“โอ๊ย! อิ่มแปล้เลย ว่าแต่เราจะไปไหนกันต่อเหรอ” หลังจากออกจากโรงเตี๊ยมด้วยความอิ่มแปล้ อารมณ์เธอก็ดีขึ้น ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ซ้ำยังทำให้คนข้างๆ พลอยเปลี่ยนไปด้วย เมื่อเธอยื่นหน้าเข้ามาถามใกล้ๆ
“พาเจ้าไปซื้อเสื้อผ้า” เขาพยายามปรับสีหน้าให้เรียบเฉยดังเดิม ก่อนจะรีบเดินนำออกไปเร็วๆ กระทั่งเดินมาถึงร้านผ้าชื่อดังของเมืองนี้
“อีอีเจ้าพานางเข้าไปเลือกเถอะ ข้ากับเสี่ยวไป๋จะรออยู่ด้านนอก” เขาหันไปสั่งสาวใช้ พลางเดินไปยืนรออยู่หน้าร้าน
“แล้วเอ่อ…จะให้เลือกเสื้อบุรุษหรือสตรีดีเจ้าคะ” ถงอีอีเดินกลับมากระซิบถามอีกครั้ง หลังเพิ่งนึกขึ้นได้
“ช่วงนี้คงต้องให้นางแต่งเป็นบุรุษไปก่อน ฝากเจ้าจัดการด้วยแล้วกัน เอานี่ไป” เขาบอกก่อนจะยื่นถุงเงินให้
“ทางนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้รีบเข้ามาดึงแขนของคนที่กำลังเลือกให้เดินไปอีกทาง
“แต่นี่มันเสื้อผ้าบุรุษนะ เจ้าต้องกำลังสับสนอยู่แน่ๆ ใช่ไหมอีอี ฮ่าๆๆ” คนที่ถูกลากจากมาจากฝั่งเสื้อผ้าสตรีมองคนข้างๆ พลางหัวเราะเสียงเจื่อน ครั้นพอเห็นอีกฝ่ายพยักหน้าเสริม เธอก็โวยวายทันที
“ไม่ๆๆ บอกข้าสิว่าเจ้าแค่ล้อเล่น” เธอจับแขนอีกฝ่ายเขย่าแรงๆ แต่รายนั้นได้แต่ส่งสายตารู้สึกผิดกลับมา
“ไม่นะ ทุกคนจะทำกับฉันแบบนี้ไม่ได้ ฉันคือแฟชั่นนิสต้าตัวแม่เชียวนะ จะปิดบังความสวยของฉันแบบนี้ไม่ได้” เธอโอดครวญ
“อดทนรออีกสักหน่อย ให้เวลาคุณชายได้คิดอีกสักนิดนะเจ้าคะ” สาวใช้ทำได้แค่ปลอบ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้คนถูกปลอบรู้สึกดีขึ้น
“คิด? คิดอะไรอีอี มีอะไรให้ต้องคิด แค่ต้องย้อนเวลามาอยู่ในที่ที่ไม่รู้จัก ต้องกลายเป็นปลา ฉันก็เครียดมากพอแล้ว นี่ยังจะให้แต่งตัวเป็นชาย ปิดบังความสวยที่ฉันภูมิใจนักหนาอีก โกรธเกลียดอะไรฉันนักหนาเหรอ แค่สวรรค์ไม่เมตตา ฉันก็ทุกข์มากพอแล้ว พวกเธอยังมารุมรังแกฉันอีก” คนที่เพิ่งผ่านเรื่องร้ายๆ มาอดไม่ได้ที่จะรำพึงรำพันด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“อีอีไร้ความสามารถ ไม่เข้าใจที่คุณหนูกล่าว ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ” ถงอีอีถอนสายบัวให้อย่างลุแก่โทษ
“เฮ้อ! ช่างเถอะ มาถึงขั้นนี้แล้วนี่ พูดไปก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น”
“งั้นเรามาช่วยกันเลือกดีกว่านะเจ้าคะ มีแต่ผ้าดีๆ งามๆ ทั้งนั้นเลยเจ้าค่ะ” เห็นนายสาวทำหน้าเซ็ง สาวใช้จึงพยายามเบี่ยงเบนด้วยการหยิบเสื้อผ้าบุรุษเนื้อดีมาให้เลือก
“เจ้าเลือกเถอะ ต่อให้ผ้างามแค่ไหน ก็ไม่ช่วยให้ข้างามขึ้นอยู่ดี ตราบใดที่ข้ายังไม่ได้เป็นตัวเอง เฮ้อ! ทำไมชีวิตมันถึงได้ยากขนาดนี้นะ” เธอถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง กระทั่งเหลือบไปเห็นผ้าพับหนึ่งที่วางอยู่ และมันก็สวยจนอดใจไม่ไหว ต้องเดินไปสัมผัสใกล้ๆ
“สวยจัง” เธอครางพลางลูบไปที่ผ้าผืนนั้นซ้ำๆ กระทั่งเจ้าของร้านเดินเข้ามา
“นี่เป็นผ้าทอที่หายากมาก ต้องใช้เวลาและความปราณีตมากที่สุด แล้วก็เป็นผ้าเนื้อดีที่สุด คุณชายช่างตาแหลมนัก” เถ้าแก่เจ้าของร้านบอกพลางหยิบผ้าผืนดังกล่าวมาคลี่ให้ดู
“เช่นนั้นผ้าผืนนี้ก็คงต้องแพงที่สุดแล้วสินะ” เธอลองหยั่งเชิง
“อาจจะไม่ได้แพงที่สุดในบรรดาผ้าเนื้อดีชั้นเลิศ แต่ก็แพงที่สุดในร้านข้า หรือจะพูดให้ถูกก็คงแพงที่สุดในเมืองนี้แล้วขอรับ” เถ้าแก่บอกด้วยความภาคภูมิ
“อืม! มันก็ควรจะแพงอย่างที่ท่านว่านั่นแหละ เนื้อผ้าดีขนาดนี้ ถ้านำมาตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าคงจะใส่สบายแล้วก็สวยงามน่าดู”
“ใช่ขอรับ โดยเฉพาะถ้าเป็นเสื้อผ้าสตรีจะงามนัก หากท่านต้องการตัดเสื้อผ้าเพื่อส่งเป็นของกำนัลให้สาวงามล่ะก็ ทางร้านมีช่างตัดเย็บฝีมือดีนะขอรับ” เจ้าของร้านนำเสนออีก หลังเห็นเธอแสดงท่าทีว่าสนใจนักหนา
“เห็นจะไม่ต้อง เพราะข้าเองก็มีช่างฝีมือดีไม่แพ้กัน” แน่นอนว่าช่างที่ว่านั่นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นตัวเธอเอง
“รอข้าประเดี๋ยวนะ” เธอหันมาบอกพ่อค้า แล้วเดินกลับไปหาถงอีอี
“อีอี ถามอะไรหน่อยสิ”
“เอ่อ…เจ้าค่ะ” ถงอีอีรับคำพลางมองอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก
“ฐานะคุณชายของเจ้าเป็นไงเหรอ หมายถึงเอ่อ…เขารวยไหม” เธอลองหยั่งเชิง
“ถ้าจะพูดกันตามตรง สกุลฝูก็ไม่น้อยใครในเมืองนี้เจ้าค่ะ ว่าแต่คุณหนูถามทำไมเจ้าคะ” ท้ายประโยคสาวใช้หันมากระซิบถาม ด้วยไม่อยากให้คนในร้านได้ยินด้วย แต่คนถูกถามกลับยิ้มเจ้าเล่ห์แทนคำตอบ
กระทั่งผ่านไปหนึ่งเค่อ (15 นาที) สองสาวก็ออกมาพร้อมกับกองผ้าหลายพับ
“เหลือกลับมาแค่นี้ คุณชายเอาข้าตายแน่ๆ เลยเจ้าค่ะ” ถงอีอีมองเงินในถุงผ้าแล้วถึงกับโอดครวญ
“เอาน่าอีอี เรื่องนี้ข้ารับผิดชอบเอง ข้านี่แหละจะทำให้ตำลึงที่คุณชายของเจ้าเสียไปในวันนี้ งอกเงยกลับมาเป็นร้อยเท่า ไม่เชื่อก็รอดูฝีมือข้าได้เลย” เธอบอกด้วยความมั่นใจ ขณะหันกลับไปมองกองผ้ามากมายที่คนในร้านพากันยกตามออกมา
“นี่มันอะไรกัน” เจ้าของเงินอย่างฝูฟาหยางถึงกับเสียงเข้มทันที เมื่อพบว่าสองสาวเดินออกมาพร้อมกับข้าวของมากมาย
“อีอีไม่ดีเอง ลงโทษอีอีเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้แทบจะคุกเข่าลงไป ถ้าไม่ติดว่าลู่อวี๋รั้งเอาไว้ซะก่อน
“ไม่ใช่ความผิดของเจ้าสักหน่อย ถ้าจะโทษก็ต้องโทษข้า แต่ท่านก็ไม่ควรโทษข้าอยู่ดี เพราะข้ากำลังจะทำประโยชน์ให้ท่าน” เธอหันมาประจันหน้าอย่างไม่คิดจะเกรงกลัว
“ประโยชน์?”
“ใช่ อย่างน้อยตำลึงที่ท่านเสียไปวันนี้ก็จะไม่สูญเปล่า ข้าจะทำให้มันงอกเงยขึ้นมาเป็นหลายเท่าตัว ถือซะว่าข้ายืมเงินลงทุนจากท่านก็แล้วกัน พอข้ามีรายได้ จะได้ไม่อดตายไง” เธอบอกตามที่ใจคิด
“ข้าไม่เคยคิดจะให้เจ้าอดตาย” เขาบอกด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ก็ใช่ แต่ข้าก็อยากพึ่งพาตัวเองได้ ไม่ต้องลำบากพึ่งพาท่านให้มากเกินไป หรืออย่างน้อยก็จะได้มีอะไรทำระหว่างที่ยังหาทางกลับบ้านไม่ได้”
“งั้นก็แล้วแต่ ไปกันเถอะ” เขาตัดบทก่อนเดินนำออกไป
“เป็นอะไรของเขาเนี่ย หรือว่าเราพูดอะไรผิดไป โอ๊ย! ทำไมเป็นคนเข้าใจยากแบบนี้เนี่ย” เธอเกาหัวแกรกๆ ด้วยความงง ก่อนรีบเดินตามเขาไป กระมั่งถึงโรงม้าที่เขานำมาฝากไว้