ตอนที่ 7
แดดเริ่มมากระทบผ้าม่านสีครีมหนา พอให้ความรู้สึกกับผู้นอนได้เป็นอย่างดี ภาคินัยงัยเงียลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เขาดูก็เห็นว่าบนโซฟาของญาติผู้ป่วยนั้นว่างเปล่า
“เจน คุณไปไหนเนี่ย” เขาดูที่ข้างข้อมือซ้ายก็ปรากฏว่าสายน้ำเกลือถูกถอดออกไปแล้ว
ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก
“เฮ้ย!..เป็นไงบ้างไอ้ภาคย์ เมื่อคืนแกหลับสบายเปล่าวะ”
“คุณเจนไปไหน”
“อ่าว!.. ไอ้นี่...ตื่นเช้ามาก็ถามหาสาว ข้าวปลาไม่กินก่อนหรือไง”
“ไอ้ก้อง เท้าชั้นว่างพอดี แกอย่าเพิ่งกวน”
“เออ!.. ก็คุณเจนเค้ารู้แล้วนะสิว่าแกไม่ได้ป่วยจริง”
“ใครบังอาจไปบอกเธอ แกหรือเปล่าวะ”
“ไม่มีใครทั้งนั้นเธอเป็นพยาบาล เกียรตินิยมนะโว้ย แค่นี้ทำไมจะดูไม่ออกวะ ต่อให้ชั้นไม่ใช่หมอยังรู้เลยว่าแกไม่ได้เป็นอะไร”
“แล้วตอนนี้เธออยู่ไหน”
“ก็ทำงานที่ห้องเจาะเหมือนเดินนะสิ..ถามได้”
“เฮ้ย!.. งั้นเดี๋ยวฉันมาว่ะ”
“เฮ้ย! แกจะรีบไป นะ ไห นน ..!!” ยังไม่ทันที่เพื่อนจะพูดจบ ระหว่างที่ภาคินัยกำลังจะลุกขึ้นแต่บังเอิญว่าเขาไม่ได้สวม กกน. และชุดคนไข้ก็ยาวรุ่มร่าม เขาเหยียบที่ปลายกางเกงแล้วล้มลง ในระหว่างนั้น ป้าแม่บ้านคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาทำความสะอาดพอดีเห็นเข้าถึงกับตะโกนลั่น
“ว้าย!!!.. ตาเถร” ภาคินัยรีบดึงกางเกงขึ้น แล้วหันหลังไปคุยกับเพื่อน
“ไอ้ก้อง ฉันวานแกไปเซเว่น ช่วยซื้อกางเกงในให้ฉันที ด่วนเลยนะ”
“เออ ๆ แกนี่มันจริง ๆ เลยนะ” ก่อนไปก้องเกียรติก็ยังมากระซิบป้าแม่บ้านที่ยืนตัวแข็งอยู่หน้าประตูทางเข้าห้อง
“ป้าครับ ลืมตาเถอะครับ ไม่มีอะไรแล้ว”
“โธ่! ป้าตกใจหมดเลยค่ะหมอก้อง”
“ขวัญเอ๊ย ขวัญมา ขวัญมาอยู่กับเนื้อกับตัวนะครับป้า” ก้องเกียรติปลอบขวัญคุณป้าแม่บ้าน สาวโสดขึ้นคานที่ไม่นึกไม่ฝันว่าวันหนึ่งจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
“ป้า ขอบคุณนะคะ!..ที่คุณหมอสุดหล่อช่วยปลอบใจป้า” ป้าสาวโสดวัยห้าสิบรีบขอบคุณด้วยความเขินอาย
“เออ!..ป้าครับ ห้องผมยังไม่ต้องทำความสะอาดก็ได้ครับ” ภาคินัยรีบตะโกนบอก
“ค่ะ ๆ งั้นป้าไปห้องอื่นก่อนนะคะ” หญิงสูงวัยพูดจบก็รีบเดินไปจากตรงนั้นทันที
ภาคินัยเข้าห้องน้ำและอาบน้ำเสร็จ พันผ้าเช็ดตัวออกมารอเพื่อนที่ไปซื้อ กกน. เขาเดินไปนั่งที่โซฟาของญาติผู้ป่วย ดูทีวีรอก้องเกียรติเพลิน ๆ
ก๊อก..ก๊อก..ก๊อก
“ไปซื้อถึงเมืองนอกหรือไงวะ นานจัง”
“รถมันติดนะสิ แล้วร้านสะดวกซื้อใกล้ ๆ มันก็ไม่มีนี่หว่า”
“โอเค ขอบใจมากเดี๋ยวชั้นรีบไปแต่งตัวก่อน”
ภาคินัยแต่งด้วยชุดใหม่ เพราะเพื่อนรู้ใจซื้อมาให้ทั้งชุด เสื้อผ้ากางเกง เปลี่ยนชุดเสร็จก่อนออกจากห้อง เขาก็พูดเพียงสั้น ๆ ว่า
“ฉันไปก่อนนะ” แล้วเดินออกไปด้วยความรีบร้อน
“อะไรของมันวะ เป็นเอามากนะไอ้นี่” คุณหมอหนุ่มถึงกับส่ายหัว
เป้าหมายของภาคินัยคือ ห้องเจาะเลือดนั่นเอง ระหว่างที่เดินเข้าลิฟต์พยาบาลสาวสวยหน้าวอร์ดก็มองตามกันเป็นแถว ๆ
“สวัสดีครับ คุณเจนจิรา มานะสกุลวงศ์” ภาคินัยถือโอกาสเรียกชื่อเต็มของพยาบาลสาวตามชื่อที่ติดอยู่โต๊ะทำงานของเธอ
“สวัสดีค่ะ คุณหายดีแล้วเหรอ”
“คุณรู้อยู่แล้วจะแกล้งถามทำไมเหรอ”
“ก็ฉันคิดว่าคุณจะเล่นละครต่อนะสิ”
“ไม่หรอก ต่อจากนี้ของจริงล้วน ๆ ครับ..ที่รัก”
“ใครที่รักคุณไม่ทราบ”
“ก็มีกันอยู่แค่สองคน จะให้ผมพูดกับใครละครับ”
“ถ้าคุณยังเป็นแบบนี้อยู่ ฉันจะไม่คุยด้วยแล้วนะ”
“โอเค..งั้นเราสงบศึกกันแป๊บ ที่ผมมานี่จะให้คุณพาไปทานข้าวเช้าสักหน่อยครับ ผมหิวมาก”
“ท้องเราก็ไม่ได้ติดกันสักหน่อยนี่คะ คุณหิวก็ไปทานสิ”
“ผมกำลังจ้างให้คุณดูแลผมอยู่นะ”
“ฉันรับจ้างดูและผู้ป่วย แต่คุณไม่ได้ป่วย ฉันขอยกเลิก”
“ถ้าคุณไม่ไปทานข้าวกับผม ผมจะนั่งอยู่ในห้องอย่างนี้และก็จ้องหน้าคุณอยู่แบบนี้”
ลูกตื๊อของเขาทำให้เจนจิรายอมไปทานข้าวเช้ากับเขาด้วย เพราะจริง ๆ แล้วเธอก็ยังไม่ได้ทานอะไรเหมือนกัน และให้เขานั่งจ้องหน้าแบบนั้นเธอทำงานต่อไม่ได้จริง ๆ
“คุณชอบอาหารญี่ปุ่นมั้ยครับ”
“ก็ไม่เชิงชอบ แต่ว่าก็ทานได้ค่ะ”
“โอเครครับ งั้นเราไปทานอาหารญี่ปุ่นกัน”
“เอาไว้วันหลังเถอะค่ะ วันนี้เราทานง่าย ๆ ที่โรงอาหารของโรงพยาบาลก็พอ”
“อืม ก็ได้ครับ คุณสัญญากับผมแล้วนะ”
ณ โรงอาหารชั้นล่างสุดของโรงพยาบาล
ระหว่างทานอาหารไปได้สักพักเจนจิราก็เอ่ยขึ้น
“ฉันมีเรื่องอยากจะถามคุณสักสองสามเรื่องจะได้มั้ย”
“ได้สิ”
“ทำไมคุณต้องแกล้งป่วย คุณต้องการหลอกใครเหรอ”
“ถ้าผมเล่าความจริงให้ฟังแล้ว คุณจะช่วยผมปกปิดความลับไว้หรือเปล่าล่ะ”
“ก็ถ้าสิ่งที่คุณโกหกมันคือสิ่งที่จำเป็นในชีวิตละก็ ฉันยินดีช่วยค่ะ”
“ก็ได้งั้นผมจะเล่าให้คุณฟัง แม่ผมบังคับให้หมั้นกับหญิงคนหนึ่ง” ภาคินัยถอนหายใจแล้วจึงเล่าต่อ
“ถ้าลูกไม่อยากแต่งงานกับหนูเง็ก ลูกก็ต้องหาเมียให้ได้ในเวลาที่แม่กำหนด แม่อยากให้แม่เห็นหน้าหลานไวๆ หรือว่าภาคย์อยากให้แม่ตาย” เขาเล่าตามที่แม่เขาพูด
“แสดงว่าตอนนี้แม่คุณป่วยเหรอ”
“แม่ผมแกล้งป่วยนะสิ ตอนแรกผมเชื่อสนิทใจเลย แต่พอจับได้ผมเลยหนีก่อนวันหมั้น ผมปรึกษาไอ้ก้องมันบอกให้ผมแกล้งป่วยมาอยู่ที่นี่ เพราะถ้าไปบ้านมันแม่ผมก็รู้อยู่ดีแหละ”
“แล้วคุณจะเอายังไงต่อไป”
“ก็อย่างที่แม่ผมบอกนะแหละ ถ้าผมมีแฟนอยู่แล้วก็ไม่จำเป็นต้องกลับไปแต่งหรือไปหมั้นเพื่อรอแต่ง” พูดจบแววตาของเขาก็เป็นประกายวาววับทันที
“คุณ...คุณเจน คุณช่วยผมหน่อยสิ”
“ช่วยอะไรเหรอคะ ก็ช่วยแกล้งเป็นแฟนไปหลอกแม่ผมหน่อยสิ หรือว่าจะคบกับผมเป็นแฟนจริง ๆ เลยก็ได้นะ
“ยี้!.. ไม่เอาหลอก ไปหลอกคนแก่บาปตายเลย เชิญคุณไปหาคนอื่นเถอะ”
“โธ่!.. ถ้าคุณไม่ยอมช่วยเป็นแฟนหลอก ๆ ก็ช่วยเป็นแฟนจริง ๆ ได้มั้ย”
“ห๊า!!!!. อะไรกันคุณ..เราเพิ่งเจอกันเองนะ”
“จะเป็นอะไรไปล่ะครับ ผมจริงใจนะ”
“มันเปนเรื่องตลกเทาที่ฉันเคยไดยินมา และเรื่องพวกนี้มันก็มีแค่ในละครเท่านั้นแหละ” หญิงสาวแคนหัวเราะออกมาเล็กนอย เธอก็แคอยากจะรูเหตุผลวาทำไมภาคินัยถึง ตองเลือกที่จะโกหกทุกคนโดยใชเธอเปนคนรักของเขา
“เอาน่า ถือว่าช่วยผม แต่จริง ๆ ระหว่างที่เป็นแฟนหลอก ๆ คุณจะลองเปิดใจคบกับผมก็ได้นะ”
“เอาเป็นว่าฉันขอคิดดูก่อนก็แล้วกันนะ”
“คุณไม่ต้องคิดมากน่า ผมมีค่าจ้างให้ด้วย และถ้าแม่ผมตกลงยอมรับคุณเป็นสะใภ้วันไหนก็ตาม ผมจะจ่ายให้คุณห้าล้าน”
“เงินเยอะซะด้วย แต่ก็อย่างที่ฉันบอกไปนั่นแหละ ต้องขอคิดดูก่อน ยังไงมันก็การเป็นการโกหกอยู่ดี”
“ถ้าคุณไม่อยากโกหก ก็ลองคบกับผมจริง ๆ เลยสิครับ ผมจริงใจไม่กะล่อนหลอกลวงครับ รับประกันได้”
“อย่างคุณเนี่ยนะ จริงใจไม่กะล่อน”
“ใช่ครับ ผมกล้ายืนยัน คุณจะลองถามไอ้หมอก้องเพื่อนผมก็ได้”
“คุณก็พูดได้นะสิหมอก้องเค้าเป็นเพื่อนคุณ ฉันขอดู ๆ คุณไปก่อนละกัน”
“งั้นก็ได้ครับ” ภาคินัยเริ่มใจชื้นขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็ถือว่าเธอเปิดโอกาสให้เขาเดินหน้าจีบแล้ว
“กลับกันหรือยังค่ะ ฉันไม่อยากทิ้งงานมานาน ๆ มันเอาเปรียบเพื่อนร่วมอาชีพ” ชายหนุ่มยักไหล่เป็นการตอบแล้วเดินตามหญิงสาวไป