นักเรียนมัธยมทุกคนนิ่งเงียบ พวกเด็กผู้ชายหันไปคุยกันเรื่องความขี้เก๊กของรุ่นพี่ ฝ่ายเด็กผู้หญิงยังคงมองใบหน้าหล่อเหลานั้นอย่างเพ้อ ๆ
“ปิ่น พาครูฝนขึ้นไปเลย” ธาวินออกคำสั่ง หญิงสาวที่ชื่อปิ่นก็พยักหน้ารับ แม้จะไม่ค่อยเต็มใจสำหรับการพาน้อง ๆ เดินขึ้นดอยให้เหนื่อย ถึงกระนั้นปิ่นก็ไม่สามารถออกคำสั่งหรือโน้มน้าวชายหนุ่มมาดขรึมตรงหน้าได้เลย
“มาครับ ลุกขึ้น แล้วตามหลังพี่มาเลย” ธาวินว่าก่อนจะเดินนำไปยังทางลาดชันขึ้นไปบนดอยน้ำค้าง
บรรดานักเรียนหญิงที่เคยมีปัญหาจึงได้พลังความหล่อเหลาของธาวินช่วยหล่อเลี้ยงเป็นพลังกายและพลังใจให้ฮึดสู้เดินตามกันขึ้นดอยไป โรสลินนิ่งไปครู่ใหญ่ ทำให้ตะวันวาดจับสังเกตได้
“ใช่พี่คนนั้นมั้ยอะ ที่มาโรงเรียนพร้อมโซ่ทุกวัน” เพื่อนสนิทเอ่ยถามขณะที่เดินตามหลังโรสลินไปตามทางลาดชัน
“อื้อ ใช่ ไม่ได้เจอกันเดือนกว่าแล้วล่ะ พี่เขาบอกว่าเรียนหนัก แต่เจอกันครั้งก่อนก็ไม่ยอมบอกสักนิดว่าจะทำค่ายร่วมกับโรงเรียน” โรสลินบ่นงึมงำเสียงหงอย โชคดีที่การเรียนและการสอบในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายค่อนข้างหนักหนาสาหัส จึงช่วยดูดความสนใจของโรสลินไปได้สำเร็จ ทำให้ความคิดถึงที่มีต่อธาวินลดน้อยลง
แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น…
“แกไม่ทักซะหน่อยเหรอ” ตะวันวาดถามขึ้นเมื่อเห็นว่าพวกเธอเดินเข้าไปใกล้กับพี่ธาวินมากแล้ว โรสลินส่ายหน้าก่อนจะผ่อนฝีเท้าลงแล้วหันมามองเพื่อนของตน
โรสลินสั่นศีรษะ “เอาไว้ก่อนดีกว่า” โดยไม่ได้ขยายความเพิ่ม
การเดินขึ้นดอยยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ เด็ก ๆ นักเรียนหลายคนอ่อนล้าจนต้องขอเวลานั่งพัก ซึ่งธาวินก็ไม่ได้ขัด ชายหนุ่มยืนพิงต้นไม้รอเหล่าเด็กมัธยมอย่างวางมาด
พี่ชายคนสนิทของโรสลินเจอกันหนนี้พูดน้อยลงเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังมีสีหน้าเข้มขรึมตลอดเวลาอีกด้วย โรสลินแอบใช้สายตาลอบสำรวจเครื่องหน้าแสนหล่อเหลาราวกับพระเจ้าปั้นของธาวิน ชายหนุ่มมีสันกรามที่ชัดขึ้นกว่าเดิม ดวงตาสีเข้มทอประกายความดุดัน ไร้ซึ่งแววขี้เล่นดังเดิม จมูกโด่งเป็นสันดูเผิน ๆ ราวกับนายแบบชั้นนำบนปกนิตยสารระดับโลก เธอเพ่งมองอยู่นานก่อนที่สายตาดุดันนั้นจะมองสบเข้ากับเธอ
เด็กสาวรีบหลบสายตานั้นทันทีก่อนจะเสมองไปทางอื่น แม้มันจะเป็นการกระทำที่ไม่เนียนเลยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นเธอก็ไม่ยอมหันกลับไปมองซ้ำอีกครั้ง โรสลินรีบลุกขึ้นจากการนั่งพักพร้อมกับดึงมือตะวันวาดให้ลุกตามไปด้วย
“เฮ้ย! โซ่ แกจะรีบไปไหนเนี่ย เรายังพักไม่หายเหนื่อยเลยนะ” ตะวันวาดร้องท้วงแต่ก็โดนแรงลากของเพื่อนให้ลุกเดินไปได้สำเร็จอยู่ดี
“เราไม่อยากนั่งพักแล้ว ไปกันดีกว่า” โรสลินว่าตัดบท ก่อนจะเดินไปรวมกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายที่รู้ทางจากการอ่านป้าย
เธอหันกลับไปมองธาวินก็พบว่าชายหนุ่มนั้นเดินตามหลังเพื่อน ๆ ที่เดินรั้งท้ายขึ้นมา เพียงแค่แวบเดียว สายตาของเธอก็สบเข้ากับธาวินอีกครั้ง โรสลินจึงรีบหันกลับแล้วเดินเร่งฝีเท้าไปทันที
“เฮ้ย! โซ่! รอด้วยดิ๊ แกไปรีบมาจากไหนวะเนี่ย” ตะวันวาดเร่งฝีเท้าให้ทันเพื่อน
อีกครู่ใหญ่ เหล่านักเรียนชั้นมัธยมปลายทั้งหมดก็เดินขึ้นมาถึงยอดดอยน้ำค้าง แม้จะเป็นช่วงสายแล้วแต่อากาศข้างบนก็ยังคงหนาวเหมือนกับว่าเป็นตอนกลางคืน
เหงื่อที่อาบโทรมกายแห้งลงโดยเร็ว เพราะความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศต่ำอย่างมาก ทั้งหมดเดินไปรวมกันที่ลานคอนกรีตกว้างกลางแจ้งเพื่อรับความอบอุ่นและฟังรายละเอียดค่าย
“สวัสดีค่ะน้อง ๆ ทุกคน” เสียงประกาศจากไมโครโฟนเรียกความสนใจจากเด็ก ๆ ทั้งสามสิบคนได้ทันที เจ้าของเสียงใสนั้นเอ่ยต่อ “ยินดีต้อนรับน้อง ๆ ทุกคนเข้าสู่ค่ายน้ำค้างกลางหนาว บิซิเนสแอนด์กรีนทริปนะคะ ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อนเลย พี่ชื่อพี่ปิ่นนะคะ เป็นสตาฟค่ายฝ่ายสันทนาการค่า”
ทุกคนต่างปรบมือเกรียวกราว เป็นการเริ่มต้นค่ายที่ดี
“ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่พิธีการเปิดค่ายนะคะ พี่อยากให้น้อง ๆ เอาสัมภาระไปเก็บไว้ที่ด้านในหอประชุมก่อน เพราะหลังจากเสร็จสิ้นพิธีเปิดค่ายแล้ว พี่จะทำการจัดห้องให้น้อง ๆ นำของไปเก็บ ตอนนี้เอาไปไว้ในหอประชุมก่อนค่ะ ลุกเลยค่ะ”
น้อง ๆ เมื่อได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นเดินนำสัมภาระที่ติดตัวอยู่ไปเก็บไว้ที่หอประชุมตามคำสั่ง สตาฟสาววางไมโครโฟนลงก่อนจะยืดเส้นยืดสาย ปิ่นหรือในชื่อจริงที่ว่า กมลลักษณ์ เธอเป็นคนผิวสีน้ำผึ้ง หน้าตาสะสวยคมคาย วาทศิลป์เป็นเลิศ มีความเป็นผู้นำสูง ทำให้ได้รับตำแหน่งเป็นถึงรองประธานค่าย
“น้อง ๆ ทุกคนเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วใช่มั้ยคะ”
“ใช่แล้วครับ/ใช่แล้วค่ะ” น้องค่ายทุกคนตอบรับคำด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่หลาย ๆ คนได้เห็นบรรยากาศค่ายแล้ว ความเหนื่อยจากการเดินขึ้นดอยก็หายเป็นปลิดทิ้ง
“โอเคค่า แต่ตอนนี้เรายังไม่เปิดค่ายอย่างเป็นทางการนะคะ แต่จะมีการเต้นสันทนาการก่อน เอ้า! จับมือกันเป็นวงกลม เป็นวงกลมเป็นวงใหญ่ ๆ จับมือกันให้ไว ๆ จับมือไว ๆ เป็นวงกล๊มวงกลม~” กมลลักษณ์ร้องเพลงออกมาให้น้อง ๆ เริ่มกิจกรรมสันทนาการ
เด็ก ๆ ทั้งสามสิบคนลุกขึ้นแล้วทำการเต้นตามท่าที่พี่ ๆ สอน โดยเพลงแรกที่ได้เล่นในการเปิดค่ายนั้น ย่อมไม่ใช่เพลงอื่นไกลที่ไหน แต่เป็นเพลงแนะนำตัวเองนั่นเอง
“น้องชื่ออะไร น้องชื่ออะไร น้องชื่อ...” เสียงร้องเพลงดังลั่นลานกว้าง ในเพลงนี้มีท่าเต้นที่ค่อนข้างลามก ทำให้ธาวินที่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ อยากจะปราม แต่เพราะไม่ใช่กิจกรรมในความรับผิดชอบของตน เขาจึงเลือกที่จะเงียบไว้เพื่อดูสถานการณ์ก่อนดีกว่า
“น้องชื่ออะไร น้องชื่ออะไร น้องชื่อ...” ไมโครโฟนถูกจ่อมาที่ปากของโรสลินที่กำลังตบมืออยู่เธอชะงักด้วยความตกใจ
“ซะ... โซ่” ตอบไปเสียงตะกุกตะกักจนพี่ ๆ ร้องโห่
“โห่ อะไรอะน้อง ตอบให้เต็มคำหน่อยสิคะ แหม” หนึ่งในสตาฟว่าขึ้นแล้วเริ่มร้องเพลงใหม่
“น้องชื่ออะไร น้องชื่ออะไร น้องชื่อ...”
“โซ่” โรสลินหลับหูหลับตาตอบไป
“น้องชื่อ...” พี่สตาฟถามซ้ำตามคำร้องของเพลง
“โซ่” โรสลินตอบอีกหนด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม
“ชอบทำท่าอย่างงี้ อย่างงี้” พี่สตาฟร้องตามเพลง ซึ่งในท่อนนี้ คนที่โดนถามชื่อจะต้องทำท่าทางอะไรก็ได้ที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง ซึ่งโดยส่วนมากจะเป็นท่าเต้นแบบใช้เอวใช้ก้นมากเสียหน่อย
โรสลินคิดไม่ทัน จึงชูสองนิ้วขึ้นเหนือศีรษะพลางกระดิกนิ้ว ทำท่าเป็นกระต่าย
“โห่ อะไรคะเนี่ยน้องโซ่ ไม่ได้ค่ะ หนูต้องมีสเต็ปที่เลิศกว่านี้ เอาใหม่ค่ะ” พี่สตาฟยังคงเซ้าซี้ไม่หยุด “ต้องเต้นร่อน ๆ บดลงไปค่ะ โยกลงไปค่ะเอวน่ะ”