ตอนที่8 ||จีม่อชงกับเด็กสาวผู้มีพระคุณในวันวาน
ในปีนั้นจีม่อชงยังจำได้ไม่เคยลืมเลือนเขาได้รับมอบหมายจากฉางตี้ฮ่องเต้ให้เดินทางผ่านไปตรวจสอบที่ซ่องสุมของค่ายกองกำลังทหารลับๆ ที่องค์ชายรองซุกซ่อนเอาไว้ที่เชิงเขาไถ่ซาน ใครจะคาดเขากลับถูกสายลับเหล่านั้นวางแผนตลบหลังลอบโจมตีจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดหลบหนีพวกนักฆ่าจนไปพบเข้ากับเด็กสาวทั้งสามคนที่ลงมาเก็บฟืนที่เชิงเขาไถ่ซานพวกนางที่พบเขาจีม่อชงคิดว่าอายุคงราวสิบสามปี และหนึ่งในสามก็เข้ามาให้การช่วยเหลือเขาโดยเรียกให้อีกสองคนเข้ามาช่วยเหลือเขาอย่างไม่คิดหวาดกลัวที่ทั่วร่างของเขาในยามนั้นเต็มได้ด้วยโลหิต
แน่นอนว่าเด็กสาวสามคนที่มีรูปร่างบอบบางคงไม่ง่ายที่จะพาบุรุษในวัยฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่กว่าแปดฉื่อนั้นหลบหนีขึ้นเขาไปได้ง่ายดายแต่เด็กสาวที่ดูแล้วจะเป็นคุณหนูจากสกุลสูงศักดิ์ก็ออกคำสั่งให้เด็กสาวอีกสองคนที่คงเป็นสาวใช้ของนางนั้นช่วยกันนำไม้กระดานมาผูกกับเชือกแล้วให้เขาขึ้นไปนอน
โดยที่นางบอกกับเขาว่านางจะพาเขาขึ้นไปพบอาจารย์บนยอดเขาไถ่ซานซึ่งเป็นสำนักศึกษาที่มีอาจารย์หลายท่านมีความรู้ด้านการแพทย์คงสามารถช่วยรักษาเขาได้วันนั้นจีม่อชงที่ขณะนั้นยังเป็นหัวหน้าองครักษ์ชั้นในที่ขึ้นตรงกับองค์ไท่จื่อซ่างกวนโทวจึงผ่านความตายมาได้จนถึงวันนี้ พอรอดชีวิตคราวนั้นจีม่อชงจึงประทับใจเด็กสาวผู้ที่ออกความคิดช่วยชีวิตของเขาเอาไว้อย่างกล้าหาญและเฉลียวฉลาดยากจะลืมแต่ในยามนั้นเขาก็แค่ประทับใจ
เพราะขณะนั้นหลี่หมิ่นถังอายุเพิ่งจะสิบสามปีนางยังเยาว์นักเขาประทับใจที่นางตัวเล็กนิดเดียวแต่ใจของเด็กสาวกลับกล้าหาญเกินรูปกายไปมาก เนื่องจากนางให้การช่วยเหลือเขาที่เป็นบุรุษตัวโตทั้งที่ข้างกายของนางมีเพียงสาวใช้แค่สองคนหลี่หมิ่นถังออกหัวคิดให้ใช้แผ่นกระดานลากเขาที่ใกล้หมดสติขึ้นเขาไถ่ซานอย่างยากลำบากจนถึงสำนักศึกษาได้ นอกจากนางจะเฉลียวฉลาดนางยังมีน้ำใจกล้าหาญจนเขาแปลกใจ
ต้องสืบหาว่าเด็กสาวเป็นบุตรของจวนสกุลใดพอทราบว่านางคือบุตรสาวคนรองของเสนาบดีกรมกลาโหมหลี่ถงเปียวก็เลิกแปลกใจเพราะว่านางเป็นบุตรสาวของทหารที่จงรักภักดีกับต้าเซี่ยผู้หนึ่ง หากนางไม่ช่วยเขาในวันนั้นยังจะน่าแปลกใจมากกว่า หลังจากนั้นเมื่อเขาจัดการกวาดล้างคนขององค์ชายรองจนสิ้นและผู้เป็นนายโดยตรงได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่แล้วเขาในฐานะจีไท่เว่ยจึงกลับขึ้นเขาไปอีกครั้งหวังขอบคุณพร้อมมอบเงินทองตอบแทน
ใครจะคิดเพียงหนึ่งปีผ่านไปจากที่ประทับใจในอดีต เขากลับตกหลุมรักทันทียามได้พบหน้าของหลี่หมิ่นถังในวัยสิบสี่ปีขณะนั้น แต่เพราะในยามนั้นนางยังไม่ถึงวัยปักปิ่นเขาจึงไม่กล้าเปิดเผยความในใจออกไป ทำเพียงขอบใจนางอย่างจริงใจพร้อมมอบเงินทองให้กับนางและสองสาวใช้คนสนิทของนางไปเท่านั้น
แล้วอำลานางกลับลงเขามาตั้งใจเอาไว้ว่าอีกสักปีค่อยขึ้นเขาไปสารภาพความในใจกับนางใครจะคิดเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับงานในหน้าที่ผ่านไปอีกหนึ่งปีเต็มจริงๆ พอเขาคิดจะไปพบนางอีกครั้งกลับได้ข่าวว่าหลี่หมิ่นถังกำลังจะแต่งงานออกไปกับบุรุษอื่นเสียได้ จีม่อชงยังจำวันแต่งงานของหลี่หมิ่นถังได้แม่นยำวันนั้นฝนตกหนักทั้งที่เพิ่งจะเข้าต้นฤดูฝนแท้ๆ เขายังแอบติดตามไปจนถึงจวนติ้งอันโหวอย่างคนโง่งม จึงได้หวนกลับเสียนหยาง แล้วบอกตนเองให้ตัดในเสียแต่นับจากวันนั้นหัวใจของเขามันก็ไม่เคยเต้นถี่ระรัวกับสตรีนางใดอีกเลยจะให้รูปโฉมงดงามปานล่มเมืองขนาดไหนก็ไม่อาจเขย่าหัวใจของเขาเช่นวันที่พบหน้าของหลี่หมิ่นถังในยามที่นางอายุสิบสี่ปีได้อีกเลย...
"นายท่านขอรับ"
หลังจากผ่านไปสองวัน เหิงเจาที่ได้รับมอบหมายให้ไปสืบเรื่องของคุณหนูรองหลี่หรือเย่ฮูหยิน ฮูหยินของติ้งอันโหวก็กลับมา
"ว่าอย่างไร"ถามออกไปทั้งที่ยังก้มหน้าอยู่กับงานตรงหน้า
"ตามที่ข้าได้ไปสืบมา ที่คุณหนูรองหลี่นางกลับมาที่เสียนหยางเพราะนางกำลังจะหย่ากับติ้งอันโหวขอรับ"
ได้ฟังเหิงเจารายงาน จีม่อชงที่กำลังอ่านรายงานถึงกับวางม้วนรายงานลงทันใด
"เล่ามาให้ละเอียดว่าเกิดอันใดขึ้น"
คราวนี้จีไท่เว่ยถึงกับยืดตัวนั่งหลังตรงใบหน้าเต็มไปด้วยความจริงจัง แววตาขึงขังราวกับกำลังรอรับฟังรายงานทางการทหารแสนจะตึงเครียดก็มิปาน แน่นอนว่าสำหรับจีม่อชงแล้วเรื่องของหลี่หมิ่นถังในใจของเขาสำคัญที่สุดมานานแล้ว แม้เขาจะบอกให้ตนเองตัดใจ ทว่าใจเจ้ากรรมก็ไม่เคยทำได้ดังที่คิดแต่ถึงจะรักทว่าเขาก็รู้ว่าไม่สมควรนางเป็นของบุรุษอื่นไปแล้ว จึงทำได้เพียงปิดหูปิดตาไม่ยอมรับรู้เรื่องของหลี่หมิ่นถังอีก จนวันก่อนแค่เขาได้ยินแค่เสียงของนางพูดคุยกับคนบังคับรถม้าของนางเพียงไม่กี่คำกลับจดจำได้ทันทีจึงถลันไปดูให้เห็นกับตาว่าเป็นนางแท้จริงหรือไม่แล้วก็เป็นจริง แค่ได้เห็นแผ่นหลังเขาก็จดจำได้ว่าเป็นหลี่หมิ่นถังจนคนสนิทช่วยย้ำว่าเป็นนางอีกสองแรง
"เท่าที่ข้าสืบมาได้ความว่า..."
เหิงเจาเริ่มเล่านับตั้งแต่วันแต่งงานระหว่างคุณหนูรองหลี่กับติ้งอันโหวซื่อจื่อ ที่ฝ่ายเจ้าบ่าวนั้นปิดบังฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอมบอกว่าเขาจะต้องไปออกรบ ทำให้หลี่หมิ่นถังต้องแต่งเข้าจวนติ้งอันโหวอย่างไม่เป็นธรรมแต่คงเพราะความรักนางจึงมิได้ฟ้องร้องฝ่ายติ้งอันโหวซื่อจื่อให้หนังสือสมรสกลายเป็นโมฆะและนางกลับจวนหลี่เช่นสตรีอีกหลายคนกระทำกัน
นางเฝ้ารอสามีไปออกรบอยู่ถึงสองปี ระหว่างสองปีนั้น ก็ต้องแบกรับภาระต่างๆ ภายในจวนติ้งอันโหวที่บิดากับมารดาสามีสร้างหนี้สินจนจวนเกือบถูกยึดไปด้วย หลี่หมิ่นถังทำงานอย่างหนักจนชดใช้หนี้สินจนหมดกอบกู้ฐานะของจวนติ้งอันโหวจากวิกฤตในเวลาเพียงหนึ่งปี และทำให้ฐานะของจวนติ้งอันโหวกลับมาร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ ของเทียนตูในเวลาอีกหนึ่งปี
แต่พอเย่จื่อเฉินกลับมาหลังจากไปรบอยู่ชายแดนแคว้นเป่ยฉีอยู่สองปี บุรุษผู้นั้นกลับพาอนุภรรยากลับมาด้วย แต่หากนั่นยังจะกล่าวว่าเย่จื่อเฉินเหยียบย่ำน้ำใจของเย่ฮูหยินของตนเองที่รออยู่เทียนตูถึงสองปีมากแล้ว จีม่อชงคงจะตัดสินไอ้ตัวบัดซบผู้นั้นเร็วเกินไป!
"อันใดนะ? มันถึงกับกล้าหาญคิดจะแต่งพี่สาวแท้ๆ ของหลี่หมิ่นถังมาเป็นเย่ฮูหยินรอง"
จีม่อชงถึงกับต้องถามเหิงเจาซ้ำออกไปเพราะมิคาดว่าจะมีบุรุษใดใจดำอำมหิตกับภรรยาของตนเองได้เช่นที่เย่จื่อเฉินทำอีกแล้ว
"เป็นเช่นนั้นขอรับนายท่าน จากที่ฟังจากคนรับใช้ภายในจวนติ้งอันโหวแอบเอามานินทากัน เหมือนกับในวันนั้นก่อนที่คุณหนูรองหลี่จะกลับจวนหลี่ที่เสียนหยาง นางถูกติ้งอันโหวตบตีทำร้ายร่างกายอีกด้วย คงเป็นฟางเส้นสุดท้ายของคุณหนูรองหลี่แล้วจริงๆ"
"สารเลว!"
ผู้กล่าวคำสบถนี้กลับมิใช่จีไท่เว่ยหากแต่เป็นสตรีวัยยี่สิบปีที่มีรูปร่างค่อนข้างไปในทางอวบอัดมิได้ผ่ายผอมแทบจะปลิวไปตามลมเช่นคุณหนูส่วนใหญ่ในเมืองเสียนหยางและต้าเซี่ยที่พบเห็นได้ทั่วไป แต่ถึงนางจะค่อนข้างอวบอัดจนแก้มกลมเป็นพวงกลับไม่ได้ดูน่าเกลียด แต่กลับดูน่ารักน่าเอ็นดูชวนให้ผู้พบเห็นอยากกอดอยากฟัดเสียมากกว่า
"เมี่ยวเมี่ยวเอ่อ ฮองเฮาเจ้ามาได้อย่างไร"
มิผิดสตรีผู้ที่กล่าวสบถคำด่าแทรกขึ้นมาก็คือจีฮองเฮา น้องสาวแท้ๆ ของจีไท่เว่ยที่เพิ่งแต่งเข้าราชวงศ์ไปได้ไม่ถึงหนึ่งเดือนเช่น จีเมี่ยวหลัว ไปได้
"ต้าเกอท่านอย่าเอ็ดไป ข้าหนีปีศาจดำมานะเนี่ย กว่าจะหลบหนีออกมาได้ไม่ง่าย ท่านเสียงดังไปเขาคงได้ส่งคนมาจับข้ากลับไปขังเอาไว้แต่ในตำหนักอีกแน่"
คนตัวอวบทำกิริยาเลิ่กลั่กชวนขบขัน แต่เพราะในยามนี้จีม่อชงไม่ได้อยู่ในห้วงอารมณ์ที่ดีนักเขาจึงไม่ได้ล้อเลียนน้องสาวคนเล็กเช่นในยามปกติ
"เจ้าหนีออกมา?"
ถามแล้วก็อดจะส่ายศีรษะเสียมิได้ ปีศาจดำที่จีเมี่ยวหลัวเรียกขานก็คือฉางตี้ฮ่องเต้ ผู้เป็นใหญ่ที่สุดในดินแดนต้าเซี่ย เขาไม่เข้าใจว่าน้องสาวของตนเองสมองปกติดีหรือไม่จึงคิดว่านางจะหลบหนีออกมาได้โดยราบรื่น หากคนผู้นั้นไม่ให้ความร่วมมือ เพราะนอกจากทหารทั่วไปยังมีองครักษ์หน่วยพยัคฆ์ทมิฬกว่าพันชีวิตอยู่อารักขารอบพระราชวังอย่างแน่นหนาอีกด้วย
"เอาเถอะ เจ้าสบายใจที่จะคิดเช่นนั้นก็เอาที่สะดวกก็แล้วกัน"
คงเพราะในยามแรกที่จีเมี่ยวหลัวมาปรากฏกายนั้นเขากำลังโหโมเย่จื่อเฉินจนแทบจะพุ่งไปสับมันให้เละเป็นหมื่นชิ้นอยู่จึงไม่ทันรับรู้ว่าบรรยากาศรอบจวนจีไท่เว่ยนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร
หึ!
คาดว่าจวนของเขาถูกองครักษ์หน่วยพยัคฆ์ทมิฬที่ขึ้นตรงกับฉางตี้ฮ่องเต้เพียงหนึ่งเดียวที่น้องชายคนที่สามของเขาเซ่นจีหมิงเจี้ยนเป็นผู้บัญชาการโอบล้อมเอาไว้จนสิ้นแล้ว
คิดไม่ได้อย่างไรว่าสามารถหลบหนีปีศาจดำได้ สมองของจีเมี่ยวหลัวมีปัญหาแล้วจริงๆ
"เป็นนางใช่หรือไม่?"
จีเมี่ยวหลัวหันไปทางภาพวาดขนาดเกือบเท่าคนจริงซึ่งแขวนอยู่ภายในห้องทำงานและอีกภาพแขวนอยู่ในห้องนอนของพี่ชายคนโตมากว่าห้าปี
"เรื่องที่เหิงเจากำลังเล่ามานั้นเป็นเรื่องของนางใช่หรือไม่ต้าเกอ หากใช่ต้าเกอต้องรีบจัดการออกหน้าแทนนางจะเจ้าค่ะ หรือจะให้ข้าไปอ้อนปีศาจดำจัดการให้ดีเล่า?"
จีเมี่ยวหลัวนั้นแอบฟังมาตั้งแต่ต้นย่อมรู้สึกโกรธแค้นแทนสตรีด้วยกัน เพราะครั้งหนึ่งนางเองก็เกือบจะมีชะตาชีวิตเช่นสตรีที่ผู้ในภาพวาดมาก่อน แต่เพราะนางไม่ได้รักลึกซึ้งที่จะยอมอดทนเช่นสตรีนามหลี่หมิ่นถัง ผู้นั้น นางไม่กล้าจะกล่าวหาว่าหลี่หมิ่นถังเป็นสตรีโง่งมที่ยอมอดทน เพราะคนเราต่างคนก็ต่างความคิดต่างสถานการณ์
"ต้าเกอจัดการเอง หากวันใดอยากให้เจ้ากับฝ่าบาทช่วยจะบอกเอง"
จีม่อชงเอ่ยตอบน้องสาวไปเสียงเรียบ เรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัวของเขาอีกสิ่งก็แค่ท่านโหวที่อาศัยบารมีของบิดาที่ไปป่วยตายยังชายแดนขึ้นมายืนหยัด ไม่พอยังต้องพึ่งพาสตรีช่วยค้ำจุนฐานะทางการเงินยังจะนับเป็นตัวอันใดในสายตาของเขาได้อีก
มันก็แค่สวะไร้ค่ากองหนึ่งเท่านั้น...
ใช่แล้วในสายตาของจีม่อชง ที่ตลอดชีวิตยากลำบากมาไม่น้อยเกือบตายมาก็หลายครั้งไอ้บุรุษหน้าตัวเมียเกาะแข้งเกาะขาสตรีกินเช่นเย่จื่อเฉินก็เป็นได้แค่สวะชั้นเลวเท่านั้น มันไม่คู่ควรให้ฉางตี้ฮ่องเต้ลงมือแม้แต่น้อย
"ว่าแต่เจ้าไม่รังเกียจนางใช่หรือไม่หากอนาคตข้าจะแต่งหลี่หมิ่นถังมาเป็นพี่สะใภ้น่ะ"
ในยามที่อยู่กันเพียงลำพังพี่น้องฐานะฮองเฮามักถูกถอดออกเสมอ จีม่อชงเอ่ยถามน้องสาวออกไป เพราะกังวลว่าจีเมี่ยวหลัวอาจมีอคติกับหลี่หมิ่นถัง แต่ถามว่าหากนางสาวไม่ยอมรับแล้วเขาจะยังเดินหน้าเรื่องหลี่หมิ่นถังอีกหรือไม่เขาก็ตอบโดยไม่ต้องคิดมากว่าตนเองไม่คิดจะหยุดแน่นอน
"เอาอันใดมารังกียจ คุณค่าของสตรีเราไม่ได้ลดลงเพียงเพราะนางผ่านการแต่งงานมาแล้วสักหน่อย ตรงกันข้ามนางกลับน่าเห็นใจอย่างที่สุด อีกอย่างท่านก็อายุขนาดนี้แล้ว หากยังไม่แต่งงานอีกคนทั่วเสียนหยางคงเชื้อหมดใจแล้วเป็นแน่ว่าจีไท่เว่ยไม่ชอบสตรีชอบเลี้ยงแต่เด็กหนุ่มน่ะ"
“เหลวไหล! ในบ้านเราไม่ใช่มีเพียงข้าที่ยังไม่แต่งงาน หย่วนโจวมันก็ยังไม่แต่งงานเช่นกัน เจ้าขายออกไปแล้วก็อย่ามาให้ร้ายพี่ชายได้หรือไม่ เฮอะ!หากฝ่าบาทไม่หลงผิด ป่านนี้เจ้าก็คงอยู่เป็นโสดเช่นกันนั่นแหละ”
ใครจะคิดว่าบุรุษเช่นซ่างกวนโทวจะตกหลุมรักน้องสาวของเขาตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน ตกหลุมรักกันเพราะจีเมี่ยวหลัวกระโดดกำแพงลงไปทับรถม้าของฉางตี้ฮ่องเต้จนพังยับเยิน คิดแล้วก็เหลือเชื่อจริงๆ
แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นก็เกิดขึ้นไปแล้ว ซ่างกวนโทวหรือที่ผู้คนเรียกขานเขาว่าปีศาจดำนั้นถึงกับวางแผนส่งน้องสาวของเขาไปจากเสียนหยางเพียงเพราะได้ข่าวว่ามีบุรุษหลายคนตั้งใจจะส่งแม่สื่อมาสู่ขอหลังพิธีแต่งงานของจีเมี่ยวหลัวกับอดีตคู่หมั้นในวัยเด็กเป็นโมฆะไปเพียงข้ามวัน
แล้วยังมีอีกหลายแผนการที่ต้อนจนจีเมี่ยวหลัวกลายมาเป็นจีฮองเฮาในวันนี้ ตำแหน่งที่สตรีนับพันนับหมื่นอยากได้และพร้อมจะแย่งชิงหากมีโอกาสนั้น แต่จีเมี่ยวหลัวกลับไม่ได้ทำสิ่งใด ฉางตี้ฮ่องเต้กลับยัดเยียดตนเองพร้อมตำแหน่งสตรีอันดับหนึ่งให้น้องสาวคนเล็กของเขาเสร็จสรรพ ความรักยามใดที่มันจะเกิดกับผู้ใดแล้วยากจะปฏิเสธจริงๆ
เช่นเดียวกันกับเขาพอเกิดความรักกับหลี่หมิ่นถังเมื่อห้าปีก่อน ถึงจะทราบว่านางแต่งงานไปกับบุรุษอื่นแล้วกลับมิอาจตัดใจได้ แค่ได้ยินเสียงและเห็นเงาร่างกลับจดจำได้แม่นยำอย่างยิ่ง จดจำได้ราวกับภาพของนางมันตราตรึงสลักลึกอยู่ภายในใจภายในสมองของเขาแต่แรกเริ่มแล้วอย่างไรอย่างนั้น
รัก...
คำนี้ไม่มีถูกไม่มีผิด ไม่ได้เลือกได้ว่าจะเกิดกับใคร เพศไหน รูปร่างอย่างไรหน้าตางดงามหรือไม่หากเกิดขึ้นมาแล้วกลับยากจะตัดใจไปได้ในเร็ววัน ความรักไม่มีถูกไม่มีผิด มีแค่เรารักได้ถูกคนหรือไม่ก็เท่านั้น...