บ้านอัศวโพคิน ย่านสาทร
ไม่น่าเชื่อว่าในย่านที่ที่ดินแพงหูฉี่ขนาดนี้จะยังมีบ้านไทยทรงโบราณแฝงตัวอยู่ ท่ามกลางบ้านเศรษฐีในละแวกเดียวกัน บ้านอัศวโพคินถูกสร้างขึ้นตามแบบบ้านโบราณในยุคล้านนาตอนต้นซึ่งทำจากไม้พะยูงทั้งหลัง ตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่กว่าสามไร่ มองดูเผินๆ คล้ายกับหมู่บ้านล้านนาขนาดย่อม เพราะทุกอย่างดูสวยงามและคงเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมเก่าแก่สไตล์ล้านนาดั้งเดิม ภายในอาณาบริเวณดูกว้างขวาง ร่มรื่นน่าอยู่ และอบอวลไปด้วยมวลดอกไม้นานาพันธ์ การวางผังของบ้านก็เป็นสัดเป็นส่วนชัดเจน
เนื่องจากตระกูลอัศวโพคินเป็นตระกูลผู้ดีเก่า บรรพบุรุษหลายต่อหลายชั่วอายุคนเข้ารับราชการในราชสำนัก เป็นขุนนางชั้นสูงก็หลายคน แต่เส้นทางสายข้าราชการของตระกูลอัศวโพคินก็มีอันต้องสิ้นสุดลงที่รุ่นปู่ของมณีญา เนื่องจากคุณปู่ของเธอ นายภาคภูมิ อัศวโพคิน ได้มีโอกาสไปศึกษาและใช้ชีวิตในอังกฤษ ทำให้โลกทัศน์ของท่านดูจะกว้างขวางกว่าพี่น้องคนอื่นๆ กลายเป็นคนหัวสมัยใหม่ ไม่คิดจะยึดติดกับหน้าที่การงานอันมั่นคงเช่นอาชีพข้าราชการ
นายภาคภูมิมีความสนใจเกี่ยวกับการทำเครื่องหนัง จึงพยายามศึกษาหาความรู้ เมื่อสำเร็จการศึกษาด้านการดีไซน์และพัฒนาผลิตภัณฑ์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำของอังกฤษ เขาก็กลับมาเปิดกิจการทำเครื่องหนังเล็กๆ เป็นของตัวเองโดยแรกเริ่มเดิมทีจะทำกระเป๋าหนังจระเข้และหนังปลากระเบนจำหน่าย
จากความสามารถในเรื่องของการดีไซน์ ประกอบกับการขวนขวายเรียนรู้ของนายภาคภูมิ ทำให้ทุกอย่างไปได้สวย จากกิจการเล็กๆ ก็ขยายออกไปเรื่อยๆ สินค้าภายใต้ชื่อที่นายภาคภูมิสร้างสรรค์ขึ้น เป็นที่รู้จักในแวดวงของผู้ที่ชื่นชอบเครื่องหนัง หลังจากนั้นเพียงสามปี เขาก็เปิดบริษัทเป็นของตัวเอง มีโรงงานตัดเย็บในเครือมากมาย มีพนักงานในปกครองหลายพันชีวิต สินค้าส่วนใหญ่ที่ผลิตออกมาจะถูกนำไปวางขายในห้างสรรพสินค้าชั้นนำในแถบยุโรปและอเมริกาแทบทั้งสิน
เมื่อปู่ของเธอแก่ชราจนคิดว่าตัวเองจะไม่สามารถดูแลกิจการต่อไปได้ ท่านก็เรียกตัวภาฤทธิ์ อัศวโพคิน บิดาของเธอที่ทำไร่อยู่ในจังหวัดนครราชสีมากับมารดาของเธอกลับไปสานต่อกิจการ สอนให้เรียนรู้งานทุกอย่างจากท่าน จนเมื่อท่านจากไปอย่างสงบ บิดาของเธอก็ได้ขึ้นนั่งแท่นผู้บริหารแทนปู่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ถึงแม้จะเป็นมือใหม่ภาฤทธิ์ก็ไม่ทำให้ทุกคนในตระกูลอัศวโพคินผิดหวัง แถมยังทำมันได้ดีแทบไม่มีที่ติ เหตุก็เพราะว่าได้ทั้งกำลังใจและความช่วยเหลือจากมารดาของเธอ ซึ่งอดีตเคยเป็นลูกสาวเจ้าของกิจการทำเครื่องหนังเล็กๆ จากความรู้ที่นางวาสนาได้รับการถ่ายทอดมาจากบุพการีทำให้เอื้อต่องานของสามีได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ความรักมักมีอุปสรรค์ ทำให้แม่กับพ่อของเธอต้องหย่าขาดจากกัน แม่จากไปทั้งที่เธอยังอยู่ในครรภ์
ด้วยเหตุนี้มณีญาจึงไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับประเทศไทยเลย รู้เพียงจากการบอกเล่าของแม่ว่าพ่อพบรักกับแม่ตอนเรียนปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง สาวน้อยนัยน์ตาหวานซึ้งนามว่าวาสนา การะเกด สามารถทำให้หนุ่มเพลย์บอยผู้มากรักอย่างภาฤทธิ์ อัศวโพคิน ต้องยอมสยบอยู่แทบเท้า หลังจากที่ทั้งสองคบหาดูใจกันเป็นเวลากว่าสองปี ก็ตัดสินใจแต่งงานและใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน โดยพร้อมใจย้ายมาทำไร่ในแถบเขาใหญ่ เพราะต่างก็ไม่ชอบความวุ่นวายในเมืองเหมือนๆ กัน
ปัจจุบันมณีญาย้ายจากเกาหลีมาอยู่ที่ประเทศไทยเป็นการถาวรได้ห้าปีแล้ว หลังจากรู้ความจริงว่าตนไม่ใช่เลือดผสมแต่เป็นไทยแท้ ซึ่งความเข้าใจผิดเป็นเหตุให้พ่อกับแม่ต้องพลัดพรากจากกัน แม่หอบเธอหนีไปอาศัยอยู่ที่เกาหลีกับพ่อบุญธรรมนานกว่ายี่สิบปี หลังจากพ่อบุญธรรมจากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อห้าปีก่อน พ่อของเธอก็ออกตามหาแม่จนเจอ หลังจากนั้นก็พยายามงอนง้อขอคืนดี จนในที่สุดก็ประสบความสำเร็จ และตอนนี้พวกท่านทั้งสองก็เข้าใจกันดี กลับมาใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน จดทะเบียนสมรสใหม่อีกครั้ง ทำให้เธอต้องเปลี่ยนมาใช้นามสกุลอัศวโพคินตามพ่อแท้ๆ จวบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
เมื่อไม่นานมานี้พ่อของมณีญาก็ได้เปิดกิจการใหม่ในเครืออัศวโพคิน ซึ่งก็เป็นการทำกระเป๋าเหมือนกันแต่จะไม่ใช้หนังจระเข้และหนังปลากระเบนอย่างที่แล้วมา หันมาใช้เส้นใยธรรมชาติแทน เพราะในปัจจุบันคนหันมาให้ความสำคัญและใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ทำให้นายภาฤทธิ์ต้องหาสินค้าเอาใจคนรักษ์โลก เพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ส่วนแบ่งทางการตลาด อีกอย่างสินค้าประเภทนี้ก็สามารถบุกตลาดไฮเอนด์ได้เป็นอย่างดี เพราะไฮโซผู้ดีมีเงินส่วนมากมักจะทำตัวไปตามกระแส เห่อเหมือนเป็นแฟชั่น แต่ใช่ว่ากิจการกระเป๋าหนังจะซบเซาแต่อย่างใด สินค้าเกรดเอ คุณภาพเยี่ยม การันตีด้วยแบรนด์ที่มีชื่อเสียงมาช้านาน ยังไงมันก็ขายตัวมันเองได้อยู่แล้ว
หลังจากที่มณีญาสาละวนนำอาหารที่เพิ่งทำเมื่อเช้าจัดลงในตะกร้าเพื่อนำไปเยี่ยมมารดาของเธอที่นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ร่างบางก็มาหยุดยืนคว้างอยู่กลางห้องโถงของบ้าน นัยน์ตาหวานเฝ้ามองไปรอบๆ ด้วยความอาลัยอาวรณ์ กวาดสายตาไปทั่วบริเวณเหมือนจะเก็บรายละเอียดบรรยากาศภายในให้บันทึกตราตรึงในสมองไม่รู้ลืม เธอแสนจะผูกพันธ์กับบ้านหลังนี้ แม้จะย้ายเข้ามาอยู่ได้เพียงห้าปี แต่มันคือห้าปีที่แสนอบอุ่น เพราะได้รับการเติมเต็มด้วยไอรักจากทั้งบิดาและมารดา
“ต้องจากบ้านอีกแล้วสินะ” น้ำเสียงผาดแผ่วรำพันกับตัวเองเบาๆ
“เฮ้อ…มณีเอ๋ย ทีนี้ชีวิตแกก็แขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้วจริงๆ” เจ้าของร่างบางถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ มันไม่ใช่กริยาที่แสดงออกถึงความโล่งใจ แต่เป็นเพราะต้องการระบายความหนักอึ้งในหัวอกจนแทบมอดไหม้ ให้บรรเทาเบาบางลงบ้างก็เท่านั้น
ตั้งแต่หมดสัญญาที่มีระยะเวลาสองปีกับบริษัท Professional Enterprise and Development องค์กรชั้นนำของฝรั่งเศส ที่เธอถูกซื้อตัวไปทำงานในทีมเดียวกันกับเพื่อนซี้อย่างบุปผชาติ มณีญาก็คิดว่าจะย้ายกลับมาอยู่กับพ่อและแม่ที่ประเทศไทยเป็นการถาวร ดังนั้นตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมาเธอจึงเรียนรู้งานจากผู้เป็นพ่อจนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง หนักเอาเบาสู้ ไม่เคยบ่นสักคำ สาวน้อยจอมอัจฉริยะช่วยสานต่อธุรกิจของครอบครัว งานหลักๆ ที่เธอรับผิดชอบคือไลน์การผลิตใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อสามเดือนที่แล้ว เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระให้ผู้เป็นพ่อที่แก่ตัวลงทุกขณะ
นายภาฤทธิ์ไม่เคยคาดหวังว่าจะให้ลูกสาวเพียงคนเดียวมารับช่วงกิจการต่อจากตน เพราะคิดว่าตัวเองยังพอมีกำลังวังชาที่จะบริหารงานอยู่ อีกอย่างหากวันใดที่เขาไม่มีแรงพอจะทำงานที่ตัวเองรักแล้ว ก็จะวางมือให้พี่น้องคนอื่นดูแลต่อ ส่วนเขาก็หันมาใช้บั้นปลายชีวิตกับภรรยาสุดที่รัก กินเงินปันผลจากหุ้นของบริษัท
ส่วนมณีญาหากเธอคิดจะเอาดีทางด้านงานวิจัย เป็นนักวิทยาศาสตร์หรือวิศวกร ผู้เป็นพ่อและแม่ก็ไม่คิดจะ ขัดข้องลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนอยู่แล้ว อะไรที่เป็นความปรารถนาและความฝันของลูกสาว นายภาฤทธิ์และนางวาสนาก็พร้อมที่จะสนับสนุนเต็มที่ แต่สุดท้ายทรัพย์สมบัติทุกอย่างที่สองสามีภรรยาได้ร่วมกันสร้างมา ก็ต้องตกเป็นของมณีญาผู้เป็นทายาทแต่เพียงคนเดียวอยู่ดี
จากที่คิดว่าจะไม่กลับไปฝรั่งเศสอีกแล้ว ทุกอย่างกลับตาลปัตร เมื่อโชคชะตาได้เล่นตลกกับมณีญาเข้าอย่างจัง เธอกับครอบครัวโดนพวกยากูซ่าคุกคาม สิ่งที่กำลังเผชิญอยู่มันดูหนักหนาสาหัสพอตัว โดยเฉพาะพ่อและแม่ของเธอ ชีวิตอันสงบสุขของพวกท่านกลับต้องมาปั่นป่วน ดูเหมือนว่าหากแก๊งยากูซ่ายังไม่ได้ตามที่ต้องการ มันก็ยังจะตามจองล้างจองผลาญเธออยู่อย่างนี้
แค่เพียงไพล่คิดไปถึงหน้าลูกชายยากูซ่าที่อยากได้เธอไปเป็นเมีย มณีญาก็อยากจะกลั้นใจตายสักวันละหลายๆ รอบ เธอไม่ได้สวย เซ็กซี่หรือโดดเด่นอะไร เทียบไม่ได้กับพวกดารานางแบบที่เคยมีข่าวควงกับมาซากิ แล้วทำไมไอ้หน้าเหลี่ยมนั่นถึงอยากได้เธอกันนะ ยิ่งคิดมณีญายิ่งสงสัยเหลือประมาณ
แต่สิ่งที่ทำให้มณีญาทั้งเครียดและโมโหในเวลาเดียวกัน คือไอ้พวกบ้านั่นบังอาจมาข่มขู่พ่อและแม่ของเธอถึงที่บ้าน จนนางวาสนาช็อกหมดสติ ต้องหามส่งโรงพยาบาลในค่ำวันหนึ่ง ถึงแม้ตระกูลอัศวโพคินจะเป็นผู้ดีเก่า มีผู้คนมากมายนับหน้าถือตาและยำเกรง แต่บุญบารมีเหล่านั้นกลับไม่ทำให้พวกยากูซ่าเกรงกลัวเลยสักนิด อย่างว่าล่ะนะยากูซ่าคือพวกไม่มีลัทธิ เป็นอันธพาล นักเลง ค้ายาเสพติดและสิ่งผิดกฎหมาย ทำตัวไม่ต่างจากพวกกุ๊ยข้างถนน
ในเมื่อพวกยากูซ่ายังตามรังควานเธอไม่เลิก ทางเดียวที่จะทำให้มณีญาหลุดพ้นจากวงจรอุบาทนี่ไปได้ ก็คือการสมัครเข้าไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ในองค์การนาซ่า เพราะข้อมูลทุกอย่างของเธอจะถูกเก็บเป็นความลับสุดยอด ไม่ว่าเรื่องใดก็จะไม่ถูกแพร่งพรายหรือเปิดเผย หากเป็นความต้องการของนักวิทยาศาสตร์ท่านนั้น บางทีเธออาจจะสมัครขึ้นยานไปสำรวจดาวอังคารในรอบสองก็เป็นได้ พวกบ้านั่นจะได้ตามตัวเธอไม่เจอไปตลอดปีตลอดชาติ หากมันอยากจะตามมารังควานเธอมีทางเดียวที่มันจะทำได้คือสร้างยานอวกาศไปดาวอังคาร
มณีญาตั้งใจว่าจะไปขอหลบลี้หนีภัยกับบุปผชาติและสามีที่ฝรั่งเศสเป็นการชั่วคราว ระหว่างรอการตอบรับเข้าทำงานจากองค์การนาซ่า แต่ถ้าหากเธอพลาดโอกาสในครั้งนี้ มณีญาก็คงต้องสมัครเข้าทำงานในสถาบันวิจัยแห่งชาติของรัฐบาลฝรั่งเศสในฐานะนักวิทยาศาสตร์ เพราะอย่างน้อยการทำงานในองค์กรระดับสูงของประเทศ ก็ยังพอเป็นเกราะคุ้มภัยจากพวกยากูซ่าได้บ้างไม่มากก็น้อย
แต่หากสุดท้ายแล้วยังไม่อาจหลุดพ้นไปจากเรื่องบ้าบอคอแตกที่กำลังเผชิญอยู่นี้ได้ เธอก็คงต้องบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากมาเฟียปากเสียผู้ยิ่งใหญ่แห่งฝรั่งเศสอย่างมาร์เวล ดิมิเทียส เพราะอำนาจของมาเฟียเท่านั้นที่จะสามารถคะคานยากูซ่าให้ไม่กล้าทำอะไรเธอ ซึ่งวิธีหลังนี้ใครๆ ต่างก็สนับสนุนกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นบุปผชาติ มาร์โค หรือแม้กระทั่งบิดาของเธอเอง
แต่สำหรับมณีญาแล้วหากไม่ถึงที่สุดของที่สุด อย่าหวังเลยว่าคนอย่างเธอจะบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากไอ้มาเฟียขี้เต๊ะ ปากเสีย ไอ้คนเถื่อนที่ปล้นเอาจูบแรกของเธอไปอย่างหยาบคาย ไม่มีทาง! แค่คิดถึงคำพูดและการกระทำของเขา เมื่อคราวที่ทั้งสองปะทะคารมกันในงานแต่งของบุปผชาติและมาร์โค มันก็ทำให้เธอปรี๊ดแตกจนอยากจะตะบันหน้ากวนโอ๊ยนั่นให้หงายเงิบสักที
ห้าปีแล้วที่เธอไม่ได้พบหน้าคู่อริปากร้ายอย่างเขา มณีญาไม่ได้ติดตามข่าวคราวของเขาเลย ถึงแม้ส่วนตัวหญิงสาวจะคลั่งไคล้และชอบอ่านข่าวซุบซิบของคนหล่อทั่วทุกสารทิศ แต่เธอก็ไม่เคยสนใจเรื่องราวของมาเฟียผู้ยิ่งใหญ่อย่างมาร์เวล ดิมิเทียส ปากบอกไม่สนใจแต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้น กลับยังตราตรึงในความทรงจำราวกับจะไม่มีวันลบเลือน ทั้งที่หลังจากวันนั้นเส้นทางชีวิตของทั้งสองก็ไม่เคยมาบรรจบ แต่เธอก็ยังจดจำใบหน้าดุดันและท่าทางที่พยายามข่มกลั้นอารมณ์ไม่ให้หลุดขย้ำเธอได้เป็นอย่างดี
“ห้าปีแล้วสินะที่เราไม่ได้พบกัน ตอนนี้คุณจะเป็นยังไงบ้างนะ คงจะแก่ขึ้นเป็นกองและหน้าคงจะเหี่ยวไปเยอะ เพราะวันๆ ชอบแต่ตีหน้ายักษ์ใส่คนอื่น” มณีญาพึมพำกับตัวเองเบาๆ คิ้วเรียวของยัยเชยที่มีความสวยหลบในขมวดมุ่น แล้วจินตนาการถึงมาเฟียหนุ่มในสภาพหน้าเหี่ยวด้วยความซุกซน
“หวังว่าโชคชะตาคงจะไม่เล่นตลก ส่งฉันไปอยู่ในอุ้งมือคุณหรอกนะคุณมาเฟีย” มณีญารำพึงรำพันกับตัวเองด้วยความหวาดหวั่น เพียงแค่คิดถึงเขาเธอก็รู้สึกหัวใจกระตุกวาบโดยไม่ทราบสาเหตุ