงฉันนะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก” มันเป็นคำพูดธรรมดาๆ ที่ฟังกี่ทีก็รู้สึกดีไม่เปลี่ยน และนริศราก็กำลังจะซึ้งใจอยู่แล้วเชียว ถ้ามันไม่ต่อด้วยคำพูดที่ทำให้เธอถึงกับหน้าซับสีเลือดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “มีการบ้านต้องทำไม่ใช่เหรอแก ถ้าส่งการบ้านช้า ระวัง…” มันหยุดคำพูดไว้แค่นั้น แล้วส่งสายตาวิบวับกลับมาให้ ตาแดงๆ เมื่อกี้มันหายไปไหนหมดแล้วล่ะ อึ้ย อายนะ ไอ้แพนด้าบ้า นริศราหน้าแดงจัดขึ้นมาทันที ผละออกมาจากอ้อมกอดของเพื่อนรักราวกับมันเป็นของร้อน ไม่พอยังเขวี้ยงค้อนกลับไปให้อีกวงหนึ่ง ถ้าล้อกันได้ขนาดนี้ ฉันเชื่อแล้วแหละว่าแกไม่เป็นอะไรมากจริงๆ ก็ดูซิ พอวกกลับมาเรื่องนี้ทีไรก็อายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี เป็นเพื่อนภาษาอะไร วันๆ ก็วนเวียนเฝ้าแต่ถามถึงเรื่อง...เอ่อ...เรื่องพรรค์นั้นมันอยู่นั่นล่ะ อยากรู้ก็แต่งงานเองเลยสิยะ จะรอเล่าเฝ้าแต่ถามให้คนเขาอายหน้าดำหน้าแดงไปทำไม คนเขาก็เขินเป็นเหมือนกัน เฮ้อ อยู่กับมันต่อไปไม่ได้แล้วล่ะ เพราะตั้งแต่แต่งงานกับพี่ภีมมาไม่กี่อาทิตย์ โดนมันซักฟอกซะละเอียดถี่ถ้วนกันไปหมด ยัยเกดอยากจะบ้า อยู่ต่อไปไม่ได้แล้วจริงๆ “พี่ภัทร” เสียงใสอย่างน้องเล็กที่แสนเอาแต่ใจดังขึ้นคนถูกเรียกที่ยืนนิ่งฟังสถานการณ์มานานทำเพียงเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ปรับสภาพอารมณ์ตามไม่ทันเหมือนกัน เห็นซึ้งกันอยู่ดีๆ ทำไมตอนนี้แหวใส่กันได้ซะอย่างนั้น “เอาแพนด้ามาใช่ไหม เอากลับไปส่งด้วยแล้วกัน” เธอเชิดหน้าใส่เพื่อนรักพลางหันไปบอกภัทรพล เห็นอีกฝ่ายทำหน้าเหลอหลานิดหน่อย แต่ก็ยอมพยักหน้ารับแต่โดยดี จึงหันไปตัดบทกับเพื่อนรักต่อ “ไปก่อนนะยัยแพนด้า ไม่ได้เอารถมาใช่ไหม งั้นกลับกับพี่ภัทรไปละกัน เผอิญฉันต้องกลับไป‘ทำการบ้าน’ กับพี่ภีม” ตอนแรกที่พูดก็สะใจดีอยู่หรอก พอรู้มาอยู่บ้างแหละว่าสองคนนี้ไม่ค่อยกินเส้นกัน หนักๆ เข้าถึงขนาดจิกกัดกันเลือดสาดมาบ้างก็หลายหน ส่งไปอยู่กับศัตรูเพื่อแก้แค้นแบบนี้ มันก็เข้าท่าดีเหมือนกันนะ ยัยแพนด้าบ้านริศรากระหยิ่มยิ้มย่องคิดเริงร่าอยู่ในใจ แต่พอหันกลับไปมองหน้าแต่ละคนรอบข้างนี่สิ ทำให้เธอต้องหุบยิ้มแทบไม่ทัน ทำไมแต่ละคนแอบยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กันอย่างนั้นล่ะ ยัยแพนด้ายิ้มจนหน้าบานจะหุบไม่ได้อยู่แล้ว พี่ภัทรที่ทำเป็นลอยหน้าลอยตาเหมือนไม่สนใจแต่ก็ยังอมยิ้มไม่หยุดเหมือนกัน อึ้ย ยิ่งพี่ภีมยิ่งแล้วใหญ่ ยิ้มไม่พอ ส่งสายตาวิบวับกลับมาเชียว อะไรมาดลจิตดลใจให้เธอใจกล้าพูดออกไปอย่างนั้นนะ คิดไปก็หน้าร้อนผ่าวไป อยู่ตรงนี้ไม่ได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ มือบางของนริศรารีบคว้าเอามือหนาของคนข้างๆ หันหลังเดินออกไปทันที ทิ้งเอาไว้ก็แค่คนสองคนที่ไม่ค่อยจะถูกกัน รอยยิ้มบางๆ ค่อยๆ จางลง หันกลับมามองหน้ากันนิดหน่อย เฮ้อ แล้วจะทำยังไงกันต่อไปดีล่ะทีนี้
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม