พักได้ไม่นานเฉินเฟิ่นอี้ก็ต้องเข้าห้องสอบต่อ วิชาที่สองเป็นวิชาคณิตศาสตร์ เธอใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงเต็ม แน่นอนว่าครั้งนี้เฉินเฟิ่นอี้ยังสอบเสร็จก่อนคนอื่น ช่วยไม่ได้ที่เธอมีตัวช่วยอย่างระบบเส็งเคร็งที่ชอบบอกคำตอบบ้าง แค่กๆ
เฉินเฟิ่นอี้ส่งกระดาษคำตอบทันทีที่หมดเวลาสอบ ท่ามกลางสีหน้าเคร่งเครียดของนักเรียนระดับมัธยมต้น คงมีเพียงเฉินเฟิ่นอี้ที่มีสีหน้าผ่อนคลาย เมื่อออกจากห้องสอบ บางคนรีบไปรับประทานอาหารมื้อกลางวันเพราะต้องกลับมาอ่านหนังสือต่อ วิชาต่อไปคือภาษาต่างประเทศอย่างภาษาอังกฤษที่เธอรู้จักดี เนื่องจากการทำงานเป็นเลขาของท่านประธานที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ เธอในตอนนั้นจึงถูกส่งไปเรียนพิเศษ
แต่บางคนไม่ได้ไปรับประทานอาหารกลางวันเหมือนคนอื่น พวกเขาหาที่นั่งพร้อมกับอ่านหนังสือ จะสอบผ่านหรือไม่ผ่านก็อยู่ที่วิชาภาษาต่างประเทศแล้ว ยกเว้นบ้านเฉินที่เฉินเฟิ่นอี้ชวนไปหาที่รับประทานอาหารมื้อกลางวันข้างนอกโรงเรียน
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง และแน่นอนว่าเฉินเฟิ่นอี้ไม่ต้องการอดอาหาร หากเฉินไห่หลิวกับเฉินตงเครียดและไม่ได้รับประทานอาหารมื้อกลางวัน พวกเขาอาจเป็นลมได้ ส่วนเธอนั้นไม่น่าห่วงเพราะไม่ได้เครียดเรื่องการสอบ สงสัยระบบกลัวว่าเธอจะได้คะแนนไม่เต็มจึงเฉลยข้อที่ไม่แน่ใจให้
“ร้านนี้ก็ได้ค่ะลุงใหญ่ วันนี้คุณย่าให้เงินและคูปองติดตัวฉันมาบ้าง คุณลุงไม่ต้องห่วงค่ะ” เฉินเฟิ่นอี้อธิบายเมื่อเห็นว่าจะถูกปฏิเสธ ทั้งยังส่งสัญญาณให้เฉินตงที่ยืนอยู่ข้างๆ ช่วย หากอยากรับประทานอาหารร้านนี้ก็ต้องช่วยกัน
“ใช่ครับพ่อ ผมว่าร้านนี้ก็ดีนะ คนไม่เยอะมากด้วย อีกอย่างรับประทานเสร็จพวกผมต้องรีบไปอ่านหนังสือต่อครับ” เฉินตงพยักหน้า วิชาที่สอบต่อไปเป็นวิชาที่ยากมาก ยังดีที่พี่สาวสามเคยสอนอยู่บ้างจึงไม่ได้เร่งรีบไปอ่านหนังสือ
“ได้ๆ”
ลุงใหญ่เฉินพยักหน้าพร้อมรับคูปองและเงินจำนวนหนึ่งเหมาจากหลานสาว เดินหาโต๊ะที่ว่างนั่งลงและเดินไปซื้ออาหารพร้อมเฉินตง ส่วนเฉินไห่หลิวกับเฉินเฟิ่นอี้มีหน้าที่จองโต๊ะไว้
“ข้อสอบง่ายเหรอครับ พี่ทำเร็วมาก ผมกับเฉินตงกว่าจะทำเสร็จก็ใกล้หมดเวลาสอบแล้ว ยังดีที่ทำเสร็จก่อนหมดเวลา” เฉินไห่หลิวนั่งลงตรงข้ามพร้อมเอ่ยถามลูกพี่ลูกน้องที่มองซ้ายขวาอย่างอยากรู้อยากเห็น
“นายจะบ้าเหรอ ถ้าข้อสอบง่ายขนาดนั้นทำไมทุกคนถึงใช้เวลาถึงสองชั่วโมง คงเป็นเพราะฉันไม่ได้เรียนนาน เลยมีเวลาทบทวน ต้องดูคะแนนสอบนู่น บางทีฉันอาจสอบไม่ผ่านก็ได้” เฉินเฟิ่นอี้แก้ตัว หยิบหนังสือภาษาต่างประเทศที่ซื้อให้เฉินตงขึ้นมาอ่านฆ่าเวลา และเป็นการปฏิเสธการสนทนากับเฉินไห่หลิวอีกด้วย
เฉินไห่หลิวมองลูกพี่ลูกน้องของตนเองที่ก้มหน้าอ่านหนังสือก่อนถอนหายใจออกมา พี่สาวสามทำข้อสอบเร็วเกินไปจริงๆ นะ แม้แต่เขาที่ได้ชื่อว่าอัจฉริยะหนึ่งในสามของห้อง ยังต้องอ่านทบทวนแล้วทบทวนอีก
“ถ้านายสอบไม่ผ่านฉันหักขานายแน่ จำเอาไว้ว่าคะแนนไม่สูงไม่เป็นไรแต่ต้องสอบผ่าน เข้าใจไหม” ลุงใหญ่เฉินบอกลูกชายคนเล็กระหว่างถือจานอาหารมาที่โต๊ะ ทั้งสองสนทนาเรื่องสอบกัน
“มีอะไรเหรอคะ” เฉินเฟิ่นอี้ปิดหนังสือที่กำลังอ่านแล้วเก็บหนังสือไว้ในกระเป๋าผ้า รับประทานอาหารเสร็จจะได้คืนให้เฉินตงได้อ่าน
“พี่สาวสามดูพ่อผมสิ เขาขู่ว่าถ้าผมสอบไม่ผ่านจะหักขาผม! ข้อสอบตั้งร้อยข้อแถมยังต้องผ่านเกินครึ่งอีก ตายแน่ๆ” เฉินตงบ่นพลางนั่งลงบนเก้าอี้
“ลุงใหญ่อย่ากดดันเขาเลยค่ะ แต่ละวิชาไม่ง่ายจริงๆ อีกอย่างมันเป็นการสอบเทียบ ข้อสอบมันมีเนื้อหาที่ยังไม่ได้เรียนด้วย ถ้าสอบไม่ผ่านก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่เรียนเพิ่มอีกไม่ถึงปี” เฉินเฟิ่นอี้ตอบหลังรับจานข้าว วันนี้เธอได้ข้าวผัดพริกหวานและไข่ต้ม ยังดีที่เป็นอาหารรสไม่จัดมาก
“ครับ แต่ละวิชามันไม่ง่ายเลย” เฉินไห่หลิวพยักหน้า
ลุงใหญ่เฉินถอนหายใจ แม้กระทั่งหลานชายที่ได้ชื่อว่าอัจฉริยะในระดับมัธยมต้นยังบอกว่าไม่ง่าย เขารู้ว่าเฉินตงไม่ได้เรียนเก่งและความรู้พอใช้ได้ แต่ก็อดกังวลไม่ได้ เพราะกลัวสอบไม่ผ่าน เฉินไห่หลิว เฉินเฟิ่นอี้เขาไม่ห่วงเลย ทั้งสองคนเรียนเก่ง ต่างได้รับความสนใจ ต่างจากเฉินตงที่ต้องคอยตามเงาลูกพี่ลูกน้อง
ช่วงเย็นนักเรียนทุกคนต่างก็หมดแรงไปกับการสอบ บางคนก้าวเท้าออกจากห้องสอบถึงกับเป็นลมไปก็มี การสอบครั้งนี้สำคัญกับหลายๆ คนมาก หากสอบผ่านก็จะลดค่าใช้จ่ายลง แต่ถ้าสอบไม่ผ่านแม้ไม่ได้จ่ายเพิ่มก็น่าเสียดาย ผู้ใหญ่จึงชอบกดดันให้เด็กสอบให้ผ่าน
เฉินเฟิ่นอี้ยื่นป้ายชื่อของเธอคืนครูคนเดิมที่ยืนรอรับป้ายชื่ออยู่ คะแนนสอบจะออกอีกทีคืออาทิตย์หน้า นักเรียนต้องกลับมาดูคะแนนเองที่โรงเรียนพร้อมยื่นเอกสารขอจบ
“หมายความว่ายังไง?”
หลังจากยื่นป้ายชื่อคืนเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็เจออี้เหม่ยเฟิ่งที่เดินมาขวางหน้าพร้อมสมาชิกบ้านอี้ที่คุ้นหน้าคุ้นตา ตอนแรกทุกคนเข้าใจว่าเฉินเฟิ่นอี้มาให้กำลังใจน้องชายเพราะไม่เห็นตอนรับป้ายชื่อ แต่ตอนคืนป้ายชื่อทุกคนเห็นและการมีป้ายชื่อก็หมายความว่าเป็นหนึ่งในคนที่เข้าสอบ
“เธอมีปัญหาอะไร” ทุกครั้งที่เจอหน้ากันหล่อนชอบวิ่งเข้าหาเธอตลอด เฉินเฟิ่นอี้ชักจะรำคาญ อยู่เงียบๆ ก็ดีแล้วเชียว หรือเพราะไม่มีหมิงหลานฮุ่ยอยู่ด้วยถึงกล้าหาเรื่องเธอ
“ฉันควรถามเธอมากกว่านะเฉินเฟิ่นอี้ เธอลาออกจากโรงเรียนไปหลายเดือนแล้ว แต่อยู่ๆ กลับมีรายชื่อสอบ? ผู้อำนวยการโรงเรียนเป็นบ้าไปแล้วเหรอ” อี้เหม่ยเฟิ่งถามอย่างหัวเสีย เฉินเฟิ่นอี้ต้องสอบผ่านแน่ๆ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ผู้อำนวยการโรงเรียนอยู่นั่น ถ้าคุณอยากรู้ก็ไปถามเองสิคะ” เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจ นึกว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันอีกก็ยังเจอ
“สะใภ้บ้านอี้ เธอควรพาลูกสาวกลับไปได้แล้วนะ อีกเดี๋ยวก็มืดแล้ว มีแต่ผู้หญิง” ลุงใหญ่เฉินบอก
เพราะผู้ชายบ้านอี้ต้องทำงานจึงปลีกตัวออกมาไม่ได้ ย่าอี้ก็อายุมากแล้ว เลยให้เหล่าสะใภ้พาอี้เหม่ยเฟิ่งที่เรียนมัธยมคนเดียวมาสอบ แม้สะใภ้บางคนจะไม่พอใจก็ตามเถอะ ลูกสาวหรือแม้แต่ลูกชายของพวกหล่อนไม่ถูกส่งเรียนสักคน คนที่ได้เรียนกลับเป็นลูกของพี่ใหญ่อี้ทั้งสอง
“ไม่ต้องยุ่ง พี่ใหญ่เฉินควรตอบคำถามลูกสาวฉันนะ ว่าเฉินเฟิ่นอี้สอบได้ยังไง ฉันไม่ยอมแน่!” สะใภ้ใหญ่อี้โวยวาย หากเฉินเฟิ่นอี้เรียนต่อ บ้านหมิงต้องกลับมาง้อเฉินเฟิ่นอี้แน่ แล้วลูกสาวของหล่อนล่ะ? บ้านหมิงยังไม่ได้มาหมั้นหมายอี้เหม่ยเฟิ่งอย่างที่เคยพูดเอาไว้ เรื่องนี้บ้านอี้ลงแรงไปมาก
“ลองถามครูใหญ่ดูสิครับ มาถามพวกผมจะรู้ได้ยังไง” เฉินตงกล่าวขึ้นอย่างไม่ไว้หน้า ผู้หญิงบ้านอี้โง่หรือโง่มากกันแน่ คนที่ให้คำตอบเรื่องนี้ได้ต้องเป็นบุคลาการในโรงเรียน
“เฉินตง! นายก็เป็นได้แค่เงาของเฉินไห่หลิวเท่านั้นแหละ”
“อ้อ พี่ก็เป็นได้แค่เงาของพี่สาวผมเหมือนกัน คิดว่าพี่สาวผมออกจากโรงเรียนแล้วจะเด่นที่สุดงั้นเหรอ เหลวไหลน่า การเรียนก็งั้นๆ ผู้ชายก็ยังไปแย่งคนอื่นมา ระวังเถอะ สักวันมันจะทิ้งเอา”
คำพูดของผู้หญิงตรงหน้าไม่ได้ทำให้เฉินตงสะทกสะท้าน ต่อให้เขาเรียนแย่ เฉินไห่หลิวก็คอยสอนเขา ส่วนผู้หญิงตรงหน้านะเหรอ เหอะ เป็นแค่บ้านเดิมของอาสะใภ้สี่ที่เขาไม่ชอบหน้า
“นี่ !”
“ถ้าจะมีเรื่องกันก็ไปที่อื่น ตรงนี้หน้าโรงเรียนมีมารยาทกันหน่อย!”
“ขอโทษค่ะ”
“ขอโทษครับ”
เฉินเฟิ่นอี้รีบลากเฉินตงออกมาทันทีที่ครูในโรงเรียนเตือน ยอมรับว่าคำพูดของเฉินตงถูกใจเธอไม่น้อย แต่จะให้มีเรื่องตอนนี้ไม่ได้ อีกอย่างบ้านอี้ยังมีคนทำงานเป็นคณะกรรมการของหมู่บ้าน เธอกลัวจะเกิดปัญหาตามมา
“บ้านอี้ต้องมาหาเรื่องพวกเราที่บ้านแน่” เฉินไห่หลิวบอก
“เอาเถอะค่อยว่ากันอีกที”
เนื่องจากตอนมาบ้านเฉินออกมาช่วงสายที่ใกล้สอบแล้วจึงไม่เห็นคนเดินตามทาง แต่ตอนกลับแตกต่างกัน สองข้างทางเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินทางกลับ คนในหมู่บ้านเดียวกันกับบ้านเฉินก็มีหลายครอบครัวที่กัดฟันส่งลูกชายเรียนหนังสือ ในอนาคตจะได้มีงานดีๆ หาเงินให้ทางบ้าน
ก่อนกลับจากตำบลเฉินเฟิ่นอี้แวะซื้อของกลับมาด้วย หนึ่งในนั้นคือแอปเปิลที่หมดไปไม่นานพร้อมผลพุทราและขนมเล็กน้อย จริงๆ ก็ไม่น้อยแหละ
“เป็นยังไงกันบ้าง” ย่าเฉินถาม
กลับมาถึงบ้านก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว อีกไม่นานทุกคนก็จะเลิกงาน เฉินเฟิ่นอี้วางกระเป๋าผ้าลงบนแคร่ รับน้ำเย็นๆ จากเฉินเหม่ยเย่ขึ้นมาดื่มอย่างชื่นใจ
“เหนื่อยมากเลยค่ะสอบตั้งหลายวิชา” เฉินเฟิ่นอี้บอกพร้อมรับน้องชายที่เดินมาหาขึ้นอุ้ม
“ฮ่าๆ ไม่ได้เรียนนานล่ะสิ อ้อ จริงสิ ป้าสะใภ้รองกับน้องชายของพวกหลานกลับมาถึงบ้านแล้ว ตอนนี้ทำกับข้าวอยู่ในครัว” ย่าเฉินหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ดูเหมือนบ้านอี้เพิ่งรู้ว่าพี่สาวสามมีสิทธิ์สอบครับคุณย่า ก่อนหน้าเข้าห้องสอบก็มาหาเรื่อง ก่อนกลับก็มาหาเรื่องอีก ผมคิดว่าพวกเขาจะมาที่บ้านเรา” เฉินตงบอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาก็พูดแรงไปพอสมควรจึงต้องบอกย่าเฉินไว้ก่อน
“จริงหรือเจ้าใหญ่”
“ครับ สะใภ้บ้านอี้ไม่พอใจที่เฟิ่นอี้ของเราได้สอบ ผมคิดว่าหล่อนจะนำเรื่องนี้ไปบอกย่าอี้” ลุงใหญ่เฉินพยักหน้า ตอนที่เฉินตงพูดเขาไม่ได้ห้ามเลยเพราะเห็นด้วยกับคำพูดของลูกชาย เฉินเฟิ่นอี้หลานสาวของเขาเด่นกว่าอี้เหม่ยเฟิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งหน้าตา
“เหอะ คงอิจฉาหลานสาวของฉันสินะ หล่อนคงกลัวสู้เฟิ่นอี้ของเราไม่ได้” ย่าเฉินยิ้มเยาะอย่างไม่ทุกข์ร้อน บ้านอี้เป็นบ้านเดิมของสะใภ้สี่ก็จริง แต่ตอนนี้สะใภ้สี่คือคนของบ้านเฉินไม่ใช่บ้านอี้ การจะเข้าข้างบ้านอี้จึงเป็นไปไม่ได้
“ผมก็ว่าอย่างนั้น” เฉินตงพยักหน้า
“ไปๆ พักผ่อนกัน ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก เฟิ่นอี้ของเราไม่ผิดสักหน่อย จริงสิ วันนี้เจ้าสี่ได้กระต่ายกลับมามาสองตัว ย่าจะบอกให้ป้าสะใภ้รองของหลานตุ๋นให้ดีกว่า” ย่าเฉินไล่หลานๆ และลูกชายไปพักเพราะเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ เมื่อนึกได้ว่าวันนี้มีกระต่ายก็รีบเข้าครัวไปหาลูกสะใภ้
เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าเมื่อย่าเฉินรีบเดินเข้าครัว เห็นว่ามันเย็นแล้วเธอจึงเอาของเข้าไปเก็บในห้อง อีกสักพักคงได้เวลามื้อเย็นและรับมือกับบ้านอี้ ที่เธอไม่เข้าไปช่วยในครัวส่วนหนึ่งก็เพราะเหนื่อยด้วย