“อึก! อุ๊บ!”
หมับ!
“เป็นอะไร? แพ้ท้องจริงๆหรือไง?”
ฉันเงยหน้ามองคนถาม สะบัดแขนให้หลุดจากมือของเขา แต่การทำแบบนั้นเหมือนมันไปเพิ่มความโกรธให้เขามากกว่า แรงบีบต้นแขนเพิ่มมากขึ้นจนฉันนิ่วหน้า กำลังจะอ้าปากด่า นิ้วมือเรียวยาวก็ยกขึ้นมาแตะบนริมฝีปาก
“จุ๊ๆ! ก็เคยบอกแล้วไง ว่าให้ทำตัวว่าง่ายอะ ไซซี”
ใบหน้าหล่อเหลาดูกวนอารมณ์ ชาร์ลเหมือนคนมีหลายบุคลิกอยู่ในร่างเดียว เมื่อก่อนเขาไม่เป็นแบบนี้เลย แต่พักหลังนี่รู้สึกจะเป็นบ่อย ปั้นหน้ากับคนอื่นแบบหนึ่ง ปั้นหน้ากับฉันอีกแบบหนึ่ง เหมือนคนเป็นประสาทอะ!
“เห้อ! ไม่เหนื่อยหรือไงชาร์ล?”
ฉันขยับปากถามอย่างยากลำบาก และรู้สึกอ่อนใจกับการกระทำของชาร์ลในตอนนี้ คนถูกถามหัวเราะในลำคอเบาๆ ขยับนิ้วออกจากริมฝีปาก ข้างที่กำอยู่ท่อนแขนก็เลื่อนต่ำลงไปคว้าข้อมือ ดึงแรงๆให้ฉันก้าวเดินตาม
“จะไปไหน?”
ฉันถามอย่างอ่อนแรง เพราะไม่ได้กินข้าวตั้งแต่เมื่อคืน เมื่อเช้าก็รีบมากจนไม่ได้เอาอะไรใส่ท้องเลย ที่จะอ้วกเมื่อกี้จึงไม่ใช่อาการแพ้ท้องอย่างที่ชาร์ลเข้าใจ ฉันหิวจนหน้ามืด และกระเพาะอาหารปั่นป่วน
“หิว”
“ก็ไปกินข้าวสิ”
“ก็…กำลังจะไปนี่ไง”
“ไปคนเดียวสิ จะลากฉันไปด้วยทำไม ไม่ได้เป็นอะไรกันแล้วนะ”
ฉันเบาเสียงลงในตอนสุดท้าย ถึงฉันกับเขาจะกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว แต่มันมีช่วงเวลาหนึ่งที่ฉันกับเขาคบหากันในแบบคู่รัก หลังจากคืนที่ฉันนอนกับเขา เขาก็รับผิดชอบด้วยการคบหา แต่ฉันมันโลภมากเกินไป ช่วงเวลาแบบนั้นจึงอยู่ด้วยเพียงไม่นาน
ปึ่ก!
“อ๊ะ! หยุดเดินทำไมเนี่ย!”
ฉันยกมือว่างขึ้นจับจมูก เงยหน้ามองคนที่หยุดฝีเท้าลงจนฉันเดินชนแผ่นหลังเข้าเต็มๆ สายตาของชาร์ลมองตรงไปด้านหน้า ฉันมองตามสายตาเขาไปช้าๆ เมื่อเห็นว่าเขามองใครอยู่ ขนในกายก็ลุกชันขึ้นทั้งตัว
“มาเรียนได้แล้วเหรอผิง?”
รู้สึกเหมือนโดนบังจนมองภาพด้านหน้าไม่เห็น แม้จะไม่เห็นภาพตรงหน้าแล้ว ฉันก็ยังมุดหน้าเข้าหาแผ่นหลังของชาร์ล ผู้หญิงที่เขากำลังทักทายอยู่นั้น คือผู้หญิงที่ฉันเคยทำร้ายจนเกือบตาย ตอนนี้เพิ่งจะเปิดเทอมใหม่ เธอคงมาเรียนตามปกติ หลังจากดรอปเรียนไปเกือบปี
“ค่ะ พี่ชาร์ล”
“จำพี่ได้สินะ”
“ค่ะ จำได้ดีเลยค่ะ”
“แล้วคนอื่นๆล่ะ พอจะจำได้บ้างไหม?”
“แหะๆ ผิงยังจำใครไม่ได้เลยค่ะ คงต้องใช้เวลาอีกสักหน่อย”
“เดี๋ยวก็จำได้นะ”
“ค่ะ ผิงไปก่อนนะคะพี่ชาร์ล”
เสียงฝีเท้าค่อยๆหายไป ฉันเองก็ค่อยๆโผล่หน้าออกไปดู เมื่อไม่เห็นใครก็ถอนหายใจออกไปเบาๆ มันคงเป็นโชคดีของฉัน ที่หมอบอกว่าเด็กคนนั้นจำอะไรไม่ได้เลย แต่ฉันไม่ได้รู้สึกดีนักหรอก เพราะฉันยังคงรู้สึกผิดเสมอ ที่ทำกับเธอแบบนั้น
“ถ้าหากผิงไม่ความจำเสื่อม เธอไม่ได้ลอยหน้าลอยตาอยู่แบบนี้หรอกนะซี”
“อืม ฉันรู้หรอกน่า”
“จะไปไหน!”
“กลับบ้านไง ฉันเหนื่อยว่ะชาร์ล เลิกทำแบบนี้เถอะนะ!”
“ไปกับฉัน! ฉันมีเรื่องจะคุย”
“เมื่อวานคุยยังไม่จบหรือไง ฉันว่าเราคุยกันจบแล้วนะ”
“อันนี้เรื่องของมหาวิทยาลัย”
“อ่า … เรื่องอะไรเหรอ?”
“ถ่ายแบบโปรโมทมหาวิทยาลัย”
“อ่า … ฉันต้องถ่ายเหรอ?”
“อืม รายละเอียดเดี๋ยวคุยตอนกินข้าวเสร็จ”
“อ๊ะ! ไม่ต้องลากได้ไหมเนี่ย! มันเจ็บ!”
ฉันร้องลั่นเพราะถูกชาร์ลลากให้เดินตามไป ไม่ได้ทำตัวสำออยใส่เพื่อให้เขาสงสาร แต่แรงดึงของเขามันทำให้เจ็บจริงๆ ฉันสูงแค่ 160 เอง ในขณะที่ชาร์ลสูงตั้ง 189 ความต่างของร่างกายชัดเจนขนาดนั้น เรื่องแรงก็ต้องต่างกันอยู่แล้ว แต่เขาไม่เคยยั้งแรงเลย กำข้อมือแต่ละที รู้สึกเหมือนกระดูกจะหัก
“โทษที เบามือไม่เป็น”
“เป็น … แต่มันคงมีไว้สำหรับผู้หญิงคนอื่น ไม่ได้มีไว้สำหรับฉันหรอก”
ชาร์ลทำเหมือนไม่ได้ยินที่ฉันพูด ส่วนฉันก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ไม่ได้ตั้งใจตัดพ้ออะไรหรอก แค่ย้ำกับตัวเองเพราะกลัวจะเกิดความหวั่นไหวอีก ฉันจะเป็นแบบนั้นไม่ได้ ตอนนี้ฉันมีคนที่ต้องรัก และคนๆนั้นไม่ใช่ชาร์ลเหมือนในอดีต
ชั่วโมงต่อมา
รถยนต์สปอร์ตคาร์สีสันแสบตาจอดสนิทในพื้นที่ของห้าง ลานจอดรถชั้นบนสุดของอาคารค่อนข้างร้างผู้คน ฉันมองเสี้ยวหน้าเจ้าของรถอย่างหวาดกลัว ชาร์ลขยับตัวหันมามอง เมื่อเห็นท่าทางของฉันเขาก็แสยะยิ้ม
ฮึ่ย! จะทำให้กลัวเพิ่มทำไมเนี่ย แค่นี้ก็กลัวจนตัวสั่นแล้วนะ
“ปลดล็อกหน่อยสิ จะลง”
ฉันพยายามคุมเสียงไม่ให้สั่น เมื่อก่อนฉันไม่เคยกลัวชาร์ล แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น ฉันก็กลัวเขามาก ชาร์ลขยับตัวไปอยู่ในท่าเดิม ใบหน้ามองตรง ไม่ยอมปลดล็อกประตูให้ด้วย
“กินข้าว ดูหนังก่อน ค่อยคุยเรื่องงาน”
“ไม่เอา คุยตอนนี้เลยยิ่งดี ฉันมีนัด”
“กับใคร? หมอปีร์?”
“อือ ฉันจะไปหาพี่ปีร์ที่โรงพยาบาล” พี่หมอไลน์มาบอกให้ฉันไปหา ตอนที่รถเลี้ยวเข้ามาในห้างพอดี
“ไปทำไมวะ ทั้งที่เกลียดโรงพยาบาลขนาดนั้น”
ชาร์ลหันหน้ามาถาม สีหน้าของเขายังคงทำให้ฉันอ่านความรู้สึกไม่ออกอยู่ดี ว่าที่พูดมานั้นเพราะห่วงใย หรือเพราะอะไรกันแน่
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับแก”
ใบหน้าหล่อเหลาของหนุ่มลูกครึ่งบึ้งตึงขึ้น ร่างกำยำโน้มตัวเข้ามาใกล้ ฉันเอนตัวหนีไปจนแผ่นหลังชิดประตู ใบหน้าที่อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เซนฯ พ่นลมหายใจออกมารดใบหน้าฉันแรงๆ
“อย่าพยายามยั่วให้ฉันโมโห เพราะคนที่เจ็บ มันจะเป็นเธอ”
“ฉันทำแบบนั้นตอนไหน ฉันไม่เคยยั่วโมโหแกเลยนะ ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับแกด้วยซ้ำ เลิกทำแบบนี้สักที ต่างคนต่างอยู่ไปสิ จะทำแบบนี้ทำไม”
“นั่นสินะ ฉันทำแบบนี้ทำไมนะ”
เหมือนจะเห็นความสับสนในดวงตาสีฟ้าน้ำทะเล แต่ไม่นานดวงตาคู่นั้นก็ฉายแววต่างออกไป มองแล้วรู้สึกเหมือนถูกเหยียดหยาม ยิ่งริมฝีปากกระจับงามเหยียดออก ยิ่งฉุนหนัก
“ปล่อย! จะคุยก็คุย ไม่คุยก็ปล่อย ฉันจะไปหาพี่ปีร์”
“บอกแล้วใช่ไหมว่าอย่ายั่วโมโห เตือนแล้วไม่ใช่หรือไง ว่ากูจะไม่ปล่อยให้มึงไปมีความสุขคนเดียว!”
คำพูดพวกนั้นมาพร้อมมือที่ยกขึ้นมาบีบปลายคาง พูดเสร็จชาร์ลก็ทำให้ฉันตกใจ ด้วยการโน้มใบหน้าต่ำลงจนริมฝีปากเราแนบสนิท เขาบีบปลายคางแรงขึ้น เพื่อทำให้ฉันเจ็บ ฉันพยายามขืนไว้ เพราะไม่อยากให้ลิ้นของเขาแทรกเข้ามา
กึ่ด!
“อึ! อือ!”
เมื่อฉันไม่ยอม เขาก็ใช้ฟันกัด แรงกัดมีมากจนได้กลิ่นคาวของเลือด ความเจ็บทำให้ต้องอ้าปากขึ้นอย่างไม่เต็มใจ ลิ้นร้อนลากไล้แรงๆ จากนั้นก็แทรกผ่านริมฝีปากเข้ามา
จูบเอาแต่ใจไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกดี เขายัดเยียดความรู้สึกผิดมาให้ จนฉันน้ำตาไหลอาบแก้ม ถ้าหากเป็นตอนที่ฉันยังไม่ได้ตกลงคบกับพี่ปีร์ ฉันอาจจะรู้สึกดีกับมัน แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น ออกจะรังเกียจและขยะแขยง จูบที่มาจากเขา ผู้ชายที่ฉันเคยรัก
กึ่ด!
“ชะ! เชี่ย! นี่มึงกัดกู?”
ชาร์ลผละออกไป ยกมือปาดริมฝีปากมาดู เมื่อเห็นว่าที่หลังมือคือเลือดไม่ใช่น้ำลาย ก็ขยับร่างกายเข้ามาอีก ฉันรีบเบือนหน้าหนีไปด้านข้าง กัดริมฝีปากที่มันมีแผลไม่ต่างกันลง จนมีเลือดไหลซึมออกมาจากปากแผลเพิ่ม ชาร์ลชะงัก ขยับตัวถอยไปนั่งหลังตรง
“… ถ่ายวันศุกร์นี้ ตอนเก้าโมง ที่สตูดิโอของคณะนิเทศน์”
“อืม!”
แก๊ก!
เมื่อประตูรถถูกปลดล็อก ฉันก็เปิดมันออกก้าวขาลงไป ปิดมันลงอย่างเบามือ เพราะรู้ว่าชาร์ลรักรถคันนี้มาก ก้าวขาถอยห่างจากรถ ยืนมองจนกระทั่งมันเคลื่อนหายไปจากสายตา