เกื้อการุณเดินจูงมือหญิงสาวจนมาถึงรถของเขาสองคันที่จอดรอเคียงกันอยู่ คันแรกเป็นมินิแวนคันหรูที่เขานั่งมาที่นี่กับเธอ
ส่วนอีกคันรถทรงสปอร์ตสีขาวคันงามที่เขาเพิ่งสั่งให้คนขับมาให้เขาที่นี่เหมือนกัน
เพราะตอนไปหาชายหนุ่มที่บริษัท มนัสยาไม่ได้ขับรถไปเอง เขาจึงให้เธอนั่งรถมินิแวนคันนี้กลับ ส่วนเขาจะขับรถทรงสปอร์ตนี้ไปเอง
ก่อนที่มนัสยาจะขึ้นรถไป ชายหนุ่มได้หันมาย้ำกับเธอว่า พรุ่งนี้ให้รอการติดต่อจากเลขาฯของเขา เขาจะให้เลขาฯพาเธอไปทำธุระบางอย่างให้เรียบร้อย ซึ่งมนัสยาก็ไม่ได้เซ้าซี้ถามว่าธุระเกี่ยวกับเรื่องอะไร เพราะหน้าที่หลักของเธอมีแค่ทำตามที่เขาต้องการทุกอย่างเท่านั้น
แล้วเขาก็ก้าวขึ้นไปนั่งบนรถสปอร์ต ก่อนจะขับออกไปจากที่นี่ทันที
หญิงสาวนั่งรถกลับบ้านในสภาพจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่นัก เธอหวาดกลัวว่ามารดาจะรู้เรื่องที่เธอกำลังทำอยู่นี่เข้าสักวัน ไม่ใช่มีแค่ผู้เป็นแม่สิที่เธอหวาดกลัวกับชาลิสาเพื่อนรักของเธอด้วยอีกคนที่จะให้รู้เรื่องนี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด
เพื่อนรักของเธอจะผิดหวังกับเธอมากแค่ไหน หากรู้ว่าลับหลังเธอรับเป็นนางบำเรอความใคร่ให้กับคุณอาผู้ใจดีของเพื่อนคนนี้
ขณะที่มนัสยานั่งอยู่ในรถและอีกไม่ไกลที่จะถึงบ้านของเธอแล้ว ตอนนี้เองมนัสยาสังเกตเห็นรถมอเตอร์ไซต์คันโตมีผู้ชายสองคนสวมหมวกกันน็อคสีดำได้ขี่รถสวนทางกับรถของเธอไป
หรือว่าคนพวกนั้นติดต่อเรื่องพี่ชายของเธอกลับมาแล้ว!
มนัสยาเอี้ยวตัวกลับไปมองที่รถมอเตอร์ไซต์คันน่าสงสัย และเวลานี้เองที่คนสนิทของเกื้อการุณก็เห็นท่าทางแปลกๆ ของเธอด้วย
"มีอะไรหรือเปล่าครับ คุณยาหยี"
หญิงสาวหันกลับมาส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธ "เปล่าค่ะ"
วีรชาติมองท่าทีของหญิงสาวด้วยสายตาครุ่นคิด แต่เมื่อเห็นเธอปฏิเสธ เขาก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
พอรถมินิแวนคันงามเข้ามาจอดตรงหน้าบ้านหลังหนึ่ง หญิงสาวก็รีบลงจากรถไป โดยมีผู้แม่เป็นกำลังยืนรอการกลับบ้านของลูกสาวด้วยท่าทางกระวนกระวายอยู่
ครั้นเห็นร่างบอบบางของลูกสาวปรากฏตัวตรงหน้า ก็รีบเข้ามาทันที
"หยี...กลับมาแล้วหรือลูก...แล้วนั่นรถของใคร..." สายตาของนพนภาจับจ้องไปที่รถคันแปลกตาด้วยความสนใจ
"เป็นรถของคุณอาเพื่อนน่ะค่ะ พอดีคุณอามีน้ำใจให้คนขับมาส่งหยีที่บ้าน..." มนัสยาตอบก่อนจะรีบถามไปอีกเรื่องเพื่อเบนความสนใจของมารดากลับมาที่เธอ "ว่าแต่คุณแม่มีอะไรที่คืบหน้าเกี่ยวพี่มนัสใช่มั้ยคะ"
"ใช่ พวกมันเพิ่งมาหย่อนจดหมายให้... เมื่อกี้"
มนัสยาเห็นคนสนิทของคุณอายังไม่ยอมขับรถออกไปเสียที เธอเลยยื่นหน้าไปกระซิบบอกผู้เป็นแม่ว่า "เรา...เข้าไปคุยกันที่ข้างในบ้านดีกว่าค่ะ"
จากนั้นเธอก็เป็นฝ่ายพยุงตัวผู้เป็นแม่กลับเข้าไปในบ้าน ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยของวีรชาติที่รู้สึกว่าทั้งสองแม่ลูกนี้มีอะไรแปลกๆ บางอย่างซ่อนเร้นเอาไว้อยู่
ครั้นเลี่ยงเข้ามาคุยกันในบ้านแล้ว มนัสยาก็ลอบมองดูมินิแวนคันเดิมว่าจะจอดแช่อยู่ที่ตรงนั้นหรือไม่ และเมื่อเห็นว่าคนสนิทคุณอาของเพื่อนรักกลับไปแล้ว เธอก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะรีบเปิดจดหมายที่มารดาเพิ่งยื่นให้มาอ่านดู
เนื้อความในจดหมายบอกว่า อีกสามวันให้เธอนำแปดแสนบาทไปวางไว้ที่ตรงไหน...
หญิงสาวรู้สึกโล่งใจอยู่บ้างที่สามารถหาเงินมาช่วยพี่ชายได้ทัน แต่ครั้นจะให้เธอช่วยเขาทุกครั้งคงจะไม่ไหวแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเธออาจจะต้องขายตัวให้กับมหาเศรษฐีทั่วทั้งโลกเลยทีเดียว ถึงจะสามารถหาเงินมาคอยตามแก้ปัญหาไปตลอดเช่นนี้
"ว่ายังไงลูก พวกมันว่ายังไงอีก" เสียงของผู้เป็นแม่ปลุกมนัสยาให้พ้นจากภวังค์ความคิด
"พวกมันบอกว่า อีกสามวันให้เรานำเงินแปดแสนใส่เป้สีน้ำตาล แล้วเอาไปวางที่ม้านั่งตรงสวนหย่อมทางเข้าหมู่บ้านค่ะ มันบอกว่าให้เอาไปวางตอนตีสี่"
"แล้วเรื่องเงินล่ะ..." นพนภาถามบุตรสาวด้วยแววตาเกรงใจต่อ
"คุณแม่ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ หยีหาเงินมาได้ทันเวลาพอดี"
นพนภาทำท่าโล่งใจ แล้วน้ำเสียงของลูกสาวก็แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขึ้นไปเมื่อพูดออกมาอีกว่า
"แต่ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่หยีจะยอมช่วยคุณแม่จัดการเรื่องพี่มนัสนะคะ หยีคงจะไม่สามารถตามไปช่วยพี่เขาได้ทุกครั้งหรอกค่ะ"
นพนภาสบตากับบุตรสาวด้วยความเข้าใจ "แม่เข้าใจ เอาเป็นว่าครั้งนี้ก็จะเป็นครั้งสุดท้ายที่แม่จะช่วยพี่ชายของลูกด้วย แม่รู้นะว่ามันเป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อย สำหรับคนหนึ่งที่จะตามแก้ปัญหาให้กับอีกคนที่ขยันสร้างปัญหาไม่จบไม่สิ้น และแม่ก็ผิดเองที่เลี้ยงพี่ชายเราให้เป็นคนนิสัยไม่ดี"
มนัสยาจับมือผู้เป็นแม่ แสดงความเห็นอกเห็นใจท่าน "คุณแม่อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ คุณแม่เลี้ยงหยี เลี้ยงพี่มนัสมาดีแล้ว แต่เป็นพี่มนัสต่างหากที่ทำตัวแย่เอง เอาเป็นว่าคุณแม่อย่ามัวโทษตัวเอง และถ้าพี่มนัสกลับมาแล้ว เราสองคนจะยื่นคำขาดแบบนี้ ว่าต่อไปพี่มนัสสร้างปัญหาอะไรขึ้นมาอีก เราสองคนจะไม่ขอรับทราบและไม่ช่วยเหลืออีกแล้ว"
นพนภาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เธอยิ่งรักลูกชายและคอยช่วยเหลือเขาอยู่อย่างนี้ ลูกสาวคนนี้ก็จะยิ่งลำบากไปด้วย จิตใจคนเป็นแม่ เมื่อถึงเวลาก็ควรที่จะสละเนื้อร้ายเพื่อรักษาเนื้อดีเอาไว้ดีกว่า คงถึงเวลาที่ตนจะทำใจแข็งกับลูกชายคนนี้จริงๆ แล้วล่ะ
.
รถสปอร์ตสีขาวได้ขับเข้ามาจอดยังร้านอาหารที่ตกแต่งสไตล์ยุโรปชื่อดังย่านเอกมัย เมื่อเกื้อการุณลงจากรถ ก็มีพนักงานรับรถเข้าไปจอดให้ยังที่จอดประจำของเขา การมีหุ้นส่วนอยู่ในร้านอาหารหรูแห่งนี้ก็ดีไปอย่าง เขาก็เลยได้ที่จอดรถระดับวีไอพีเป็นของกำนัลพิเศษไปในตัว
พนักงานชายของร้านเดินมาสอบถามข้อมูล เขาจึงแจ้งรายละเอียดบางอย่างแก่พนักงานคนดังกล่าว แล้วพนักงานคนนี้ก็นำเขาไปยังห้องอาหารพิเศษที่มารดาของเขากับแขกของท่านกำลังนั่งรออยู่
เพียงประตูห้องถูกเปิดออก เกื้อการุณสบตากับมารดาที่นั่งรออยู่แล้วทันที ชายหนุ่มเดิมค้อมตัวเล็กน้อยยามผ่านแขกอีกสามคนเพื่อเป็นการขอโทษที่ทำให้ทุกคนในห้องนี้ต้องรอเขาคนเดียว
"เกื้อนั่งลงข้างๆ หนูแพรสิ"
มารดาของเขา นามว่าคุณหญิงวีรกานต์บอกด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม กระแสเสียงที่เอ่ยถึงหญิงสาวคนดังกล่าวเต็มไปด้วยความเอ็นดูอย่างเห็นได้ชัด
"ครับ" ชายหนุ่มรับคำ ยิ้มอย่างสุภาพก่อนจะนั่งลงข้างๆ หญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่ง ส่วนแขกอีกสองคนที่นั่งอยู่ในห้องนี้ก็เป็นบิดาและมารดาของเธอนั่นเอง
จากนั้นเกื้อการุณก็หันไปทักทายเธอที่มีท่าทีเอียงอายขึ้น "น้องแพรมาถึงนานรึยังครับ"
"มาถึงก่อนพี่เกื้อสักสิบนาทีค่ะ" แพรไหมตอบอย่างไม่กล้าสบตาคมกล้าคู่นี้ จิตใจพลอยหวิวๆ ทุกครั้งที่ได้ใกล้ชิดเขา
"ขอโทษที่พี่ทำให้น้องแพรต้องรอ พอดีเกิดอุบัติเหตุทำให้รถติดนิดหน่อย" เขาหมายถึงระหว่างทางที่ขับออกจากเดอะ ไพรม์มา มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นจริงๆ เขาไม่ได้มาถึงที่นี่ช้าเพราะหญิงสาวอีกคนหรอกนะ
แล้วหญิงสาวที่นั่งข้างๆ ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา เธอแค่ยิ้มรับบางๆ รับตามแบบหญิงสาวผู้เรียบร้อยและอ่อนหวานเท่านั้น
เกื้อการุณปรายตามองเธออย่างสำรวจอีกครั้ง เขาสังเกตว่าสีหน้าและท่าทางของเธอดูดีกว่าที่พบกันครั้งที่แล้ว อาการไม่สบายของเธอคงค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับแล้วล่ะ
เมื่อเห็นว่าทุกคนมาพร้อมกันแล้ว คุณหญิงวีรกานต์จึงพยักหน้าให้บริกรของร้านเริ่มเสิร์ฟอาหารค่ำในวาระที่สุดแสนพิเศษได้
.
หลังจากการรับประทานอาหารเย็นนัดกระซับความสัมพันธ์ของสองตระกูลดังที่กำลังจะดองกันในอนาคตอันใกล้ผ่านไปเรียบร้อย เกื้อการุณเดินไปส่งแพรไหมกับบิดารมารดาของเธอขึ้นรถกลับ เมื่อรถอัลพาร์ดสีดำแล่นออกไปแล้ว เสียงของมารดาที่เดินตามหลังมาติดๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า
"ตอนแรกแม่ก็ใจไม่ดี นึกว่าเกื้อจะไม่มาเสียแล้ว"
เขาหมุนตัวกลับมาหาเจ้าของเสียง จ้องสีหน้าเคร่งขรึมท่านเล็กน้อย ก่อนจะตอบท่านว่า "ผมให้สัญญาแล้วนะครับ"
คุณหญิงวีรกานต์วางมือบนบ่าข้างหนึ่งลูกชาย "ดีที่ลูกเข้าใจเรื่องสัจจะวาจา คุณปู่และคุณพ่อของลูกท่านถือเรื่องนี้มาก และการที่กิจการของเราดำเนินอย่างยาวนานมาสามสิบกว่าปีได้ ก็เพราะเรื่องของสัจจะวาจานี่แหละ"
เกื้อการุณมีสีหน้าเคร่งขึ้นเล็กน้อย เข้าใจว่ามารดาของเขากำลังกล่าวย้ำเตือนเขาในเรื่องใด เขาค่อยๆ ดึงมือที่วางบนบ่าข้างนั้นมากุมแล้วเอ่ยตอบว่า "คุณแม่หวาดกลัวว่าผมจะบิดพลิ้ว ไม่ยอมทำตามคำพูดที่ให้ไว้กับคุณพ่อก่อนท่านเสียหรือครับ"
"แม่... "คุณหญิงคนดังมีสีหน้ากระอั่กกระอ่วนใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา เกื้อการุณก็ไม่ได้ชอบให้ใครมาบังคับเขาอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องค่อนข้างสำคัญ และบุตรชายคนนี้ก็ตระหนักได้อยู่ เขาจึงยอมทำตามคำสั่งเสียของบิดาอย่างไม่มีเงื่อนไขนั่นเอง
เกื้อการุณเห็นอาการที่ไม่ค่อยสบายใจของมารดา เขาก็เอ่ยอีกว่า "วางใจเถอะครับ ถึงเวลานั้นมา ผมจะไม่มีทางทำให้คุณพ่อท่านผิดหวัง"
"ขอบใจมากนะลูก" แล้วคุณหญิงก็โผเข้ากอดตัวบุตรชายพร้อมตบที่แผ่นหลังเขาเบาๆ ตาม "เพราะพี่ชายของลูกอายุสั้น ภาระนี้เลยต้องมาตกอยู่ที่ลูกแทน" คุณหญิงยังพึมพำด้วยความเห็นใจบุตรชายคนนี้
เวลานี้รถโรลส์-รอยซ์คันงามอีกคันก็ได้เข้ามาจอดใกล้ๆ เกื้อการุณจึงจับมือมารดาแล้วส่งท่านขึ้นไปนั่งในรถคันดังกล่าว
ขณะที่รถคันงามค่อยๆ แล่นห่างออกไป เกื้อการุณยังยืนครุ่นคิดถึงคำพูดของมารดาอีกว่า 'ภาระ และหน้าที่' ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เขารู้สิ...
แต่กว่าที่เวลานั้นจะมาถึง เขาจึงต้องเร่งตักตวงความสุขในชีวิตโสดเอาไว้ให้คุ้มค่า แล้วก็หวนนึกถึงดวงหน้าหวานละมุนกับเสียงครางเล็กๆ ของเธอขึ้นมา แถมราวกับว่ากลิ่นคาวสวาทของหญิงสาวที่ซาบซ่านยังติดอยู่ตรงปลายลิ้นนี่เอง กลิ่นเธอยังไม่ได้หายไปไหน ...
เลือดภายในกายของเขาก็พลอยร้อนระอุขึ้นมาอีก นึกแล้วอยากเร่งวันเร่งคืนที่จะได้แนบชิดกับเธออีกครั้งจริงๆ
.