เรื่องที่บ้านเฉินมีเนื้อกินถูกพูดถึงทั้งหมู่บ้าน หากไม่ใช่เฉินหมิงกลับมาที่บ้านก็ต้องเป็นช่วงที่ได้รับผลผลิต บ้านเฉินรวมถึงทุกคนจึงจะมีเนื้อกิน แต่อยู่ๆ สามวันก่อนกลับมีคนได้กลิ่นเนื้อจากบ้านเฉิน ซึ่งเพื่อนบ้านต่างยืนยันว่าเป็นกลิ่นเนื้อจริงๆ
เฉินเฟิ่นอี้ถูกคนในบ้านเฉินซักถามว่าได้เนื้อมายังไง ก็เป็นย่าเฉินที่ออกหน้าและบอกว่านางเป็นคนเอาเงินและคูปองให้เฉินเฟิ่นอี้ไปซื้อเอง ทุกคนจึงทำได้แค่เงียบ
วันนี้มีการสอบเทียบ พี่ใหญ่เฉินหยุดงานหนึ่งวันเพื่อพาเฉินเฟิ่นอี้ เฉินไห่หลิว และเฉินตงไปสอบเทียบขึ้นมัธยมปลายในตำบล การสอบครั้งนี้ไม่ใช่การสอบใหญ่ ผู้ใหญ่ในบ้านเฉินจึงตกลงให้พี่ใหญ่เฉินไปคนเดียว ส่วนเรื่องลางานในแปลงนาทำเรื่องเอาไว้ตั้งแต่รู้วันสอบแล้ว
เดินทางไปในตำบลใช้เวลาเดินเท้าแค่ครึ่งชั่วโมง สมาชิกบ้านเฉินจึงไม่ได้เร่งรีบ เพราะมีสอบตอนเก้าโมง ลุงใหญ่ของบ้านจึงพาลูกชาย หลานชายและหลานสาวเดินเท้าไปยังตำบล
ถ้าเลือกได้เฉินเฟิ่นอี้ก็อยากได้จักรยานมาใช้ อย่างน้อยคงได้ไปซื้อของบ่อยๆ เอาไว้ลุงสามกลับมาที่บ้าน เธอจะลองขอให้เขาซื้อให้ดู หากให้พึ่งตนเองตอนนี้คงไม่ได้ เพราะต้องสำรองเงินบางส่วนไว้ใช้ อีกอย่างถ้าจำไม่ผิด เงินที่มีก็ยังไม่พอค่าจักรยานและคูปองก็ยังไม่มี
เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้เดินเร็วมากเพราะลุงใหญ่คงกลัวว่าเธอจะเหนื่อยจึงเดินช้า อีกอย่างอากาศก็ร้อน เฉินเฟิ่นอี้กลัวว่าจะมีกลิ่นเหงื่อ ดูเหมือนว่ามันจะมีสอบถึงบ่าย
“วันนี้ป้าสะใภ้รองกับเฉินจางคงกลับมาถึงบ้าน พวกเขายังไม่ได้รับประทานเนื้อเลยค่ะลุงใหญ่ ฉันกลัวว่าทั้งสองจะน้อยใจ ลุณลุงพอจะรู้จักที่ขายเนื้อหรือเปล่าคะ”
อาทิตย์ก่อนยายเฒ่าเมี่ยวหรือก็คือแม่ของสะใภ้รองของบ้านเฉินจากไปด้วยโรคชรา สะใภ้รองจึงพาลูกชายคนเล็กกลับไปร่วมงาน ลุงรองลางานไม่ได้ ส่วนเฉินไห่หลิวต้องสอบเขาจึงไม่ตามไป เฉินเฟิ่นอี้คิดเรื่องนี้ตั้งแต่เย็นวันนั้น อีกอย่างเธอก็อยากได้เนื้อมาให้คนในบ้านได้รับประทานทุกวัน
“หลานอยากได้เนื้อเหรอ มันก็มีอยู่บ้างที่โรงเชือดในตำบลแต่ตอนนี้คงหมดแล้ว หลานต้องไปรอตั้งแต่ตีสามถึงจะได้ซื้อ เพราะถ้าไปสายคนจะเห็นเอาได้” ลุงใหญ่เฉินตอบหลานสาว
“ค่ะ” เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้า เหลือบมองเฉินตงที่กระซิบกับเฉินไห่หลิวอยู่ข้างๆ
เดินต่อไม่ถึงสิบนาทีก็เจอโรงเรียนประจำตำบล หน้าโรงเรียนเต็มไปด้วยผู้คนที่พาลูกหลานมาสอบเทียบ บางคนดีหน่อยที่ผู้ปกครองมาแค่คนเดียวเพราะเป็นช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิต แต่บางคนกลับมีผู้ปกครองมาทั้งบ้าน ถ้าจำไม่ผิดที่เฉินตงบอก มัธยมต้นมีทั้งหมดสี่สิบเก้าคน มัธยมปลายยี่สิบแปดคน แต่ตอนนี้คนเต็มหน้าโรงเรียน
“คนเยอะมาก” เฉินเฟิ่นอี้เอ่ย
“ปกติแหละครับ ถ้าสอบไม่ผ่านคงถูกตีแน่ๆ ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถูกตี” เฉินตงพยักหน้าและพูดออกมา ช่วงสอบหากลูกหลานบ้านไหนได้คะแนนน้อยจะเห็นว่าถูกด่าและถูกตีบ่อยๆ ส่วนบ้านเฉินเหรอ ไม่เคยว่าเลย แต่ก็มีบ่นบ้างที่ได้คะแนนน้อย แต่ช่วงหลังมาทุกคนพัฒนาความรู้ คะแนนจึงติดอันดับท็อปต้นๆ ของชั้นเรียนเสมอ
“ถ้าอยากถูกตีก็ส่งกระดาษเปล่าดูสิ” เฉินไห่หลิวส่ายหน้าอย่างเอือมระอา บ้านอื่นไม่ได้แปลกหรอก บ้านเฉินของพวกเขาต่างหากที่แปลก ยิ่งคำที่ปู่เฉินย่าเฉินสอนทุกคนยิ่งแปลก
“ใช่” ลุงใหญ่เฉินเห็นด้วยกับคำพูดหลานชายพร้อมทั้งหันไปบอกเฉินตงลูกชายคนเล็กของเขา
“พ่อครับ ใครจะทำแบบนั้น” เฉินตงได้แต่ยิ้มแห้ง
ทั้งสี่คนเดินไปต่อแถวเข้าโรงเรียน ได้ยินว่าผู้ปกครองสามารถตามนักเรียนเข้าไปได้แค่หนึ่งคน ข้างนอกจึงมีเสียงตะโกนด่าทอเพราะใครๆ ก็อยากเข้าไปทั้งนั้น
เฉินเฟิ่นอี้มองรอบตัว มีบางคนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอย่างหมิงหลานฮุ่ย อี้เหม่ยเฟิ่งและบ้านอี้ยืนอยู่หน้าทางเข้า ดูเหมือนว่าทุกคนจะไม่รู้ว่าเฉินเฟิ่นอี้มีสิทธิ์สอบเทียบด้วย ไม่อย่างนั้นบ้านอี้คงไปโวยวายที่บ้านแล้ว
นักเรียนมัธยมต้นที่ยังไม่จบการศึกษาหากสอบเทียบผ่านก็จะได้เข้าเรียนมัธยมปลายในอำเภอ ถ้าสอบไม่ผ่านก็ต้องเรียนมัธยมต้นเหมือนเดิมแต่สามารถเรียนต่อจากเนื้อหาเดิมได้เลย มัธยมปลายจะต่างออกไป สอบผ่านจะได้เรียนระดับเดิมปีหน้าใครจะจบก็จบ แต่สอบไม่ผ่านต้องเรียนใหม่หมดพร้อมมัธยมต้นที่ผ่านการสอบ
“เฉินเฟิ่นอี้ค่ะ”
เฉินเฟิ่นอี้บอกชื่อกับครูที่ตรวจสอบรายชื่อว่าใครมีสิทธิ์สอบบ้าง ก่อนจะได้รับป้ายชื่อ เลขห้องและโต๊ะที่ต้องนั่งสอบ มันละเอียดมากโดยที่ไม่ต้องถามว่าต้องไปตรงไหน
“ห้องเดียวกันเลยครับ” เฉินไห่หลิวเดินอยู่ด้านหลังเอ่ยบอกเฉินเฟิ่นอี้ที่เดินนำ
“อืม”
โชคดีจริงๆ ที่สามพี่น้องบ้านเฉินของพวกเธอได้สอบห้องเดียวกัน ลุงใหญ่เฉินก่อนหน้านี้ขอตัวไปเข้าห้องน้ำทำให้ทั้งสามต้องยืนรอ เฉินเฟิ่นอี้หลบแสงแดดเข้าใต้ร่มไม้ พร้อมลากเฉินตงเข้าร่มด้วย เฉินไห่หลิวน่ะเหรอ นู่น เดินเข้าไปก่อนเพื่อนเลย
“เอ๊ะ! เฉินเฟิ่นอี้ เธอมาให้กำลังใจเฉินไห่หลิวกับเฉินตงเหรอ”
ระหว่างยืนรอ น้ำเสียงที่คุ้นหูก็เอ่ยทัก เฉินเฟิ่นอี้หันไปมองเป็นอี้เหม่ยเฟิ่งกับสะใภ้ใหญ่อี้ที่เชิดหน้าขึ้น ตากระตุกเล็กน้อย ยังไม่ได้สอบก็มีเรื่องเลย
“ก็คงแบบนั้นแหละจ้ะเหม่ยเฟิ่ง ถ้ามาสอบก็ตลกแล้ว” สะใภ้ใหญ่อี้หัวเราะ มองเฉินเฟิ่นอี้หัวจรดเท้าที่ไม่เจียมเนื้อเจียมตัว ยังกล้ามาโรงเรียนในวันสอบเทียบอีก
“เฟิ่นอี้ ไห่หลิว เฉินตง”
พี่ใหญ่เฉินเรียกหาลูกและหลานๆ ที่บอกให้รออยู่ตรงนี้ เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้สนใจแม่ลูกบ้านอี้ รีบลากน้องชายไปหาลุงใหญ่ ตอนนี้ต้องไปรอที่ห้องสอบหากช้าอาจถูกตัดสิทธิ์ได้
“มีอะไรกัน” ลุงใหญ่เฉินที่สังเกตเห็นแม่ลูกบ้านอี้เอ่ยถามเสียงเบา พวกเขาไม่ควรสร้างปัญหาเพราะเด็กๆ สามารถถูกตัดชื่อออกได้ ยิ่งปีก่อนก็มีตัวอย่างให้เห็น
“คงเป็นเสียงนกเสียงกาค่ะ ใกล้ได้เวลาสอบแล้วเราไปกันเถอะ”
“อืม”
“เข้าห้องสอบได้”
สิ้นเสียงประกาศ นักเรียนมัธยมต้นและนักเรียนมัธยมปลายก็รีบเดินเข้าห้องสอบด้วยความเงียบ เพราะทุกคนรู้กฎกติกาดีว่าควรทำตัวยังไง เฉินเฟิ่นอี้พอเห็นที่นั่งตนเองก็นั่งลง ข้างๆ มีเฉินไห่หลิวกับเฉินตงนั่งต่อกัน
[ภารกิจพิเศษ : สอบวิชาคณิตศาสตร์ได้เต็ม ระบบแลกของเปิดก่อนแต้มครบ]
ตุ้บ!
“ขอโทษค่ะ” เฉินเฟิ่นอี้รีบขอโทษครูคุมสอบทันทีหลังจากขาไปชนกับเก้าอี้
“อย่าส่งเสียงดัง”
เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้า เธอมองรอบข้างที่หันมาอย่างสนใจ คงแปลกใจไม่น้อยที่เห็นเธอในวันนี้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอสนใจนั่นก็คือกระดานใสตรงหน้าพร้อมข้อความ ตอนนี้เฉินเฟิ่นอี้มีคะแนนเก็บเจ็ดร้อยกว่าแต้ม เร็วสุดครึ่งเดือนเธอถึงจะเปิดระบบแลกของได้
ตอนแรกคิดว่าทำแค่ให้พอผ่านทุกคนจะได้ไม่สงสัย แต่ถ้าได้เต็มเธอจะเปิดระบบแลกของได้! เฉินเฟิ่นอี้อาศัยช่วงไม่มีคนมองกดรับภารกิจ แต่ละภารกิจจะมีเวลาให้รับได้หนึ่งชั่วโมง ถ้ารับไม่ทันมันก็จะเปลี่ยนภารกิจและได้รับคะแนนน้อยลง ที่เธอรู้ก็เพราะเคยทำแล้ว
‘ถ้าสอบได้เต็มสองวิชาขึ้นไป ข้าจะเพิ่มคะแนนแต้มให้นายหญิง’ เสียงระบบดังขึ้นในหัว
‘ยังไง’
‘ถ้าสอบได้เต็มสองวิชา จะเพิ่มคะแนนเก็บเป็นสองเท่า ถ้าได้เต็มทั้งหมดก็ได้เพิ่มเท่าที่ได้เต็ม’ ระบบอธิบายเสียงเริ่มอ่อนลงจนเฉินเฟิ่นอี้รู้สึกได้
‘ได้! ถ้าฉันได้เต็มทั้งสี่วิชา ก็ต้องคูณทั้งสี่นะ'
หืม เสียงเงียบไปแล้ว ไม่ได้ตอบกลับ อย่าบอกนะว่าระบบหลับไปแล้ว เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่าย ไม่รู้ว่าช่วงนี้เป็นที่ระบบหรืออะไรเขาจึงไม่ค่อยตอบ
ครูคุมสอบเริ่มแจกกระดาษคำตอบให้นักเรียนที่สอบเทียบ เฉินเฟิ่นอี้นั่งอยู่กลุ่มท้ายๆ เธอจึงเห็นว่าทุกคนยังไม่ได้แตะกระดาษคำตอบ แม้แต่เฉินตงที่ได้ก่อนเธอก็ยังไม่ได้แตะ เฉินเฟิ่นอี้จึงนั่งมองเงียบๆ เพื่อดูสถานการณ์ก่อน
“วิชาวิทยาศาสตร์มีเวลาทำสองชั่วโมง เริ่มสอบได้” สิ้นเสียงครูคุมสอบทุกคนก็เปิดกระดาษคำตอบ
สอบเทียบวันนี้มีทั้งหมดสี่วิชา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาต่างประเทศและสังคมศึกษา ทั้งหมดวิชาละหนึ่งร้อยข้อ ขอแค่ผ่านห้าสิบข้อขึ้นไปก็สอบผ่านแล้ว ยกเว้นภาษาต่างประเทศที่สอบได้สามสิบข้อขึ้นไปก็ผ่าน เพราะวิชานี้นักเรียนน้อยคนนักที่จะได้ถึงครึ่ง
เฉินเฟิ่นอี้เริ่มลงมือทำ มือข้างหนึ่งเปิดกระดาษคำถามไปด้วย วิทยาศาสตร์ไม่ได้ยากอย่างที่คิด มันคล้ายๆ กับข้อสอบของเด็กประถมในตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่
มือขาวเปิดกระดาษทบทวนเนื้อหาและคำตอบอีกรอบก็ปิดกระดาษคำตอบลง เงยหน้าขึ้นก็ต้องสะดุ้งเพราะมีครูคุมสอบยืนอยู่ด้านหน้า เฉินเฟิ่นอี้ก้มหน้าเล็กน้อยพร้อมยกมือลูบอก แอบเห็นว่ายังไม่มีใครเงยหน้าขึ้นมา เธอทำเร็วเกินไปเหรอ?
“เหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที”
หาาา เมื่อบวกลบเวลาแล้วเธอก็ทำไปแค่สี่สิบห้านาที! ซึ่งถ้าเวลาสอบไม่หมดครูคุมสอบก็ไม่อนุญาตให้ออกไป เฉินเฟิ่นอี้จึงคว่ำกระดาษคำตอบลงพร้อมพยักหน้า
ยังดีที่ครูคุมสอบไม่ได้ดุมาก เมื่อเขาเดินตรวจด้านหลังเฉินเฟิ่นอี้จึงแอบมองของเฉินไห่หลิวกับเฉินตงที่ยังไม่ถึงสามสิบข้ออย่างตกใจ ถ้าเธอทำถูกหมดครูจะเรียกพบหรือเปล่านะ!
เฉินเฟิ่นอี้มองไปที่โต๊ะอื่น ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียดและยังไม่หยุดทำข้อสอบ หมายความว่ายังสอบไม่เสร็จ เธอยกมือเท้าคางกับโต๊ะด้วยความเบื่อหน่าย ในหัวก็นึกถึงภาษาต่างประเทศ หรือภาษาอังกฤษและคณิตศาสตร์ที่เคยได้เรียนมา
“พี่ พี่ครับ”
เฉินเฟิ่นอี้ลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย แขนข้างขวาที่ใช้ค้ำกับโต๊ะชาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ตอนนี้ทุกคนทยอยเดินออกจากห้องสอบแล้ว! เธอหลับเหรอ
“สอบเสร็จแล้วเหรอ”
“ใช่ครับ เก็บของกันเถอะ อีกสักพักเราต้องสอบคณิตศาสตร์” เฉินตงพยักหน้า
โอ้โห เธอคงจะหลับลึกไปจริงๆ แม้แต่คุณครูบอกวิชาที่สอบถัดไปก็ยังไม่รู้สึกตัว เฉินเฟิ่นอี้เห็นว่ากระดาษคำตอบยังไม่ได้ส่งรวมถึงของน้องชายทั้งสอง จึงรีบเก็บของบนโต๊ะและนำกระดาษคำตอบไปส่งที่คุณครูคุมสอบ