ก่อนที่เฉินเฟิ่นอี้จะล้มป่วยหล่อนมีร่างกายที่แข็งแรงมาก ถึงขนาดที่ว่าทำงานเก็บแต้มที่หนัก ตื่นเช้ามาหล่อนก็ยังไปเรียนได้อย่างปกติ พอเลิกเรียนก็ทำแบบเดิมซ้ำๆ มีเพียงช่วงเวลาก่อนเรียนจบมัธยมศึกษาตอนต้นที่ร่างกายของหล่อนเปลี่ยนไป
ช่วงแรกเป็นการเวียนหัวแต่หล่อนคิดว่าเป็นเพราะทำงานหนักและไม่ได้บอกใคร เคยเป็นลมหมดสติตอนทำงานเก็บแต้มก็ยังคิดว่าแค่ป่วย แต่หลังจากนั้นหล่อนก็อาเจียน เวลาไปโรงเรียนหล่อนก็เป็นแบบนี้ประจำจนขาดเรียนบ่อยครั้ง แต่พอขาดเรียนอาการกลับดีขึ้นมาก เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ยอมลาออกจากโรงเรียน จนลุงสามของหล่อนกลับมาและได้ยื่นคำขาด
เฉินเฟิ่นอี้ชะงักเมื่อมองย้อนกลับไปช่วงเวลานั้นว่าเกิดอะไรขึ้น อี้เหม่ยเฟิ่งทำการบ้านที่ครูสั่งไม่ได้จึงให้เฉินเฟิ่นอี้ช่วยสอน แต่สอนไปสอนมา กลับเป็นหล่อนที่ต้องทำการบ้านให้อี้เหม่ยเฟิ่ง และเป็นช่วงเดียวกันที่อี้เหม่ยเฟิ่งกับหมิงหลานฮุ่ยชอบออกไปซื้อของกินนอกโรงเรียน
เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะเห็นว่าอี้เหม่ยเฟิ่งเป็นญาติผู้พี่ที่ไม่มีเพื่อน เพราะเพื่อนสนิทคนอื่นไม่ได้เรียนต่อในระดับมัธยม แม่ของหล่อนจึงให้หล่อนดูแลญาติผู้พี่ เฉินเหม่ยเย่ก็ไม่ค่อยได้มาหาพี่สาวพอดีช่วงนั้น หล่อนให้เหตุผลว่าไม่ชอบหน้าอี้เหม่ยเฟิ่ง
เอ๊ะ! นั่นสิ ทุกครั้งที่อี้เหม่ยเฟิ่งกับหมิงหลานฮุ่ยออกไปซื้อของกินระหว่างพักกลางวัน อี้เหม่ยเฟิ่งจะซื้อน้ำมาฝากให้เฉินเฟิ่นอี้ตลอด และไม่ยอมให้หมิงหลานฮุ่ยดื่มด้วย หรือมันจะมีสารพิษปนเปื้อน แต่เฉินเฟิ่นอี้ก็คิดไม่ออกว่าอีกฝ่ายจะทำแบบนี้ทำไม
อิจฉาเฉินเฟิ่นอี้ที่เก่งกว่าทุกด้านรวมถึงมีคู่หมั้นเป็นคนมีเงิน? ก็อาจเป็นไปได้ แต่บ้านเมืองมีกฎหมาย อี้เหม่ยเฟิ่งคงไม่กล้าฆ่าคนหรอก แต่การใส่สารพิษลงในน้ำเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ช้าๆ ก็เป็นไปได้ แล้วเรื่องนี้คนบ้านอี้รู้หรือเปล่า บางทีอาจรวมหัวกันก็ได้
จริงสิ หากนับดูแล้วช่วงนั้นพ่อของอี้เหม่ยเฟิ่งได้ไปซื้อยาจำกัดแมลงตามคำสั่งของผู้ใหญ่บ้านพอดี ถ้ามันเป็นไปตามที่เธอคิด บ้านอี้ต้องมีส่วนรู้เห็นแน่ๆ
“นายคิดว่าบ้านอี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้หรือเปล่า” เฉินเฟิ่นอี้ถามระบบอย่างใช้ความคิด ถ้าอี้เหม่ยเฟิ่งได้แต่งงานกับหมิงหลานฮุ่ย คนที่ได้รับผลประโยชน์ที่สุดย่อมเป็นบ้านอี้
หมิงหลานฮุ่ยเป็นทายาทคนเดียวของเศรษฐีตระกูลหมิง หากเขาแต่งงานคนที่เป็นภรรยาย่อมเป็นที่เชิดหน้าชูตา ด้วยความสามารถของอี้เหม่ยเฟิ่งหล่อนคงส่งเงินมาให้บ้านอี้เดือนละหลายหยวน บ้านอี้คงคิดแบบนี้แน่
‘ไม่รู้’
อ้าว ไม่คิดจะช่วยหาคำตอบเลยหรือ เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจ เอาเถอะ ยังไงเธอก็ไม่ได้มีสิ่งที่ต้องทำอยู่แล้ว แค่เพิ่มการหาสาเหตุเรื่องสารพิษคงไม่เป็นไร
เฉินเฟิ่นอี้เก็บของในห้องให้เป็นระเบียบก่อนเปลี่ยนชุดที่ใส่คล่อง จัดการรวบมัดผมให้เรียบร้อยก่อนยกตะกร้าผ้าออกจากห้อง คงต้องหาซื้อเสื้อผ้ามาใส่อีกไม่อย่างนั้นคงต้องซักทุกวันแบบนี้ แน่นอนว่าช่วงนี้เธอซักทุกวันได้ แต่ในอนาคตที่เธอต้องไปเรียนล่ะ
ตะกร้าผ้าถูกทิ้งไว้กลางบ้าน เฉินเฟิ่นอี้จะจัดการของที่ซื้อมาก่อน ผลไม้ครึ่งหนึ่งถูกเก็บไว้ในตู้อีกครึ่งก็นำไปเก็บไว้ในห้อง ต้องบอกว่าบ้านเฉินได้รับประทานผลไม้ไม่เคยขาด เครื่องปรุงที่ใกล้หมดเฉินเฟิ่นอี้ก็ทำการเติม บางอย่างก็เป็นของที่เหลือจากการเติมคราวก่อน ที่ซื้อใหม่ก็เก็บไว้ในห้อง
แป้งขาว ข้าวขาว และธัญพืชต่างๆ ที่เฉินเฟิ่นอี้ได้รับจากระบบเธอไม่ได้นำออกมาเติม แต่เธอใช้ของที่เก็บเอาไว้เติมในโหลเพราะมันจะได้ไม่เก่า ไข่ไก่ตอนนี้เหลืออยู่หลายฟองนำมาเติมใส่โหลก็เต็มพอดี สงสัยต้องเข้าอำเภอจริงๆ
จัดการเติมของเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็ทำความสะอาดภายในห้องครัวที่มีคราบสกปรก ดีที่ไม่ต้องล้างจานเพราะเฉินเหม่ยเย่ล้างไว้ก่อนเข้าตำบล แต่ยังมีจานบางส่วนที่อยู่แปลงนา เธอใช้เวลาจัดการในครัวราวๆ หนึ่งชั่วโมงเต็ม
“พี่ทำความสะอาดครัวเหรอคะ ทำไมไม่บอกให้ฉันมาช่วย ทำคนเดียวเหนื่อยเลยเห็นไหม” เฉินเหม่ยเย่ที่เดินเข้ามาในห้องครัวบ่นเบาๆ
“เหนื่อยอะไรไม่เหนื่อยหรอก เธอมาก็ดีเลยพี่จะไปซักผ้าที่แม่น้ำ ไปด้วยกันไหม ชุดของทุกคนก็ยังไม่ได้ซัก” เฉินเฟิ่นอี้ตอบ มันก็ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น พอเหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยก็ทำงานต่อ
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปเอาเสื้อผ้าออกมาก่อน แต่เราคงต้องซักแล้วทิ้งไว้ที่แม่น้ำ หลายชุดขนาดนี้คงเอากลับมาไม่ได้” หล่อนพยักหน้า
เนื่องจากต้องทำงานในแปลงนาตั้งแต่เช้าถึงเย็นทุกคนจึงไม่มีเวลาไปซักเสื้อผ้า ทุกคนมีชุดทำงานที่เก่าหลายชุดจึงไม่เป็นปัญหา อันที่จริงผู้หญิงทุกคนจะมีวันหยุดเพื่อมาซักผ้าให้คนในบ้าน แต่ช่วงโรงเรียนปิดเทอมคนที่จัดการเรื่องนี้จึงเป็นเฉินเหม่ยเย่ วันนี้เฉินเฟิ่นอี้ว่างพอดีเลยชวนหล่อนไปด้วย อีกอย่างไปซักผ้าเวลานี้อาจไม่มีคน เพราะส่วนใหญ่ทำงานในแปลงนากันอยู่
แม่น้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้านอยู่ไม่ไกลจากบ้านเฉินมากนัก ตะกร้าผ้าหลายตะกร้าเด็กสาวสองคนต้องกลับไปเอาหลายรอบ ดีที่เสื้อผ้าพวกนี้ทำความสะอาดง่าย เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่กลัวว่าตนเองจะเหนื่อย
“ก่อนอื่นเธอต้องซักชุดของพวกเราที่ไม่ได้สกปรกก่อน ส่วนชุดทำงานค่อยซักทีหลัง” เฉินเฟิ่นอี้ชี้บอกทันทีที่เห็นน้องสาวเอาเสื้อผ้ามารวมกัน ถึงว่าเสื้อผ้าของหล่อนค่อนข้างที่จะเก่ากว่าของเธอมาก
“ซักพร้อมกันไม่ได้เหรอคะ” เฉินเหม่ยเย่ถามอย่างสงสัย ปกติหล่อนก็ซักรวมกันแบบนี้
“ไม่ได้ มันจะทำให้เวลาใส่เสื้อผ้าเธอจะคัน เธอไม่สังเกตเหรอว่ามันคันเวลาสวม” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้า แต่ก่อนเฉินเฟิ่นอี้ก็ทำแบบนี้เช่นกัน แต่พอเธอมาอยู่ที่นี่ก็เปลี่ยนวิธีการซักทันที
“จริงเหรอคะ” ถึงว่าที่ผ่านมาเวลาใส่เสื้อหล่อนจะคันตามร่างกายตลอด นึกว่ามีแมลงมากัด
“อืม”
ทั้งสองเริ่มซักเสื้อผ้าเกือบสิบตะกร้า โชคดีที่เสื้อผ้าไม่ได้เปื้อนมาก หลังจากเลิกงานส่วนมากจะล้างตัวบริเวณที่เปื้อน ใช้เวลาไม่นานทั้งสองก็ซักเสื้อผ้าเสร็จ
เฉินเฟิ่นอี้กับเฉินเหม่ยเย่ยกตะกร้าผ้าของตนเองกลับก่อน เพราะตะกร้าอีกหลายตะกร้ามันหนักมาก ไม่สามารถที่จะเอากลับเองได้ ตะกร้าผ้าของเฉินเฟิ่นอี้มีชุดของเฉินชิงชิงที่ยังไม่ได้ซักด้วย
“จะไปไหนก็ไม่ไปบอกกันก่อน ถ้าย่าไม่ถามเพื่อนบ้านคงต้องไปตามหาแล้ว” ย่าเฉินเมื่อเห็นหลานสาวทั้งสองแบกตะกร้ากลับมาก็บ่นทันที ไม่ใช่ว่าอยากด่าแต่เป็นห่วงที่ไปไหนไม่บอก
“ฉันเห็นว่าแดดดีค่ะเลยไปซักผ้า คิดว่าย่าจะยังไม่กลับมาด้วย” เฉินเฟิ่นอี้ตอบก่อนเอาตะกร้าวางลงบริเวณที่ใช้ตากผ้า เธอหยิบผ้าขึ้นมาบิดให้หมาดพร้อมสะบัดไปมา
ย่าเฉินไม่ได้เอ่ยต่อเฉินเฟิ่นอี้จึงเลิกใส่ใจ เสื้อผ้าของเธอมีแค่ไม่กี่ชุดก็ตากเสร็จ อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงทุกคนก็เลิกงานแล้ว เฉินเฟิ่นอี้หันไปมองน้องสาวก่อนเรียกให้ไปช่วยงาน
“ตากผ้าเสร็จเข้าไปช่วยในครัวด้วย” ตะกร้าผ้าก็คว่ำทิ้งไว้กลางแดดเพื่อไม่ให้ราขึ้น รอให้มันแห้งสนิทค่อยนำไปไว้ที่เดิม
“ค่ะ”
เฉินเฟิ่นอี้เก็บผักในสวนหลายชนิด เธอจะนำไปผัดกับเนื้อเค็มตากแห้ง วันนี้ไม่ได้เนื้อกลับมาด้วยที่บ้านก็หมดแล้ว ใจจริงก็อยากแลกออกมาจากระบบ แต่เธอไม่ได้ซื้อมาตั้งแต่แรกเฉินเหม่ยเย่จะสงสัยเอา ในอนาคตเฉินเหม่ยเย่อาจได้รู้ความลับของเธอรวมถึงน้องๆ เพื่อการเติบโตของทุกคน เธอไม่สามารถปิดบังมันไปได้ตลอด แต่ผู้ใหญ่บ้านเฉินนอกจากย่าเฉินแล้วคนอื่นอาจไม่ได้รู้
เก็บผักเสร็จก็นำไปล้างทำความสะอาด นอกจากเนื้อเค็มผัดผักแล้วเฉินเฟิ่นอี้ก็ยังจะทำน้ำซุปผักให้ทุกคนได้ซดร้อนๆ อีกด้วย ผลไม้วันนี้ก็มีสาลี่กับองุ่น ส่วนสตรอว์เบอร์รี่คงให้แค่เด็กๆ รับประทานเพราะได้มาน้อย
เฉินเหม่ยเย่รับหน้าที่จุดไฟทั้งสองเตา หม้อหนึ่งหุงข้าวอีกหม้อก็ต้มน้ำซุปผักเพราะมันต้องต้มเป็นชั่วโมง ผักที่เก็บมาก่อนก็หั่นรอระหว่างนี้
‘เห็นสีหน้าบ้านอี้ที่รู้ว่าอี้เหม่ยเฟิ่งสอบไม่ผ่าน ฮ่าๆ ผมสะใจมากเลยครับ’
เสียงเฉินตงหัวเราะแว่วมาจากข้างนอก เฉินเฟิ่นอี้ที่คำนวณเวลาไว้ถึงกับชะงัก มันยังไม่ถึงห้าโมงนี่ ทำไมถึงกลับมาเร็วจัง ทุกอย่างถูกเตรียมไว้เสร็จเฉินเฟิ่นอี้จึงช่วยเฉินเหม่ยเย่ที่มองอย่างสงสัยออกไปหาทุกคนที่กำลังคุยกันอยู่
“เห็นสิ หน้าของย่าอี้แทบดูไม่ได้ นี่แหละอยากอวดคนอื่นดีนักสุดท้ายก็ประจานตนเอง” สะใภ้ใหญ่เฉินพยักหน้าพร้อมตอบลูกชายอย่างสะใจ
ย่าอี้คงคิดว่าหลานสาวสุดที่รักของนางจะสอบผ่านจึงถามต่อหน้าทุกคนที่หยุดทำงานเพราะรถแทรกเตอร์วิ่งไม่ได้ พอไม่ได้รับคำตอบย่าอี้ก็เร่งหลานสาวจนหล่อนบอกว่าสอบไม่ผ่าน ตอนนั้นมีแต่คนหัวเราะเยาะ
“น่าโมโหตรงที่กลัวว่าจะมีแค่หลานสาวตัวเองเสียหน้า ยังโยงมาหาพี่สาวสามที่สอบผ่านอย่างดูถูกว่าคงไม่ผ่าน” เฉินไห่หลิวเอ่ยบ้าง เขาโมโหมาก บ้านเฉินก็พากันนั่งเงียบๆ แล้ว
“นั่นสิ ยิ่งหลานชายบอกว่าเฟิ่นอี้ของเราสอบผ่าน ย่าอี้แทบกระอักเลือด” สะใภ้รองหัวเราะ นับตั้งแต่ที่หล่อนกลับมาจากงานศพผู้เป็นแม่ วันนี้หล่อนหัวเราะได้มากจริงๆ
“มีอะไรกันเหรอคะ”
เฉินเฟิ่นอี้ถามคนที่นั่งอยู่ในวงสนทนา ผลไม้ถูกยกมาเสิร์ฟก่อนเวลาปกติ แต่ก็ไม่เป็นไร กว่าจะย่อยก็ได้เวลารับประทานอาหารเย็นพอดี
“อี้เหม่ยเฟิ่งสอบไม่ผ่านจริงๆ ครับ ย่าอี้คงอยากอวดว่าหลานสาวของนางสอบผ่าน จึงบังคับให้ตอบ” เฉินตงหัวเราะอย่างสะใจ
เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้า เรื่องสอบผ่านสอบไม่ผ่านไม่ได้อยู่ในความสนใจของเธอเท่าไหร่ หลังจากนี้คงต้องให้น้องชายน้องสาวจับตาดูหล่อนเอาไว้ระหว่างไปเรียน ถ้าเกิดเป็นหล่อนที่วางยาเฉินเฟิ่นอี้จริงๆ หล่อนคงทำมันอีกแน่
เฉินเหม่ยเย่ยกถาดผลไม้ไปวางให้ทุกคน ส่วนน้ำดื่มมีตั้งอยู่หน้าบ้านจึงทำเพียงตักให้ทุกคน น้ำดื่มผ่านการต้มสุกด้วยฝีมือของเฉินเฟิ่นอี้แล้ว
“พี่กับเหม่ยเย่เอาเสื้อไปซักไว้ที่แม่น้ำ หลังจากพักหายเหนื่อยแล้ว เฉินไห่หลิว เฉินตง เฉินจางไปยกมาด้วย” เฉินเฟิ่นอี้หันไปบอกน้องชายทั้งสามคนที่จิ้มผลไม้เข้าปาก
“ได้ครับ”
“ได้”
“ครับ”