ตอนที่ 1
@บ้านวงศ์รัตนกรกุล
"ไพลิน หลังเรียนจบ เดือนหน้าลูกต้องไปช่วยงานที่ไร่ชานะ" เดชาผู้เป็นพ่อเอ่ยขึ้นบอกลูกสาวคนเล็กระหว่างที่กำลังทานอาหารมื้อเย็นกัน โดยมีสายพิณนั่งอยู่ข้างกายที่เอาแต่เงียบไม่ปริปากพูดอะไรออกมา
"ค่ะ" หน้าที่ของไพลินคือการไม่ต่อล้อต่อเถียงหรือขัดใจเดชา เพราะเธอไม่ต้องการให้พ่อกับแม่ต้องทะเลาะกัน จึงเลือกที่จะตอบตกลงอย่างง่ายดาย บางทีการที่เธอไปจากที่นี่อาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นก็ได้ แต่ก็ห่วงอยู่อย่างเดียวก็คือแม่ของเธอ
เธอกลัวว่าแม่จะถูกกลั่นแกล้งหากไม่มีเธออยู่ที่นี่ ทว่าแม่กลับพยักหน้าให้ลูกเป็นสัญญาณว่าอยากจะให้เธอไปที่ไร่ตามที่พ่อบอก ซึ่งเธอก็อิดออดใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายเธอก็เลือกอะไรไม่ได้อยู่ดี
"ห้ามดื้อ ห้ามทำตัวเถรไถลเด็ดขาด" เดชารีบออกคำสั่งห้ามปรามลูกสาวเอาไว้ทันที
"พ่อไม่ต้องกลัวว่าหนูจะทำให้พ่อเสื่อมเสียชื่อเสียงหรอกค่ะ และอีกอย่างหนูโตแล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงหรอก"
"ตามนี้นะ เตรียมตัวไว้ด้วยล่ะ"เดชารีบตัดบท ก่อนจะลุกออกไปจากโต๊ะทานอาหารทันที
ไพลินเสียใจเล็กน้อยที่ต้องยอมรับชะตากรรมของตัวเองอย่างไม่เต็มใจ เพราะรู้ดีว่ายังไงพ่อก็คงจะไม่ยอมฟังเหตุผลที่ไร้ค่าของเธออีกตามเคย ไม่ว่าจะกี่ครั้งมันก็เป็นแบบนั้นมาตลอดอยู่แล้ว จนเธอรู้สึกว่าบ้านเปรียบเสมือนนรกของเธอก็ไม่ปาน สาเหตุก็คงเป็นเพราะเมื่ออาทิตย์ที่แล้วรถของเธอเสียบคาอยู่กับกำแพงบ้าน พ่อเลยปักใจเชื่อว่าเป็นฝีมือของเธอที่ทำแบบนั้น โดยไม่ฟังคำอธิบายของเธอเลยสักนิดเดียว และเหลือเวลาเพียงไม่ถึงสองสัปดาห์เธอก็จะเรียนจบแล้ว ก็คงอยากจะดัดนิสัยเธอด้วยการส่งไปทำงานที่ไร่ชากับผู้ชายที่เธอไม่อยากจะเจอหน้ามากที่สุด
หญิงสาวสะบัดเรื่องราวน่าปวดหัวออกจากสมอง ก่อนจะหันไปโฟกัสกับการสอบปลายภาคครั้งสุดท้ายก่อนที่จะเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้วจริงๆ แม้อาจจะเถรไถรบ้าง ใช้ชีวิตแบบสุดเหวี่ยงไปบ้าง แต่เธอไม่เคยทำเรื่องไม่ดีหรือเสื่อมเสียอย่างที่พ่อเชื่อ มีเพียงแม่กับพี่ชายเท่านั้นที่เชื่อใจเธอ ส่วนพ่อกลับเลือกที่จะเชื่อใจคนอื่นมากกว่าลูกสาวของตัวเอง
@มหาลัย
“ยัยลินมาแล้ว” เสียงแหลมตะโกนดังขึ้น เมื่อหญิงสาวเปิดประตูก้าวเข้ามาในห้อง หน้าตาซังกะตายของเธอ ทำให้เพื่อนๆ รีบหุบยิ้มลงทันที
“ยัยลิน สอบเสร็จไปเที่ยวกันเถอะ”
“คงจะไม่ได้แล้วล่ะ พ่อจะให้ฉันไปช่วยงานที่ไร่น่ะ”
“หา! ไร่ชาของพ่อแกน่ะเหรอ” มะปินตะโกนถามอย่างตกใจ
“ใช่”
“โถ่ ยัยลิน” มะปินสงสารเพื่อนสนิทจับใจ ก่อนจะย้อนนึกถึงวันที่เกิดเรื่องทำให้ไพลินต้องโดนพ่อแม่ลงโทษแบบนี้
“ช่างมันเถอะ”
“ไม่ได้ ทำไมแกไม่บอกพ่อไปว่าวันนั้นแกไม่ใช่คนขับรถ แต่เป็นยัยลูกสาวคนใช้นั่นต่างหากที่แอบเอารถแกไปขับจนเกิดเรื่อง”
“หลักฐานก็เห็นอยู่คาตา ใครจะเชื่อฉันล่ะ” ไพลินตัดพ้อ ถึงพูดความจริงไปก็ไม่มีใครเชื่อ ยัยลูกสาวแม่บ้านที่เรียบร้อย พูดเพราะ ท่าทางน่ารัก กับ เธอที่ท่าทางกระโตกกระตาก พูดไม่เพราะกับคนอื่น นิสัยก็ไม่ดี ใครๆ ก็ต้องเชื่อยัยนั่นมากกว่าเธอกันทั้งนั้น
“ถ้างั้นก็ติดต่อมาหาฉันบ้างนะ”
“อืม ถ้ากลับมาเมื่อไหร่จะรีบโทรนัดเลย”
“ดีมากจ้ะเพื่อน” เสียงโหวกเหวกของแก๊งเพื่อนสนิทค่อยๆ เงียบลง เมื่อเพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ เริ่มทยอยเข้ามา ก่อนจะปิดท้ายด้วยอาจารย์ที่เข้ามาพูดคุยกับพวกเธอในฐานะอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกคนจะเรียนจบและแยกย้ายกันไป
และวันที่เธอไม่อยากจะให้มาถึงก็มาถึงในที่สุด ไพลินต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้าตรู่ มาขึ้นเครื่องบินเพื่อไปยังไร่ชาให้ทันก่อนถึงแปดโมงเช้า หญิงสาวได้แต่ยืนรอคนมารับที่หน้าสนามบิน จนเวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีก็ไม่ยังไม่เห็นว่าจะมีคนมารับเธอ เมื่อโทรไปตามเบอร์ที่ได้มาก็ไม่มีใครรับสายเลย จึงทำได้เพียงยืนรอต่อไป
"ขอโทษนะครับ คุณไพลินใช่ไหมครับ" น้ำเสียงทุ้มหนักแน่นดังขึ้นมาจากทางด้านหลังของเธอ ไพลินรีบหันไปมองอย่างดีใจ ก่อนจะเอ่ยทักทายเสียงดัง
"สวัสดีค่ะ ลุงโรจน์"
หญิงสาวยกมือไหว้ผู้ใหญ่ตามมารยาท ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความดีใจ
วิโรจน์ คนงานในไร่ชาที่ช่วยงานพ่อของเธอตั้งแต่พ่อของเธอยังไม่ได้มีทรัพย์สินมากมายขนาดนี้ หรือจะบอกว่าเป็นคนที่อยู่เคียงบ่าเคียงไหล่พ่อของเธอมานานเลยก็ว่าได้
"ไม่เจอกันนาน คุณหนูโตขึ้นเยอะเลยนะครับ เรารีบไปกันดีกว่าครับ คุณเสือรออยู่" วิโรจน์ช่วยเธอยกกระเป๋าก่อนจะพาไปที่รถกระบะคันเก่าที่จอดอยู่บริเวณด้านหน้าของสนามบิน
รถกระบะคันเก่าที่อยู่มาเกือบยี่สิบปีดูทรุดโทรมลงไปมาก เธอจำว่าตอนที่เธอยังเด็ก เธอชอบนั่งรถคันนี้เข้าไปในไร่กับพ่อบ่อยๆ ระยะทางจากสนามบินไปจนถึงไร่ชาใช้เวลาราวๆ สองชั่วโมง ด้วยเส้นทางที่ไม่ค่อยจะเจริญนัก อีกทั้งยังอยู่บนดอยทำให้ค่อนข้างจะลำบากและใช้เวลานิดหน่อย
รถกระบะคันเก่าจอดลงที่ด้านหน้าของบ้านไม้สองชั้นขนาดใหญ่ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บริเวณด้านในสุดของไร่ ถัดไปทางขวาราวๆ สามกิโลเมตรจึงเป็นบ้านพักและโรงอาหารของคนงาน บริเวณรอบๆ ของที่นี่เป็นภูเขาและป่าเกือบทั้งหมด
และนอกจากที่นี่จะมีไร่ชาของพ่อเธอแล้ว ก็ยังมีสวนผักผลไม้เล็กๆ แต่มีหลากหลายชนิดเก็บกินได้เกือบทั้งปี มีการเลี้ยงสัตว์เพื่อส่งขายที่ตลาดในเมืองและเอาไว้ทำอาหารกันเองได้ด้วย
"คุณหนูครับ นี่ครับกระเป๋า ผมต้องไปแล้วล่ะครับต้องไปตรวจงานในไร่นิดหน่อยครับ" วิโรจน์ยกกระเป๋าลงให้ ก่อนที่จะเอ่ยบอกเธอ
"ค่ะ ขอบคุณที่ไปรับลินนะคะ"
ไพลินยกกระเป๋าเดินทางเข้าไปภายในบ้านด้วยตัวเอง เธอไม่ได้มาที่นี่นานหลายปีแล้ว นับตั้งแต่ย้ายไปอยู่ในกรุงเทพเพราะที่นั่นมีธุรกิจที่ต้องการคนดูแล ส่วนที่นี่ก็ให้หุ้นส่วนเป็นฝ่ายดูแล