หลังจากวันนั้นก็ผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาอัศวินไม่ได้มาวอแวหรือทำตัวใกล้ชิดกับเธอ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องดีแล้ว เพราะพิกุลเองก็อยากลบเรื่องวันนั้นออกไปจากสมองให้หมดสิ้นเหมือนกัน
แต่ถึงอย่างนั้นก็มีบางครั้งที่เขามองเธอด้วยสายตาแปลกๆ แต่พิกุลไม่ได้สนใจ จริงๆ ต้องเรียกว่าเธอพยายามทำเป็นไม่สนใจมากกว่า
พิกุลใช้ชีวิตอย่างสงบสุขมาตลอดหนึ่งเดือนแต่เหมือนว่าความสงบของเธอจะมีคนเข้ามาปั่นป่วนเสียแล้ว
“น้องกุลๆ คุณอัคคีเรียกให้ไปหาหน่อยน่ะ”
“คุณอัคคี ?”
“ยังไม่เคยเห็นสินะ คุณอัคคีเป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณอัศวิน แต่สองคนนั้นต่างกันลิบลับเลยล่ะ”
“นั่นสิ น้องกุลรีบไปก่อนที่คุณเขาจะวีนเถอะ”
“ได้ค่ะ”
พิกุลเงยหน้าขึ้นมาและสิ่งที่เธอพบเห็นคือแววตาเห็นใจจากคนที่ยืนอยู่รอบข้าง ทำเอาพนักงานหน้าใหม่ถึงกับกังวลตามไปด้วย
จะไม่ให้เห็นใจได้ไงเพราะทุกคนต่างรู้กิตติมศักดิ์ของญาติเจ้านายคนนี้เป็นอย่างดี และที่ต้องรับสมัครผู้ช่วยเชฟคนใหม่ก็เพราะคุณเธอนี่แหละ
เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสองเดือนก่อน อัคคีได้เข้ามาตามจีบมาตามหยอดพนักงานในร้านคนหนึ่งทั้งที่ตัวเองยังมีความสัมพันธ์กับพนักงานอีกคน จนพนักงานทั้งสองคนตบตีกันเป็นเหตุให้อัศวินต้องไล่ออกทั้งคู่ ทุกคนต่างรู้ดีว่าอัคคีตั้งใจสร้างความวุ่นวายให้ร้านอาหารแห่งนี้เพราะนั่นไม่ใช่ครั้งแรก และทุกคนก็ยังรู้ดีอีกว่าเขามักจะทำแบบนี้กับพนักงานหญิงที่ถูกตาต้องใจ
แล้วพิกุลที่ถูกเรียกไปก็ยังมีหน้าตาสะสวยจะไม่ให้เพื่อนร่วมงานกังวลได้อย่างไร
...
“คุณเรียกดิฉันมามีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ว้าว คุณเป็นพนักงานใหม่”
“ค่ะ”
พิกุลตอบอย่างสงวนคำพูดและไว้ท่าที เพราะรู้ว่าคนตรงหน้ามีศักดิ์และฐานะเหนือกว่าเธอ อีกทั้งตอนนี้ก็ยังอยู่ในเวลางาน และอีกเหตุผลก็คือสายตาที่เขามองมามันทำให้เธอรู้สึกไม่ใคร่จะดีและไม่ชอบใจนัก
อัคคีที่เห็นคนตรงหน้าถามคำตอบคำก็ยิ่งนึกสนุก เพราะเวลาเจอของที่ได้มายาก ๆ และสนุกและสะใจดี
“อาหารอร่อยมากครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ไม่รู้ว่าคนทำจะอร่อยแบบนี้หรือเปล่า”
คำพูดสองแง่สองง่ามทำคนเส้นเลือดบนขมับคนที่ได้ยินเต้นตุบ ๆ เพราะเธอเกลียดคนประเภทนี้เป็นที่สุด คนที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าจนกล้าพ่นคำพูดน่าเกลียดออกมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน
ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดเพื่อระงับอารมณ์เพราะไม่อย่างนั้นเธอคงต้องต่อยหน้าหมอนี่ให้หงายหลังตกเก้าอี้ไปซักหมัดแล้วล่ะ
“นั่นสิ กูก็อยากรู้เหมือนกัน” ไม่ใช่แค่อัคคีที่ถามเธออย่างไร้มารยาทเพราะคนที่เขาพามาด้วยก็กำลังมองพิกุลด้วยสายตาโลมเลียไม่ต่างกัน
“สวยขนาดนี้จะมาทำงานให้เหนื่อยทำไม จริงไหม”
“ไม่จริงค่ะ พวกคุณมีอะไรอีกหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ ดิฉันขอตัวก่อน”
“เดี๋ยวสิ”
“ช่วยปล่อยมือด้วยค่ะ” แม้จะมีคำลงท้ายแสนสุภาพแต่น้ำเสียงที่ใช้กลับแข็งห้วนอย่างไม่พอใจ มือข้างที่ว่างกำแน่นพร้อมกับดวงตาที่จ้องมองผู้กระทำอย่างขุ่นเคือง แต่อัคคีหาได้สนใจ เขายังคงจับมือเธอไว้พร้อมกับลูบไล้อย่างน่ารังเกียจ
“มือนุ่มเป็นบ้า”
พิกุลดึงมือกลับจนตัวเองแทบเสียหลัก แต่อีกคนไม่มีท่าทีจะปล่อยมันสักนิด มิหนำซ้ำเขายังเพิ่มแรงกระทำจนเธอเหลืออด
“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า ถ้าอยากทำพฤติกรรมแบบนี้รบกวนไปทำที่อื่นไม่ใช่ร้านอาหารของเรา และดิฉันคิดว่าสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่มันไม่เหมาะสมและน่ารังเกียจ”
แน่นอนว่าพิกุลไม่ได้แอบกระซิบกระซาบแต่อย่างใด คนมีโทสะเอ่ยเต็มเสียงอย่างไม่เกรงกลัว เพราะที่ทำงานมาหนึ่งเดือนเธอรู้แล้วว่าเจ้าของร้านแห่งนี้เป็นคนมีเหตุผลมากพอสมควร ถ้าอัศวินรู้ว่าพนักงานตัวเองถูกลวนลามเขาต้องตัดสินอย่างตรงไปตรงมาแน่นอน
แต่ไม่รู้ว่าเธอจะเป็นข้อยกเว้นหรือเปล่านะ...
คนทั้งร้านหันมองจุดที่กำลังเกิดเหตุเป็นตาเดียว และมันยิ่งโดดเด่นเพราะตอนนี้ทั้งร้านมีพิกุลยืนอยู่คนเดียว แววตาที่เต็มไปด้วยประกายโทสะมองมือตัวเองนิ่งเพื่อดูว่าอีกฝ่ายจะปล่อยมันเมื่อไหร่เพราะเริ่มมีเสียงซุบซิบดังมาให้ได้ยินแล้ว และคนที่เข้ามาแก้ไขสถานการณ์ครั้งนี้ก็คือ คุณภัทรผู้จัดการร้านที่เห็นท่าไม่ดี
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
“ทางร้านไม่อบรมพนักงานหรือไงถึงได้กล้าเถียงลูกค้าฉอด ๆ” เพื่อนที่มากับอัคคีเป็นคนเปิดปากตำหนิทางร้าน ทั้งที่มืออัคคียังจับกุมเธออยู่แท้ ๆ
“แล้วทำกับคนอื่นแบบนี้ได้รับการอบรมมาหรือยังคะ” พิกุลที่ได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างหน้าไม่อายเส้นความอดทนก็ขาดผึง มือเรียวยกขึ้นสูงให้คนอื่นได้เห็นโดยทั่วว่าอัคคีกำลังทำตัวไร้มารยาทแค่ไหน
“เออ...นั่นมัน”
“รบกวนปล่อยมือจากพนักงานของเราด้วยครับ” ก่อนที่เรื่องจะใหญ่ไปมากกว่านี้ ผู้จัดการร้านมากความสามารถก็พูดเสียงเรียบเพราะเขาเองก็รู้วีรกรรมของญาติเจ้านายดี
“เป็นแค่ผู้จัดการอย่าปากดีให้มาก แล้วถ้าอยากให้เรื่องจบดี ๆ ก็ไปเรียกไอ้วินมา”อัคคีเอ่ยอย่างถือดีและบอกเป็นนัยว่าคนที่จะจัดการปัญหานี้ได้คือเจ้าของร้านไม่ใช่ลูกจ้างพวกนี้
“เห็นทีจะไม่ได้ครับเพราะเจ้านายเราไม่ได้ว่างขนาดนั้น”
“นี่มึง !”
ภัทรพูดเสียงเรียบแต่ประโยคที่พูดออกมาไม่ต่างจากการบอกว่าอัศวินไม่มีเวลาพอที่จะมายุ่งกับปัญหาเล็กน้อยพวกนี้
ถ้าคนอื่นได้ยินคงไม่คิดอะไรมาก แต่เมื่อคนที่ภัทรพูดด้วยคือคนที่อยากเอาชนะและเกลียดบุคคลที่สามเข้าไส้ จึงไม่ต่างจากการที่ผู้จัดการหนุ่มดูถูกอีกฝ่ายจนน้ำเสียงที่ตอบกลับมาเต็มไปด้วยความเดือดดาล
แต่ผู้จัดการร้านที่ทำงานกับอัศวินโดยตรงได้ย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว แม้อีกคนจะชี้หน้าเขาอย่างหยาบคายทว่าภัทรเพียงยิ้มนอบน้อมส่งกลับไปเท่านั้น
“ใจเย็นก่อน”
เพื่อนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะรีบลุกขึ้นมาจับตัวอัคคีไว้พร้อมกับดึงมือของเพื่อนให้หลุดจากมือเรียวด้วย
ลูกค้าทั้งหลายที่เริ่มเห็นว่าเริ่มมีปากเสียงกันแล้วจากการตะคอกของอัคคีก็เริ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้น มาบ้างก็ถ่ายภาพ บ้างก็ถ่ายวิดีโอ จนเพื่อนที่มาด้วยกันต้องรีบพาตัวอัคคีออกไปจากร้าน และก่อนที่ทั้งสองร่างจะพ้นประตูอัคคีก็หันกลับมามองพิกุลและภัทรด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ