รถยนต์คันหรูของอาจารย์สาวจอดลงยังช่องจอดรถของคอนโด พิมฐาจัดการดับรถและเช็คความเรียบร้อยของรถทุกครั้งก่อนที่เธอจะทำการลงจากตัวรถ ซึ่งหลังจากที่เธอลงจากรถและล็อกรถจนเรียบร้อยแล้ว ร่างของเธอก็เดินบนรองเท้าส้นสูงไปตามเส้นทางเดินเข้าไปยังตึกเพื่อพักผ่อนในช่วงเย็นของวันที่เธอกลับมาจากการสอน
ทุกจังหวะการก้าวเดินของอาจารย์สาวมักจะเรียกสายตาให้กับผู้อื่นได้อยู่เสมอ ท่วงท่าที่สง่างามรับกับใบหน้าคมสวยฉบับสาวไทยแท้ แต่สาวเจ้าผู้เป็นเจ้าของร่างกลับไม่เคยรู้สึกตัวเลยว่าตัวเองมีเสน่ห์มากล้นเพียงไหนแม้จะอายุอานามเข้าเลขสามแล้วก็ตาม
“คุณพิมฐาคะ”
เสียงเรียกจากที่ไกล ๆ สามารถดึงความสนใจของเธอให้หันหน้าไปสบมองได้ไม่ยาก
“คะ?”
“มีพัสดุมาส่งค่ะ”
“อ๋อ”
เธอพยักหน้าอย่างรับรู้ให้กับผู้ดูแลคอนโดที่ทำหน้าที่อยู่ทางโต๊ะประชาสัมพันธ์
สองขาของเธอเปลี่ยนทิศทางเดินไปหาเจ้าหล่อนคนนั้นโดยทันควันเมื่อรับรู้ถึงการเอ่ยเรียกกันแล้วว่ามีพัสดุมาส่งถึงเธอ กล่องถูกยกขึ้นมาบนโต๊ะให้เธอยกยิ้มและพยักหน้าตอบรับ
“ขอบคุณนะคะ”
“ยังมีอีกค่ะ”
สองขาที่กำลังจะก้าวเดินกลับไปทางลิฟต์นั้นพลันหยุดชะงักลงในทันใดอีกครั้งหนึ่ง
ประชาสัมพันธ์คนเดิมยกยิ้มให้กับเธอก่อนที่เจ้าหล่อนจะทำการก้มตัวลงไปใต้โต๊ะเพื่อหยิบของ กล่องพัสดุมากมายถูกยกขึ้นมาวางบนโต๊ะให้เธอได้แต่ขมวดคิ้วฉงนเพราะมันเยอะมาก ๆ และเธอที่แบกข้าวของมาจากมหาวิทยาลัยนั้นคงไม่สามารถยกมันขึ้นไปทั้งหมดได้ด้วยตัวคนเดียวเป็นแน่แท้
“ของฉันหมดเลยเหรอคะ?”
“ของคุณพิมฐาทั้งหมดเลยค่ะ”
สาวเจ้ายกยิ้มยืนยันในสิ่งที่เธอนั้นเอ่ยถาม
สายตาของเธอกวาดมองไปยังกล่องพัสดุพวกนั้นในทันใดเพราะเธอค่อนข้างแน่ใจว่าไม่ได้สั่งของอะไรมามากมายขนาดนั้น แต่เมื่อไล่อ่านชื่อของผู้ส่งแล้วก็ทำให้เธอถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างเอือมระอา เพราะทั้งชื่อและที่อยู่ของปลายทางนั้นล้วนแล้วแต่เป็นมารดาของเธอทั้งสิ้น
“ขอบคุณมากนะคะ”
“ให้พี่รปภ.ช่วยยกขึ้นไปดีไหมคะ?”
ประชาสัมพันธ์คนเดิมเอ่ยถามอย่างต้องการที่จะช่วยเหลือ
ซึ่งมันทำให้เธอนึกคิดเล็กน้อยว่าสมควรหรือไม่กับข้อเสนอของสาวเจ้าที่ยื่นมาให้ต่อกัน แน่นอนล่ะว่าเธอรับรู้ว่าหญิงสาวไม่ได้มีเจตนาอันใดกับข้อเสนอนั้น แต่เธอที่ได้รับการสั่งสอนมาตั้งแต่ยังจำความได้ว่าไม่ให้ไว้ใจใครโดยเฉพาะพวกผู้ชาย...ก็ทำให้หัวคิ้วของเธอขมวดฉงนเพราะคำนึงถึงความปลอดภัยของตัวเองโดยทันที
“ไม่เป็นไรค่ะ...เดี๋ยวฉันยกขึ้นไปเอง”
“จะไหวไหมคะ?”
“ยังไงวานกดลิฟต์ให้ทีได้ไหมคะ?”
“ได้เลยค่ะ ได้เลย”
หญิงสาวรีบออกมาจากโต๊ะประชาสัมพันธ์และไปทำตามสิ่งที่เธอร้องขอ
เธอเอ่ยขอบคุณเจ้าหล่อนอีกครั้งที่ให้ความช่วยเหลือ ก่อนที่เธอจะได้ยินเสียงลิฟต์ที่เคลื่อนตัวมาถึง แต่ตอนนี้กล่องพัสดุมันค่อนข้างที่จะบดบังการมองเห็นของเธอ เธอจึงกะเวลาเอาเองว่าลิฟต์มันเปิดตัวออกมาแล้วหรือยัง
“อ๊ะ!”
“ลิฟต์ยังไม่มา”
เสียงทุ้มแหบไร้อารมณ์ของใครบางคนดังขึ้นมาให้เธอต้องพยายามสบมองว่าใช่คนที่เธอคิดหรือเปล่า
ซึ่งคนคนนั้นก็คือหญิงสาวที่อยู่ห้องตรงข้ามกับเธอในตอนนี้ และเขาก็ยกมือขึ้นมาขวางเธอเอาไว้จนแขนของเธอโดนเข้ากับแขนข้างที่มีรอยสักของเขาเล็กน้อย ซึ่งหลังจากการสัมผัสเมื่อโดนเขาเมื่อสักครู่...เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าข้างที่มีรอยสักของเขานั้นมันแปลกไปจากแขนของเธอที่ไม่มีรอยอะไรแต่อย่างใดเลย
ออกจะนิ่ม ๆ ลื่น ๆ เหมือนครีมบำรุงผิวด้วยซ้ำ...
“ลิฟต์มาแล้ว”
“อ๊ะ! ขอบคุณค่ะ”
เธอกล่าวขอบคุณพร้อมกับพาร่างของตัวเองเข้าไปภายในลิฟต์ตามหลังของเขา
เราไม่มีบทสนทนาต่อกันภายในลิฟต์เพราะเขาเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเราอยู่ชั้นเดียวกันและเป็นเพื่อนบ้านของกัน พิมฐาขยับแขนของตัวเองเล็กน้อยเพราะเริ่มหนักจากการยกของ ก่อนที่เธอจะรู้สึกอุ่น ๆ ที่มือของตัวเองอีกครั้ง พร้อมกับความหนักที่ค่อย ๆ เบาลง
“ฉันช่วย”
“แต่ว่า...”
“ถือของของเธอเงียบ ๆ ไปเถอะ”
พิมฐารีบหุบปากของตัวเองลงในทันใดเมื่อเขาพูดประโยคนั้นจบ
เป็นอันว่ากล่องพัสดุทุกชิ้นได้เข้าไปอยู่ในวงแขนของคนด้านข้างเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตอนนี้เธอถือเพียงแค่กระเป๋าของตัวเองและกระเป๋าโน้ตบุ๊คเท่านั้น และที่เธอรู้สึกอุ่น ๆ ที่มือของตัวเองเมื่อสักครู่นี้...ก็เป็นเพราะว่าเขาสอดมือของตัวเองเข้ามาช้อนกล่องพัสดุออกไปจากมือของเธอนั่นเอง
มือของเขาก็นุ่มนิ่มเหมือนกับได้รับการดูแลรักษาอยู่ตลอดไม่ต่างจากแขนของเขาเลย...
“ทำไมไม่ให้รปภ.ช่วยยกขึ้นมาล่ะ”
“ฉันคิดว่าฉันยกเองไหวน่ะค่ะ”
เธอตอบรับโดยไม่ได้บอกถึงข้อเท็จจริง
“ถ้าฉันไม่มาเห็นเธอก่อน...ป่านนี้เธอเดินชนลิฟต์ไปตั้งแต่ข้างล่างแล้วนะ”
พิมฐาก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างไม่คิดที่จะต่อล้อต่อเถียง
นี่เธอเป็นถึงอาจารย์เลยนะ แล้วคนคนนี้ก็ดูเหมือนจะอายุน้อยกว่าเธออยู่ตั้งมากโข ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเธอเสียอีก...แล้วทำไมเธอต้องรู้สึกเกรงใจเขาด้วย!
“ว่าแต่คุณชื่ออะไรคะ?”
“เธอเถียงฉันไม่ได้แล้วเฉไฉเปลี่ยนเรื่องหรือเปล่า?”
ติ๊ง!
เหมือนสวรรค์ยังพอเข้าข้างกันอยู่บ้าง เพราะตอนนี้ลิฟต์ได้เดินทางมาถึงชั้นที่หมายแล้ว
พิมฐารีบก้าวเดินออกมาจากตัวลิฟต์โดยทันใดไม่คิดที่จะตอบคำถามของเขาเมื่อสักครู่นี้ ซึ่งเขาก็ก้าวเดินตามกันออกมาโดยไม่ได้เค้นถามอะไรเธอต่ออีก
เธอหยุดยืนอยู่ที่หน้าลิฟต์หวังที่จะรับของที่เขาช่วยถือกลับมาถือไว้กับตัวเอง แต่เขากลับเดินผ่านตัวของเธอไปหน้าตาเฉย และไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าห้องของกันทั้งยังหันมาสบมองใบหน้าของเธอด้วยใบหน้าฉงนของเขาอีกด้วยต่างหาก
จิวที่คิ้วและที่มุมปากของเขา...ตอนนี้เขาจะเจ็บอยู่หรือเปล่านะ?
“รออะไรล่ะ ฉันหนักนะ”
“ฉันกะจะรับของตั้งแต่ตรงนี้...”
“แล้วเธอจะเอามือที่ไหนเปิดประตู”
นั่นสิ...ลืมคิดไปเลยแฮะ
“เดินมาเปิดประตูได้แล้ว ไม่ต้องกลัวฉันจะขโมยของเธอหรอก”
“ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นนะคะ!”
พิมฐาเหวและก้าวเดินไปหาเขาที่ยืนรอกันอยู่โดยทันที
เธอแตะคีย์การ์ดใส่ยังเครื่องใส่รหัส ก่อนที่เธอจะหันมาสบมองเขาเล็กน้อยว่าเขามองเธออยู่หรือเปล่า คนถือของจนเต็มมือนั้นมองไปเรื่อยเปื่อยไม่ได้สนใจกัน ซึ่งเธอก็พอดูออกว่าเขาคงจะไม่อยากเสียมารยาทมองรหัสห้องของกัน มันทำให้เธอเบาใจไปได้เปลาะหนึ่งแต่ก็ยังไม่ทั้งหมด แต่สุดท้ายแล้วเธอก็กดรหัสของตัวเองและไม่นานเสียงปลดล็อกประตูก็ดังขึ้นให้เธอเปิดประตูให้อ้ากว้างที่สุด
“ที่เหลือเดี๋ยวฉัน...”
“อีกนิดเดียวก็จะถึงอยู่แล้ว ให้ฉันเอาเข้าไปข้างในให้ก็แล้วกัน”
“คุณ!”
เธอรีบเหวและพยายามจะคว้าตัวของเขาเอาไว้แต่มันก็ไม่ทันการ
คนตัวสูงเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในห้องของเธออย่างระมัดระวังก่อนที่เขาจะไปหยุดยืนอยู่กลางห้องและหันมองไปมองรอบ ๆ ว่าตรงไหนสามารถวางของได้บ้าง และเมื่อเขาหาเจอแล้วเขาก็ก้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อวางกล่องพัสดุของเธอลงที่กลางห้องรับแขก พิมฐาที่ยังไม่ไว้ใจและเกิดความหวาดระแวงนั้นก็ยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องไม่แม้แต่จะเดินเข้าไปในห้องเลยเพราะเธอกำลังรู้สึกไม่ไว้วางใจ
“วางตรงนี้ได้ใช่ไหม?”
“ค่ะ เชิญคุณ...”
“หิวน้ำจัง”
อยู่ ๆ เขาก็พูดออกมาพร้อมกับทำท่าซับเหงื่อทั้ง ๆ ที่เธอเห็นแล้วว่าใบหน้าของเขามันไม่ได้มีเหงื่อเลยแม้เพียงสักหยด
แต่สุดท้ายแล้วเธอก็จำใจเดินเข้ามาในห้องแต่ยังคงเปิดประตูเอาไว้ตั้งใจที่จะไม่ปิดลง เธอเดินพาร่างของตัวเองผ่านหน้าของเขาเข้าไปในห้องครัวและรินน้ำใส่ให้เขาหนึ่งแก้ว ก่อนจะรีบพาร่างของตัวเองเดินออกมาหาเขาอีกครั้งหนึ่งพร้อมกับยื่นแก้วน้ำให้กับเขาที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน
“ขอบคุณนะ”
เขายกยิ้มเล็กน้อยและรับแก้วน้ำขึ้นไปยกดื่ม
พิมฐามองทุกการกระทำของเขาและเธอพึ่งได้รู้สึกตัวว่านี่เป็นครั้งแรกที่เธอเห็นคนข้างห้องของเธอ...ยกยิ้ม
อยู่ ๆ แววตาแข็งกร้าวของเธอก็ค่อย ๆ พลันเปลี่ยนไปกลายเป็นมองเขาอ่อนลงกว่าเมื่อสักครู่โดยที่เธอเองก็ไม่ทันได้รู้สึกตัว...
ดวงตาของเธอจดจ้องมองใบหน้าของเขาและไล่ต่ำลงมาที่ลำคอซึ่งกำลังกระดกน้ำเพื่อดับกระหาย เธอไล่มองเขาอีกครั้งไปที่เสื้อยืดตัวสีดำรับกับกางเกงยีนขากระบอกที่มันช่างเข้ากันกับบุคลิกของเขาอย่างสิ้นเชิง ก่อนท้ายที่สุดแล้วสายตาของเธอจะหยุดลงที่แขนของเขาข้างที่มันมีรอยสักจนเต็มแขน...อยู่ ๆ เธอก็มีประโยคหนึ่งที่ผุดเข้ามาในหัวสมองให้เธอไม่สามารถละสายตาออกไปจากคนตรงหน้าได้เลยแม้เพียงเสี้ยววินาที
เขาเป็นตัวเองขนาดนี้ได้อย่างไรกันนะ...เท่จัง
“ขอบคุณสำหรับน้ำดื่มนะคะ”
การขยับร่างกายของเขา...เป็นการดึงสติของเธอให้หวนกลับคืนมาจนต้องเงยหน้าสบมองเขาอีกครั้งหนึ่ง
“ค่ะ”
เธอเอื้อมมือไปรับแก้วน้ำที่เขาดื่มมันจนหมดแก้วมาถือเอาไว้
“ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉันยกของขึ้นมา”
เขาพยักหน้าเล็กน้อย และหันหลังให้กันเพื่อเตรียมตัวที่จะเดินออกไปจากห้อง
แต่ทำไมอยู่ ๆ เธอก็เกิดอยากจะรู้จักเขาให้มากขึ้นกว่านี้ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้...เธอแทบจะไม่อยากสนทนากับพวกคนที่มีรอยสักหรือพวกที่เจาะตามร่างกายเลยด้วยซ้ำไป
พิมฐาเผลอกำแก้วในมือของตัวเองแน่นและมันแรงมากขึ้นในทุกการก้าวเดินของเขาที่กำลังจะลับสายตาไป
ท่องไว้พิมฐาว่าเธอเปิดใจแล้ว...เพราะฉะนั้นหากเธอต้องการที่จะรับรู้หรืออยากจะรู้จักเขาให้มากกว่านี้มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร มันคือการเริ่มต้นที่ดีของการเปิดใจอย่างไรล่ะ!
“คุณคะ!”
สุดท้ายแล้วเธอก็เอ่ยเรียกเขาก่อนที่ร่างของเขาจะพ้นประตูห้องของเธอออกไป
“?”
เขาหันมาสบมองใบหน้าของกันโดยไม่ได้พูดอะไร
เธอเผลอเลียริมฝีปากของตัวเองซึ่งมันจะเป็นไปโดยอัตโนมัติทุกครั้งเมื่อเธอเริ่มรู้สึกประหม่า มือของเธอที่กำแก้วอยู่นั้นก็ยิ่งกำแน่นเพราะเธอกำลังเรียบเรียงคำพูดของตัวเองอยู่
“ฉันอยากถามคุณ...”
“...”
“เกี่ยวกับเรื่องรอยสักแล้วก็เรื่อง...”
เธอใช้นิ้วชี้ที่คิ้วของตัวเองสลับกับมุมปาก ซึ่งทั้งสองสิ่งบนใบหน้าของเขานั้นมันมีจิวสีเงินวาวประดับอยู่
“ได้ไหมคะ?”
เธอก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างหวาดกลัวในคำตอบ
เขาจะมองว่าเธอบ้าบอหรือเปล่าเพราะในครั้งแรกที่เราเจอกันนั้นเธอแสดงออกถึงความเสียมารยาทใส่เขาอย่างชัดเจน แต่อยู่ ๆ เธอก็ดันอยากจะมารู้เรื่องอะไรพวกนั้นกับคนที่เธอแสดงกิริยาใส่ไม่ดีด้วยในการพบเจอกันในครั้งแรก ซึ่งถ้าหากว่าเขาปฏิเสธ...เธอจะไม่ข้องใจและตั้งข้อสงสัยใด ๆ เลยแม้เพียงแต่น้อย
“ได้สิ”
เธอเงยหน้าสบมองเขาในทันใดด้วยแววตาเป็นประกายสุกใสโดยที่พิมฐาเองก็ไม่ทันได้รู้สึกตัว
“เอาไว้ว่าง ๆ ฉันจะมาบอก”
เธอยกยิ้มกว้างและพยักหน้าให้กับเขาอย่างดีใจ
“แต่เธอต้องไปที่ห้องของฉันนะ”
รอยยิ้มของเธอพลันหายไปในทันใด
“เธอจะได้รู้เรื่องอะไรที่เธออยากรู้...อีกมากเลยล่ะ”