พิราสินีเดินทางกลับมาที่คฤหาสน์สุดหรูในเวลาต่อมาหลังจากที่ไปส่งเพื่อนทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว เธอมีเพื่อนไม่มากเพราะตัวเองเป็นคนอารมณ์ร้อนและเอาแต่ใจตัวเองอย่างถึงที่สุด จะมีคนที่อดทนกับเธอได้ถือว่าเก่งมากเธอจึงยอมทุกอย่างทั้งเลี้ยงเพื่อนซื้อของให้แค่หวังว่าพวกเธอจะอยู่ด้วยกันนานที่สุด
หญิงสาวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าแบรนด์เนมกดโทรไปหาเพื่อนที่สนิทที่สุดซึ่งตอนนี้เธอคงกำลังทำงานอยู่
(ว่าไงจ้ะเพื่อนรัก)
"แกอยู่ไหนไม่มาเจอฉันเลยนะ ทำงานอยู่นั่นแหละแกควรพักบ้างนะ"
(นี่คุณหนูพริ้งพราว... ฉันต้องทำมาหากินค่ะ แล้วนี่แกไปช็อปปิ้งแล้วเลี้ยงเพื่อนพวกนั้นอีกแล้วใช่มั้ย ฉันเตือนตลอดแต่ไม่ฟังกันเลย พวกนั้นมันไม่มีใครจริงใจกับแกเลยสักคนหลอกกินฟรีหลอกให้ซื้อของให้เท่านั้น)
"ฉันยินดีให้หลอกนะแล้วแกไม่เอาบ้างเหรอฉันมีเงินนะ"
พิราสินียิ้มกว้างอออกมาอย่างอารมณ์ดี บ้านเธอรวยมากพ่อเป็นผู้ดีตระกูลเก่าเงินที่มีใช้ทั้งชาติไม่รู้มันจะหมดรึเปล่า แต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่เคยหวังอะไรจากเธอไปไหนก็ช่วยกันหารตลอดเธอจึงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เธอรักมากที่สุด
(ไม่เอาอ่ะฉันไม่ได้อยากได้อะไรจากแกทั้งนั้น เป็นเพื่อนกันไม่จำเป็นต้องหวังผลประโยชน์จากเพื่อน)
พลอยไพลินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจังเธอเองไม่ได้ดีอะไรมากแต่ก็ไม่คิดจะเอาเปรียบเพื่อนเลยสักครั้ง พริ้งพราวยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงหวาน
"แกมันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเลย ทั้งชีวิตฉันคงมีแกเป็นเพื่อนคนเดียวแค่นี้แหละ ทำงานเถอะว่างก็ทักมานะเดี๋ยวไปรับมากินข้าวกัน"
(ได้ดิยังไงเจอกันนะ)
พิราสินีกดวางสายก่อนจะหลับตาลงเพื่องีบหลับ ตั้งแต่เธอโตมาชีวิตก็มีแต่คุณพ่อที่เลี้ยงดูมา ใช้เงินเลี้ยงเธอแทบไม่มีเวลาอบรมสั่งสอน และเธอเองก็กลายเป็นคนใช้แต่เงินเพราะพ่อสอนให้เธอใช้เงินแก้ปัญหาทุกอย่าง
"คุณหนูไปไหนอีกมั้ยครับหรือว่าจะกลับเลย"
"กลับสิถามมาได้มืดขนาดนี้แล้วฉันคงไปเที่ยวต่อได้มั่ง นายนี่เป็นบอดี้การ์ดฉันมากี่วันแล้วทำไมยังไม่รู้อีกว่าฉันจะไม่ออกบ้านหลังหนึ่งทุ่มเพราะพ่อฉันจะบ่น"
พิราสินีลืมตาขึ้นมาบ่นบอดี้การ์ดชุดใหญ่ ไม่ได้ดั่งใจเธอเลยสักคนบอดี้การ์ดพวกนี้ทำอะไรก็ขัดใจไปเสียหมดจนทำให้เธอเสียอารมณ์ในการใช้ชีวิตในแต่ละวัน
"ขอโทษครับคุณหนูผมจะจำไว้ครับ"
"ไม่ต้องจำและพรุ่งนี้ไม่ต้องมาเป็นบอดี้การ์ดให้ฉันเห็นหน้าก็หงุดหงิดเสียอารมณ์แล้ว รีบขับไปถึงบ้านเร็วๆหน่อยฉันอยากนอนเข้าใจมั้ย"
พิราสินีเริ่มเหวี่ยงไปทั่วอีกแล้วและนี่เป็นอีกครั้งที่เธอเปลี่ยนบอดี้การ์ดและในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอเปลี่ยนบอดี้การ์ดไปทั้งหมดห้าคนแล้ว พวกนี้ไม่มีความอดทนอยู่กับเธอไม่ได้หรอก
"เข้าใจครับ"
บอดี้การ์ดของเธอรีบขับรถด้วยความรวดเร็วไม่ว่าจะกี่คนก็ต้องถูกไล่ออกไปแบบนี้ และเมื่อมาถึงที่บ้านหญิงสาวก็ปากระเป๋าทิ้งลงบนโซฟาถอดรองเท้าทิ้งไว้ตรงนั้นก่อนจะนั่งลงด้วยใบหน้าบึ้งบูด
ท่านพยัคฆ์เห็นลูกสาวที่เพิ่งกลับเข้ามาก็ปรี่เข้าไปหาด้วยความโกรธ วันนี้เธอใช้เงินเยอะมากแถมยังไล่บอดี้การ์ดที่เขาหาให้อีกในรอบหนึ่งเดือน ถ้าเป็นแบบนี้เขาจะทนไม่ไหวกับพฤติกรรมของลูกสาวแล้ว
"แกไล่บอดี้การ์ดออกอีกแล้วเหรอพริ้งพราว"
"ก็น่ารำคาญนี่คะเคยบอกอะไรไปไม่เคยจะจำ ไม่ต้องมีมันหรอกค่ะหนูดูแลตัวเองได้"
หญิงสาวหลับตาลงบนโซฟาเพราะว่าเหนื่อยที่เดินช็อปปิ้งทั้งวัน คุณพ่อถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจเดินมานั่งตรงข้ามลูกสาวมองหน้าอย่างหมดคำจะพูด
"แกใช้เงินเยอะเกินไปแล้ว ถ้าทำงานพ่อไม่ว่าสักคำเลยนะแต่นี่แกเล่นเที่ยวทุกวันใช้เงินเป็นว่าเล่น สงสัยพ่อต้องยึดบัตรแล้วก็รถซะแล้วล่ะมั่งเผื่อว่าแกจะคิดได้"
พิราสินีลืมตาขึ้นอย่างตกใจที่คนเป็นพ่อพูดมาแบบนั้น ถ้าเขายึดบัตรของเธอจะเอาเงินจากไหนมาใช้ล่ะ อีกอย่างเธอยังไม่อยากทำงานยังสนุกกับการใช้ชีวิตอยู่เลย
"พ่อคะหนูเพิ่งอายุเท่าไหร่เองสัก30ปีค่อยทำก็ได้ค่ะยังไม่สาย"
"แก28แล้วนะไม่ใช่เด็ก หลังจากนี้พ่อขอสั่งให้แกไปหางานทำซะแล้วก็หยุดช้อปปิ้งด้วยเพราะถ้ายังเอาเงินไปเลี้ยงเพื่อนแบบนี้แกจะโดนลงโทษด้วยการยึดบัตร!"
"พ่อ! จะทำกับหนูแบบนี้ไม่ได้นะ พ่อ! กลับมาคุยกันให้รู้เรื่องนะ กรี๊ดดดด พ่อ"
หญิงสาวร้องโวยวายออกมาเสียงดังลั่นบ้านที่ถูกผู้เป็นพ่อขัดใจหลังจากที่เคยตามใจมาโดยตลอดจนเสียคนแบบนี้ เธอปาหมอนใส่กำแพงอย่างระบายอารมณ์โกรธที่คนเป็นพ่อพูดจาไม่น่ารักกับเธอแบบนี้
ท่านพยัคฆ์เดินออกมาก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย หยิบโทรศัพท์กดโทรไปหากันต์ธีและขอให้พรุ่งนี้เขาช่วยมาที่บ้านหน่อย
"กันต์พรุ่งนี้มาหาอาที่บ้านนะ"
(ได้ครับอา ให้ผมเริ่มงานบอดี้การ์ดเลยใช่มั้ยครับ)
"ใช่... ขอบคุณมากนะยังไงอาฝากน้องด้วย"
(ได้ครับ)
ดวงดาราได้ยินเสียงกรีดร้องก็เดินเข้าไปหาคุณหนูของบ้านทันที พิราสินีปาหมอนใส่กำแพงจนนุ่นกระจัดกระจายเต็มไปทั่ว เธอเดินไปแย่งหมอนออกจากมือของหญิงสาวก่อนจะดึงเธอมาสวมกอดไว้แน่น
"เกิดอะไรขึ้นพริ้งพราว"
"คุณน้าขาคุณพ่อดุหนูค่ะ ฮืออออ ท่านขู่จะยึดบัตรด้วยแถมยังไล่ให้ไปทำงานอีก"
"โธ่เอ้ยหนูต้องใจเย็นกับคุณพ่อให้มากกว่านี้นะลูก หนูต้องควบคุมอารมณ์ของตัวเองด้วยทำแบบนี้พ่อจะมองว่าไม่น่ารักนะคะ"
เธอพยายามเตือนสติหญิงสาวแต่ดูเหมือนว่าพริ้งพราวจะไม่ยอมรับฟังที่เธอเป็นอยู่ทุกวันนี้เพราะว่าคนเป็นพ่อไม่ยอมให้ความอบอุ่นมัวแต่ทำงานจนลืมว่าต้องให้ความรักกับลูกด้วย
"ช่างสิคะหนูไม่สนใจหรอก พ่อก็ไม่ได้สนใจหนูอยู่แล้วนี่คะไม่งั้นจะไล่ให้ออกไปหางานทำเหรอ หนูขึ้นห้องก่อนนะคะคุณน้า"
พริ้งพราวสะบัดหน้าอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินจ้ำอ้าวขึ้นไปในห้องนอนของตัวเอง ดวงดาราถอนหายใจออกมาเล็กน้อยมองตามเธอไปก่อนจะส่ายหน้าอย่างปลงๆ
เธอเดินออกมาจากห้องรับแขกก็เจอกับท่านพยัคฆ์กำลังมองเธออยู่เช่นกัน
"เพราะคุณคนเดียวที่เลี้ยงหลานฉันแบบผิดๆจึงกลายเป็นเด็กแบบนี้"
"แล้วทำไมคุณไม่มาเลี้ยงตั้งแต่แรกล่ะ พี่คุณเสียตั้งแต่พริ้งพราวยังเด็กทำไมคุณถึงไม่อยู่เลี้ยงหลานที่นี่"
"สิ่งที่คุณทำมันน่ารังเกียจไงฉันถึงไม่อยากจะมองหน้า แต่ช่างเถอะฉันแค่ห่วงหลานก็เลยมาที่นี่ ต่างคนต่างอยู่เถอะค่ะส่วนพริ้งพราวฉันจะดูแลเอง"
ดวงดาราเดินหนีไปจากตรงนั้นทันที ท่านพยัคฆ์มองตามเธอไปก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า เขาพลาดเองมันผิดพลาดตั้งแต่เริ่มและตอนนี้เขาพยายามแก้ไขมันอยู่
"ขอโทษนะดวงดารา ผมขอโทษ"
ดวงดาราหยุดชะงักไปก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เขาไม่มีความจำเป็นต้องพูดถึงเรื่องอดีตอีกต่อไปเพราะเธอเองไม่อยากจะจำแล้ว
"สายไปแล้วและไม่ต้องพูดถึงมันอีกฉันไม่อยากฟัง!"