หลังจากกลับมาถึงบ้านซ่งจื่อหรูก็ให้เด็กไปช่วยกันเก็บกวาดบริเวณบ้าน ตนเองนำมันเทศไปล้าง แกะเอาเมล็ดเกาลัดออก คว้าเลื่อยไปตัดต้นไผ่มาหนึ่งต้น เลื่อยต้นไผ่ออกเป็นท่อนละประมาณ8ชุ่น ล้างจนสะอาด ก่อไฟโดยใช้หินสามก้อนวางแทนเตา นำหม้อออกมาสองใบ จากนั้นนำหม้อใส่น้ำตั้งไฟ นำข้าวสารมาล้าง หั่นมันเทศเป็นสี่เหลี่ยม ผ่าครึ่งเกาลัด นำสามอย่างมารวมกันโรยเกลือเล็กน้อย คลุกเบาๆเหยาะน้ำมันเล็กน้อย จึงนำมากรอกใส่ท่อนไม้ไผ่ที่เตรียมไว้ นำใบบัวมาปิดปากกระบอก แล้วเรียงตั้งในหม้อคอยเติมน้ำ สักพักก็ได้กลิ่นหอมของข้าว ปลายังเหลือ1ตัวเอาออกมากจากโอ่งแตก ทำความสะอาดขอดเกล็ดควักใส้ เคล้าเกลือแล้วนำมาย่าง
"พี่ใหญ่...หอมจังเลยเจ้าค่ะ"ซ่งจื่อเย่วทำจมูกฟุดฟิด
"พี่ใหญ่ มีข้าวด้วยหรือขอรับ"ส่งจื่อห่างท้องร้องเขาไม่ได้กินข้ามานานแล้ว
"ได้ๆเจ้าแมวจอมหิวโหยสองคน วันนี้เจ้าจะได้กินปลากับข้าวสวยร้อนๆ"
"พี่ใหญ่เก่งจังเลยเจ้าค่ะ พวกเรามีข้าวกินแล้วไม่ต้องกินแต่น้ำในลำธารอีกแล้ว"
"เด็กดี ต่อไปต้องขยันห้ามเกียจคร้าน คนขยันจึงไม่อดตาย จื่อเย่วกับจื่อห่าวเป็นเด็กดีพี่ใหญ่จะให้ได้กินข้าวขาวทุกวันดีหรือไม่"
"ดีเจ้าค่ะพี่ใหญ่ วันนี้ที่บ้านอาสะใภ้มีข้าวด้วยข้ากลัวนางหิว แต่อาสะใภ้ป่วยต้องรอพี่เฟยหรงกลับมาหุงข้าวเจ้าค่ะโชคดีที่มีมันเทศกับปลาย่างที่พี่ใหญ่เอาไปฝาก นางจึงไม่บ่นหิว"
"เอาละๆ รีบกินเถอะพี่จะเอาข้าวอบเกาลัดกับมันเทศไปฝากอาสะใภ้ฮั่วสักหน่อย พวกเจ้านั่งกินดีๆ ช่วงนี้ท่านย่าน่าจะไม่มาหาเรื่องพวกเราสักพัก"
"เอ๋...จริงหรือเจ้าคะดีจัง"
"นั่นเป็นเรื่องดีที่สุดที่นางควรทำขอรับ"
แม่เจ้าไอ้ความพูดน้อยต่อยหนักนี่ แม้จะคนละภพละชาติแต่นิสัยคือคนเดียวกันไม่ผิดแน่ไม่ว่าจะเป็นอวิ่นห่าวหรือจื่อห่าว ซ่งจื่อหรูลูบหัวเด็กน้อยก่อนจะลุกขึ้น หยิบตระกร้านำกระบอกข้าวอบใส่สามอันก่อนจะเดินไปยังบ้านสกุลฮั่ว
"พี่หรง ท่านอาสะใภ้ ข้าเองจื่อหรูเจ้าค่ะ"
"อาหรูรึ เข้ามาเถอะหรงเอ๋อร์อยู่ในครัวน่ะ"
ซ่งจื่อหรูเดินเข้ามาบริเวณบ้าน เห็นฮั่วเฟยเซียนนั่งเล่นอยู่จึงทักทาย
"น้องเซียนเซียน วันนี้สนุกหรือไม่"
"สนุกเจ้าค่ะ ข้าชอบให้พวกเขามาอีก เมื่อไหร่พวกเขาจะมาอีกเจ้าคะพี่จื่อหรู ท่านชื่อจื่อหรูใช่หรือไม่เจ้าคะ"
"ใช่ พี่ชื่อซ่งจื่อหรู ไว้คราวหน้าพี่จะพาพวกเขามาอีก พี่สัญญา"
มีคนในบ้านเดินออกมาแต่ไม่ใช่ฮั่วเฟยหรงหรือฮั่วหรานแต่อย่างใด กลับเป็นชายอายุประมาณสี่สิบกว่าปี รูปร่างราวกับหยกสลักมีความละม้ายคล้ายฮั่วเฟยหรงถึงแปดส่วน ร่างกายสูงโปร่ง รัศมีน่าเกรงขาม หากฮั่วเฟยหรงดูดีแล้ว คนๆนี้กลับดูดียิ่งขึ้นไปอีก ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือฮั่วเฟยหย่งเจ้าบ้านสกุลฮั่วนั่นเอง
"คาราวะท่านอาฮั่ว ข้าจื่อหรูเจ้าค่ะ"
"อืม มีธุระอะไรกับหรานเอ๋อร์หรือหรงเออร์ล่ะ"
"อ้อ คือว่าท่านอานี่เป็นข้าวอบเกาลัดกับมันเทศ หากพวกท่านไม่รังเกียจโปรดรับไว้ด้วยเจ้าค่ะ"
"แค่กๆๆๆ อาหรูเหตุใดต้องลำบากถึงเพียงนี้ เจ้าเองก็ใช่ว่าจะเหลือกิน แค่กๆ"
"อาสะใภ้เกรงใจแล้ว มันเทศกับเกาลัดไม่ได้ซื้อหามาเจ้าค่ะ ข้าต้องกลับก่อน ที่บ้านยังมีคนรออยู่ ลานะเจ้าคะท่านอาฮั่ว อาสะใภ้"
ซ่งหรูคำนับก่อนจะหันหลังเดินออกประตูรั้วไป ร่างสูงมองตามคนที่จากไปจนลับสายตาเหตุใดจึงรู้สึกคุ้นเคยใบหน้านี้เสียเหลือเกิน จากนั้นจึงเดินไปปิดประตูรั้ว ไก่ตัวนั้นถูกทำเป็นน้ำแกง ฮั่วเฟยหรงค่อนข้างเลือกกิน จึงทำให้เขาฝึกการทำอาหารได้ไม่ยาก
"ท่านพ่อ อาหารพร้อมแล้วทานข้าวเถอะขอรับ"
หลังจากนั่งลงก็หยิบกระบอกไม้ไผ่ที่ซ่งจื่อหรูนำมาให้ ดึงใบบัวออกก็ได้กลิ่นหอมของข้าวกับมันเทศ เทข้าวออกมาก็ได้แต่แปลกใจ
"ท่านพี่ เหตุใดจึงมองอาหรูเช่นนั้นหรือเจ้าคะ"
"นางเหมือนคนๆนึง แต่บางทีข้าอาจคิดไปเอง หรงเอ๋อร์วันนี้ลูกขึ้นเขาหรือ"
"ขอรับ ข้าคิดแค่ว่าอยากปกป้องนาง ตอบแทนท่านอาหลี่ในตอนนั้น"
"หรงเอ๋อร์ แม่ไม่ว่าหากลูกอยากปกป้องนาง แต่หากมากกว่านั้นแม่เกรงว่าจะเป็นการทำร้ายนางเสียมากกว่า ตอนนี้พวกเราเองก็ยังไม่ปลอดภัย ต่อหน้านางวันนี้ลูกก็โกหกแม่ว่าบังเอิญเจอนาง"
"มารดาเจ้าพูดถูก คนพวกนั้นยังคงตามหาพวกเราอยู่ ข้าเองก็ติดต่อท่านลุงเจ้าไม่ได้ เพราะเกรงจะทำให้พวกเขารู้ตัว"
"ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ของที่พี่จื่อหรูนำมาให้อร่อยมากเลยเจ้าค่ะ"
เสียงของฮั่วเฟยเซียนเรียกสติคนทั้งสามนางเคี้ยวจนแก้มทั้งสองข้างตุงเหมือนกระรอกตัวน้อยไปที่กำลังแทะลูกเหอเถา(วอลนัท) มีเม็ดข้าวติดตรงแก้ม ดูแล้วน่าเอ็นดูมากนัก ฮั่วหรานเช็ดปากและแก้มของนางเบาๆ
"ถึงจะอร่อยก็ค่อยๆกิน อืมแต่ว่าข้าวนี่อร่อยจริงๆ เด็กคนนี้รู้จักสรรหา"
"ตอนที่นางให้ลูกช่วยเก็บ ลูกเองก็ไม่เข้าใจนัก หนามแหลมคมเพียงนั้นจะกินได้อย่าไร แต่นางกลับบอกว่าต้มโจ๊กได้ แถมยังอร่อยลูกเลยตามใจนาง"
"อืม..หรานเอ๋อร์ เสร็จแล้วก็ไปพักเถอะข้ามีเรื่องจะคุยกับหรงเอ๋อร์อีกหน่อย เดี๋ยวจะตามเข้าไป"
"เจ้าค่ะ ท่านพี่ก็อย่ารั้งจนดึกนะเจ้าคะ หรงเอ๋อร์ก็ด้วยอย่าลืมเตือนท่านพ่อล่ะ"
หลังจากฮั่วหรานพาฮั่วเฟยเซียนเข้าบ้านแล้ว ฮั่วหย่งก็นั่งคุยกับบุตรชายต่อ
"หรงเอ๋อร์ปีนี้ลูกอายุ17แล้ว เดิมทีมีสัญญาหมั้นหมายอยู่ แต่ตอนนี้ทางนั้นได้ถอนหมั้นเพราะคิดว่าเจ้าตายแล้ว"
เพราะต้องปิดบังฐานะเขาจึงบอกคนอื่นว่าบุตรชายอายุเพียง15 ปีเท่านั้น ถึงแม้คนจะสงสัยว่าเหตุใดถึงสูงนักแต่ก็ไม่ได้สนใจ
"ท่านพ่อ คูณหนูหลิวนั่นลูกมิได้สนใจหรอก แต่หลิวซิ่วเอ๋อผู้เป็นอานางนั้นจะละเลยนาง ไม่ได้เรื่องที่พวกเราถูกลอบสังหารสกุลหลิวอาจมีส่วนก็ได้ขอรับ"
"ตอนที่ข้าได้ข่าวคุณชายเฟิ่งยังมีชีวิตอยู่ ก็ออกเดินทางทันที ที่ข้าผิดพลาดคือไม่น่าพาเจ้ากับมารดาเจ้ามาด้วย"
"ท่านพ่อ คุณชายเฟิ่งคนนั้นบิดาเป็นช่างหลวงใช่หรือไม่ขอรับ ลายนกเฟิ่งหวงเป็นสัญลักษณ์ตระกูลเฟิ่งใช่หรือไม่ขอรับ"
"อืม...เจ้าเคยเห็นรึ เห็นที่ไหนกัน"
ฮั่วเฟยหรงอึกอัก ไม่กล้ากล่าวออกไป
ฮั่วเฟยหย่ง"พูดลำบาก ก็ไม่ต้องเอ่ยพ่อไม่ได้บังคับเจ้าแต่อย่างใด"
ซ่งจื่อหรูถกแขนเสื้อเพื่อล้างมือตอนที่เก็บเห็ดสน เขาบังเอิญเห็นมันอยู่ตรงท้องแขนของนาง ดูเหมือนเด็กสองคนก็มีด้วย เรื่องนี้ยังไม่ควรบอกท่านพ่อดีที่สุด หากนางคือทายาทตระกูลเฟิ่งจริงๆ เช่นนั้นชีวิตของนางล้วนแต่มีอันตราย
"ท่านพ่อ ลูกเคยเห็นผลงานของใต้เท้าเฟิ่งมาบ้าง ทุกครั้งที่ทำเสร็จใต้เท้าเฟิ่งจะสลักนกเฟิ่งหวงไว้บนชิ้นงานทุกชิ้นขอรับ"
เขาเป็นถึงจ้าวอ๋องอนุชาองค์เดียวของฮ่องเต้ที่กำเนิดจากพระมารดาคนเดียวดัน ดูสีหน้าตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เหล่านั้นมานักต่อนักแล้ว มีหรือจะดูท่าทีบุตรชายไม่ออก ตอนที่มีข่าวคราวของเฟิ่งจื่อหยาง เขาก็รีบออกตามหา คาดว่าคนที่ตามสังหารพวกเขา คงคิดว่าแผนที่สุสานหลวงนั้นอยู่กับเขานั่นเอง
"สุสานหลวงของราชวงศ์ก่อนมีสมบัติมหาศาล ไม่ใช่แค่ต้าเหลียง แม้แต่แคว้นฉู่ แคว้นเยี่ยน หรือเป่ยหลียงก็ต้องการเช่นกัน เป็นเพราะการก่อกบฏของอ๋องเฉิงใต้เท้าเฟิ่งจึงถูกฆ่าล้างตระกูล มีเพียงคุณชายเฟิ่งที่หนีไปได้ คาดว่าแผนที่คงอยู่กับเขา"
"สามสิบกว่าปีแล้วหากคนยังอยู่ก็คงอายุห้าสิบกว่าแล้วนะขอรับท่านพ่อ เจอเขาก็ไม่แน่ว่าจะจำกันได้"
"หรงเอ๋อร์ ช่วงนี้มารดาเจ้าร่างกายอ่อนแอลง ข้าจะไปดูว่าพอจะพาหมอหลวงจางมาได้หรือไม่ ถ้าไม่กลัวจะเปิดเผยร่องรอย ข้าคงใส่ใจนางมากกว่านี้"
ฮั่วเฟยหย่งทอดสายตามองไปไกล ลูกเมียต้องมาลำบากหลบซ่อนไปด้วยเพราะเขาไม่รอบคอบ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือ