หรือพระพรหมจะลิขิต (30%)

1956 คำ
ความเดิมเมื่อตอนห้าปีที่แล้ว เมื่อมาร์โคและบุปผชาติ ดิมิเทียส เจ้าบ่าวและเจ้าสาวที่มาพูดคุยทักทายกับเธอเมื่อสักครู่ได้จากไปแล้ว มณีญาก็ก้มลงมองดอกไม้ช่อสวยในมือ ที่ตัวเองได้มาครอบครองด้วยความบังเอิญหรือสวรรค์บันดาลก็มิอาจทราบได้ พร้อมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ถึงจะได้ดอกไม้ก็ใช่ว่าจะได้แต่งงานเสมอไป เพราะตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยมีผู้ชายคนไหนมาจีบสาวเชยแบบเธอเลย บางทีพระเจ้าอาจจะจงใจให้เธอเกิดมาอย่างเดียวดายไร้คู่ก็เป็นได้ เพราะท่านได้ประทานพรในเรื่องสติปัญญาอันล้ำเลิศเหนือผู้อื่นมาให้เธอแล้ว เท่านั้นก็น่าจะเกินพอ  มาร์เวลเห็นยัยตัวดีถือช่อดอกไม้ยืนเก้ออยู่คนเดียว ก็เกิดอาการคันปากอยากตอแยกับเธอขึ้นมาซะเฉยๆ ร่างผึ่งผายสาวเท้าเข้ามายืนประจัญหน้ากับมณีญาทันที เขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากจะเข้ามาเห็นหน้าเธอให้ชัดๆ อยากรู้ว่าเมื่อเธอแต่งชุดราตรีในแบบผู้หญิงแล้วจะเป็นยังไง จะยังเป็นยัยเชยอยู่อีกไหม แต่พอได้มาดูใกล้ๆ กลับทำให้หัวใจดวงแกร่งกระตุกไหวโดยไม่ทราบสาเหตุ  ชุดที่เธอสวมใส่ในวันนี้ ทำให้มณีญาสลัดคราบความเชยออกไปจนหมดสิ้น จะเหลือก็แต่เพียงสาวน้อยนัยน์ตาแป๋วแหวว ผิวขาวราวเกล็ดหิมะ หน้าตาจิ้มลิ้มพริ้มเพรา แต่มันก็ยังไม่ใช่สเปกของเขาอยู่ดี เพราะเขาไม่ชอบเด็กไม่ประสา บอกตรงๆ ว่ามาเฟียอย่างเขาขี้เกียจต้องมาสอนลีลารัก   “เพื่อนเธอก็ดูอ่อนหวานเป็นกุลสตรีดีนะ แต่ทำไมเธอถึงได้ขวานผ่าซาก กระโดกกระเดก แตกต่างกับน้องสะใภ้ของฉันราวฟ้ากับเหว แถมหน้าตายังบ้านๆ ได้อีก” มาถึงก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กระแนะกระแหนมณีญาซะยืดยาว เล่นเอาคนที่ยืนอยู่เพียงลำพังถึงกับหน้าชาราวกับโดนตบฉาดใหญ่ ก่อนจะหันขวับกลับไปมองเจ้าของคำพูดโสมมที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ทางด้านหลัง เมื่อเห็นว่าเป็นใครเธอถึงกับเกิดอาการปรี๊ดแตก  “แหม…ปากดีแบบนี้ ระวังจะโดนขวานจามปากนะคะคุณมาเฟีย” ยิ้มหวานแบบเคลือบยาพิษส่งไปให้ชายหนุ่ม สำบัดสำนวนเอาคำที่เขาด่าเธอมาตอกกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ยอมได้ไงในเมื่อเธออยู่ของเธอดีๆ เขายังเข้ามากวนอารมณ์เธอได้อีก ไอ้มาเฟียบ้า! ไม่มีอะไรจะทำแล้วหรือไงกันถึงได้มาตามตอแยเธออยู่ได้ มณีญาคิดอย่างหงุดหงิด  “อย่างเธอ…ถึงจะรับช่อดอกไม้จากเจ้าสาวได้ ก็คงไม่มีใครเอา คงไม่ได้แต่งหรอกงานชาตินี้ เพราะไม่มีใครอยากได้ยัยเชยมาประดับบ้าน พวกโบราณวัตถุก็ต้องอยู่ในพิพิธพัณฑ์สิมันถึงจะถูก จริงไหมยัยเชย หึๆ…”  มาร์เวลจงใจเว้นระยะคำพูด ใช้สายตาคมปราดมองตั้งแต่หัวจรดเท้าของมณีญาอย่างจงใจ แล้วก็ต้องส่ายหน้าทำเสียงจิ๊จ๊ะด้วยความไม่พอใจ ที่รูปร่างของเธอแทบจะดูไม่ได้ ไม่วายพูดจาดูถูกสาวเจ้าด้วยน้ำเสียงขบขันแกมประชดประชัน ท่าทางของเขามันทำให้เธอเลือดขึ้นหน้าอย่างแรง อยากต่อยให้คนปากดีกลายเป็นปากแตกแทนนัก “ถึงฉันจะได้แต่งหรือไม่ได้แต่ง มันก็เป็นเรื่องของฉัน ไม่เห็นว่ามันจะหนักหัวใคร หรือมันหนักหัวคุณมาก ถ้าทนไม่ไหวก็ควรจะไปตัดมันออกซะนะ อ๋อ…แล้วก็ ถึงฉันจะแต่งงาน ผู้ชายคนที่จะมาเป็นเจ้าบ่าวก็ไม่ใช่คุณอย่างแน่นอน ไม่ต้องห่วงคุณมาเฟียหัวแดง” เสียงแข็งลอดไรฟัน โต้ตอบอย่างไม่หวั่นเกรงมาเฟียเช่นเขาแม้แต่น้อย แถมยังมองชายหนุ่มด้วยท่าทางรังเกียจอย่างออกนอกหน้า จนมาร์เวลเกิดความหงุดหงิดในหัวใจ “ปากดีนักนะ ฉันเคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าเธอกล้าด่าฉันอีกเธอจะเจอกับอะไร หรือติดใจรสจูบของฉัน จะได้สงเคราะห์ให้ จะเอาแบบดูดดื่มเลยก็ได้นะคุณเชย” ทั้งที่ตัวเองเป็นคนมาก่อกวนหญิงสาวก่อน แต่พอเธอเอาคืนเขากลับเกิดความไม่พอใจ สาวเท้าเข้าหาร่างบาง แล้วก้มลงกระซิบขู่เสียงเฉียบข้างใบหูน้อย  คำพูดข่มขู่ของเขาทำให้ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นวิ่งเข้าสู่หัวสมองอันเฉียบแหลมของแม่สาวจอมอัจฉริยะ มณีญายังรู้สึกเจ็บใจให้ตัวเองอยู่ไม่หาย หากเธอไม่วู่วามผลีผลามเอาแต่อารมณ์เป็นที่ตั้งในวันที่บุปผชาติหายตัวไป เพราะกลัวว่าเพื่อนรักจะถูกน้องชายของเขาซึ่งก็คือมาร์โค ดิมิเทียส ทำมิดีมิร้าย จนต้องออกโรงไปทวงเพื่อนคืน แต่การเจรจากับมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่ ที่ไม่เคยแยแสในความรู้สึกของใคร มันไม่ง่ายดายขนาดนั้น เมื่อพูดกันอย่างสุภาพชนไม่รู้เรื่อง มณีญาก็ตะโกนด่ามาร์เวลอย่างไม่ไว้หน้าอยู่หน้าคฤหาสน์ดิมิเทียส ต่อหน้าลูกน้องของเขานับสิบชีวิต เขาจึงลงโทษในความปากกล้าของเธอด้วยจุมพิตดุดันชนิดตั้งตัวไม่ทัน นั่นจึงเป็นเหตุให้เธอต้องเสียจูบแรกในชีวิตสาวให้มาเฟียมาดเถื่อนอย่างเขา  ถึงมณีญาจะรู้สึกหวาดกลัวกับคำขู่เมื่อสักครู่ แต่ก็ไม่คิดจะถอย หากอยู่กันเพียงลำพังเธอคงถอยห่างจากเขาไปแล้ว แต่นี่อยู่ต่อหน้าธารกำนัล เธอจึงคิดจะปักหลักสู้สุดใจขาดดิ้น   “ก็เอาซี้…ถ้าคุณกล้าทำอะไรฉัน ฉันก็จะร้องให้ทุกคนได้รู้ว่าคุณลวนลามฉัน ทีนี้แหละคุณมาเฟียเอ๋ย คุณได้เป็นเจ้าบ่าวให้ยัยเชยอย่างฉันแน่ ถึงแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม” ทั้งที่หวาดหวั่นไปกับคำพูดข่มขู่อันจาบจ้วงของชายหนุ่ม แต่เธอก็ยังไม่วายตอกกลับอย่างเท่าทันกัน เสียงสูงปรี๊ดลอยหน้าลอยตาท้าให้เขาทำอย่างที่พูด พร้อมทั้งขู่เขาคืนด้วยรอยยิ้มเป็นต่อ แถมท้ายด้วยการยักคิ้วกวนโอ๊ยไปให้อีกหนึ่งที “เฮอะ…ฝันไปเถอะ อย่างเธอให้ฟรีพร้อมแถมของสมนาคุณ ฉันก็ไม่เอา เพราะไม่รู้จะเอาไปทำอะไร มองตรงไหนก็ไม่เจริญหูเจริญตา แถมปากยังเผ็ดร้อนซะยิ่งกว่าพริก อยู่ใกล้คงแทบขาดใจ ไม่ได้พิศวาสหรอกนะ แค่คิดก็สยองแล้ว” มาร์เวลยิ้มเยาะพร้อมพูดจาดูถูกคนตรงหน้า เขาจงใจกระแนะกระแหนให้เธอได้รับรู้ว่าคนอย่างเธอมันไร้ค่า ร้ายกาจและน่ารังเกียจมากแค่ไหน “แหม…อย่าว่าแต่คุณเลย แค่คิดฉันยังสะอิดสะเอียน ที่จะหลับหูหลับตาเอามาเฟียขี้เต๊ะอย่างคุณมาทำพันธ์ ถึงผู้ชายบนโลกจะเหลือคุณเพียงแค่คนเดียว ฉันก็ไม่คิดจะฆ่าตัวตาย ด้วยการเอาคุณมาร่วมดำรงค์เผ่าพันธ์อย่างแน่นอน ไม่ต้องกลัวไปหรอกค่ะ ถึงฉันจะแต่งตัวเชยแต่ฉันก็มีสมอง รู้จักแยกแยะชั่วดี และแยกออกซะด้วยว่าอันไหนกรวดอันไหนเพชร” มณีญาเอาคืนซะยืดยาว ซึ่งคำพูดแต่ละคำของเธอ ล้วนทำให้มาร์เวลโมโหจนต้องกำหมัดแน่น เขาไม่เคยโดนผู้หญิงคนไหนด่าแบบซึ่งๆ หน้าแบบนี้มาก่อน ผู้หญิงที่เจอเขามีสองประเภทไม่กลัวก็หลงใหล แต่เธอเป็นประเภทที่เขาไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน “ปากดีนักนะ เดี๋ยวเถอะจะเจอดีเข้าสักวัน” มองหญิงสาวด้วยดวงตาขุ่นขวาง โมโหที่เธอกล้ามาพูดจาดูถูกคนอย่างเขา จึงกัดฟันขู่ด้วยใบหน้าถมึงทึงไม่พอใจสุดขีด  “อ๋อ…แน่น๊อน ฉันน่ะปากดี แต่คุณ…นั่นปากหรือส้วมที่เอามาบูรณะเป็นปากทีหลัง” มณีญาเว้นระยะแล้วตอกคำเด็ดเข้าใส่แบบไม่ยั้ง พร้อมทั้งยิ้มเยาะอย่างสะใจ ที่เห็นเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะวลีเด็ดของตนได้ “นี่เธอ!” มาร์เวลตะคอกใส่หน้ามณีญาด้วยความเดือดดาล อยากจะกระชากร่างบางมาสั่งสอนกับความปากดีของเธอนัก จะกระหน่ำจูบปากจัดจ้านนั่นให้หนำใจเลยเชียว หากไม่อยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาไม่ปล่อยเธอไว้แน่ สิ่งที่ชายหนุ่มพอทำได้ตอนนี้ ก็มีแต่กัดฟันกำหมัดแน่น “อะไร แน่จริงพูดให้จบสิ พูดให้จบสิคะคุณมาเฟียผู้ยิ่งหย่าย…” ลอยหน้าลอยตาถามกลับไปอย่างไม่หวั่นเกรงภัยจากชายหนุ่ม  “ฮึ่ย…ยัยเด็กบ้า อย่าให้เจออีกนะ พ่อจะจับปราบพยศให้ร้องไม่ออกเลยเชียว” เขากัดฟันข่มอารมณ์ เค้นเสียงอาฆาตหญิงสาวด้วยดวงตาวาวโรจน์ แล้วสะบัดหน้านิ่งขึงเดินออกไปจากตรงนั้นทันที “อ้าว…พูดแค่นี้ก็ไปซะแล้ว ไม่แน่จริงนี่หว่าคุณมาเฟีย” พอเห็นเขาเดินจากไป มณีญาก็ส่งเสียงยียวนไล่หลังไปกวนประสาทด้วยความสนุกสนาน และสบประมาทเขาเสียงดัง  ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ย่านสาทร  นางวาสนานอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งนี้ได้เกือบสองอาทิตย์แล้ว สาเหตุก็มาจากช็อกที่มียากูซ่ามาบุกถึงบ้าน จนโรคประจำตัวของนางกำเริบ ทั้งเบาหวานที่ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งปรี๊ด ความดันโลหิตที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วไหนจะยังโรคไตเรื้อรังที่ร่ำๆ ว่าจะทรุดหนัก จากคิดว่าคงจะได้นอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลแค่สองวัน จึงลากยาวมาเป็นเกือบสองอาทิตย์  มณีญาขับรถออกมาจากบ้านในตอนสายของวัน พอบึ่งรถมาถึงโรงพยาบาล ด็อกเตอร์สาวจอมอัจฉริยะก็ก้าวลงจากรถด้วยท่าทางระแวดระวัง หันแลซ้ายขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครตาม จึงได้รีบหอบหิ้วตระกร้าอาหารที่นำมาฝากมารดาและบิดาไปยังห้องที่นางวาสนานอนรักษาตัวอยู่ แอ๊ด!!! “พ่อขา แม่ขา มณีมาแล้วค่ะ” เสียงใสแจ๋วดังแว่วมาพร้อมกับเสียงเปิดประตู ทำให้คนป่วยที่กำลังนอนคอยลูกสาวสุดที่รักผงกหัวขึ้นมองที่ประตูด้วยสีหน้าแช่มชื่น “ว่าไงยัยตัวแสบ ส่งเสียงมาแต่ไกลเชียว” ผู้เป็นพ่อเอ่ยทักลูกสาวสุดที่รักด้วยความเอ็นดู ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มณีญาก็ยังทำตัวเป็นเด็กเสมอเมื่ออยู่กับพ่อแม่ ใครจะคิดว่าด็อกเตอร์สาวจอมอัจฉริยะผู้ดูนิ่งๆ จนเรียกได้ว่าเฉยชาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น จะแสนขี้ประจบ เอาใจ ช่างพูด ช่างคุย และที่สำคัญออดอ้อนเก่งเป็นที่หนึ่งเมื่ออยู่กันตามลำพังกับบุพการีทั้งสอง “อรุณสวัสดิ์ค่ะ” เจ้าของใบหน้ากระจ่างใสภายใต้กรอบแว่นหนาเตอะอันใหญ่ ส่งยิ้มหวานหยดทักทายบิดาและมารดา “หวัดดีตอนเช้าจ้ะลูก มากอดกันหน่อยเร็ว แม่คิดถึง” มารดากล่าวทักทายเสียงหวาน ก่อนจะเรียกให้ลูกสาวเดินเข้าไปหาเพื่อตนจะได้ชื่นใจ  “แหม…แม่ลูกคู่นี้ หวานกันได้ตลอดเลยนะ ไม่เจอกันแค่สามวันก็บ่นว่าคิดถึงซะแล้ว” นายภาฤทธิ์แซวสองแม่ลูกด้วยรอยยิ้ม จึงได้รับค้อนงามๆ จากสองสาวคนละวงเป็นการตอบแทน
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม