ในช่วงบ่ายลูกศิษย์ในสำนักทุกคนต่างก็ไปรวมตัวที่ลานประลอง โดยปกติวิชานี้ทุกคนจะจับคู่กันฝึกซ้อมประลองวิชา ตอนแรกอี้หลันตั้งใจจะจับคู่กับเพื่อนสนิทอย่างหนิงฟาง แต่ท่านอาจารย์ก็พาบรรดาศิษย์พี่ชายหญิงหลายคนเข้ามาในลานประลอง
"เพื่อตรวจสอบทักษะการต่อสู้ของลูกศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ ทางเจ้าสำนักได้สั่งให้ศิษย์พี่ของพวกเจ้ามาประลองแข่งขันด้วยเพื่อที่จะได้หาจุดด้อยของแต่ละคนออกมา อีกทั้งพวกศิษย์พี่จะได้คอยชี้แนะให้พวกเจ้าด้วย"
คำพูดของอาจารย์ฟังแล้วดูดี แต่อันที่จริงแล้วเป็นการส่งพวกนางให้กับศิษย์พี่ทั้งหลายต่อยตีเสียมากกว่า นี่คงเป็นวิธีการที่จะช่วยลดความทระนงตนของบรรดาลูกศิษย์ที่เข้ามาใหม่ เป็นการรักษากฎระเบียบภายในสำนัก
อี้หลันมองเห็น 'เจ้าคนสติไม่ดี' ที่บังคับให้นางวิ่งรอบภูเขาเพิ่มอีกห้ารอบได้อย่างชัดเจน บุรุษผู้นั้นก็อยู่ในกลุ่มของศิษย์พี่ที่จะเข้ามาร่วมทดสอบในวันนี้ด้วย แม้ว่าหน้าตาและรูปร่างของเขาจะดูเหมือนคนอายุประมาณยี่สิบ แต่ดูจากลำดับที่ยืนเขาคงเป็นศิษย์พี่อาวุโสที่อยู่ในสำนักมานาน
ด้านข้างของเขายังมีจ้าวหมิงอดีตคู่หมั้นของนางยืนอยู่ด้วย คนทั้งสองเมื่อยืนคู่กันก็ดูแล้วเจริญหูเจริญตาดี เนื้อเรื่องเดิมศิษย์พี่หลิงคนนี้ความสามารถของเขาโดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์ที่อยู่ในสำนัก แต่ในนิยายเน้นเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของพระเอกและนางเอก จึงไม่ได้เน้นเรื่องราวในโลกบำเพ็ญเพียรมากนัก บทบาทของศิษย์พี่หลิงจึงโผล่มาเพียงประปราย เรียกได้ว่าเป็นตัวประกอบ และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับนางเอกคนเดิมของเรื่องเลยแม้แต่น้อย
จ้าวหมิงสังเกตเห็นแล้วเช่นกันว่าอดีตคู่หมั้นของตนมองมาทางนี้ ชายหนุ่มคิดในใจว่าถึงแม้ว่านางจะตัดสัมพันธ์ทำท่าไม่สนใจเขาแต่ถึงอย่างไรเวลานี้นางก็ยังจ้องมองมาตรงที่เค้ายืนอยู่อย่างไม่ละสายตา…นี่แสดงให้เห็นได้ว่าอีกฝ่ายยังคงให้ความสนใจเขาอยู่
หลังจากอาจารย์ให้เลือกจับคู่จ้าวหมิงก็เดินเข้าไปหาอี้หลัน "หลันหลัน พลังวัตรของเจ้ายังคงอ่อนแอ เจ้าเลือกข้าเป็นคู่ประลองเถิด ข้ารับรองว่าจะออมมือทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด"
อี้หลันเงยหน้าขึ้นมองจ้าวหมิง ดูเหมือนว่าทฤษฎีในนิยายจะเป็นจริง เมื่อนางไม่สนใจเขา ฝ่ายพระเอกก็จะมาเป็นฝ่ายสนใจนางแทน ถ้าหากเป็นนางเอกคนเดิมคงจะดีใจจนเนื้อเต้น แต่ช่างน่าเสียดายที่ตอนนี้อี้หลันไม่ได้สนใจพระเอกคนเดิมเลยสักนิด
“ขอบคุณศิษย์พี่จ้าวที่เมตตา แต่ข้าอยากประลองกับคนอื่นเจ้าค่ะ”
อวิ๋นเซียงที่คอยเฝ้ามองอยู่ไม่ไกล รู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าจ้าวหมิงและอี้หลันพูดคุยกัน เพียงเวลาไม่กี่วันพวกเขาสนิทสนมกันได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
"ศิษย์น้องอี้ เจ้ามาประลองกับข้าดีหรือไม่” อวิ๋นเซียงเดินเข้ามาเสนอตัว ขัดขวางบทสนทนาของทั้งคู่
อี้หลันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตกลง การประสานมือคาราวะไปด้านหน้า ท่าทางของนางดูนิ่งสงบราวกับมั่นใจเป็นอย่างมากเลยทีเดียวว่าจะสามารถเอาชนะได้ “ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนศิษย์พี่หญิงอวิ๋นแล้ว”
อวิ๋นเซียงเห็นแล้วก็ไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก นางจึงคิดว่าครั้งนี้จะสั่งสอนอีกฝ่ายให้หลาบจำเสียบ้าง “เช่นนั้นพวกเราไปต่อแถวกันเถิด”
"หลันหลัน เจ้าอย่าเอาแต่ใจ ระดับขั้นพลังของเจ้าไม่มีทางสู้นางได้ อย่าได้หาเรื่องเจ็บตัวเช่นนี้เลย” จ้าวหมิงรีบเข้ามาขวาง
"ข้าตัดสินใจแล้ว ” อี้หลันเดินอ้อมอีกฝ่ายเดินตรงไปยังลานประลอง
จ้าวหมิงถอนหายใจ เขาไม่ชอบที่นางมีท่าทางดื้อรั้นเช่นนี้เลย
อวิ๋นเซียงเห็นว่าจ้าวหมิงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยอี้หลัน นางก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นไปอีก!
เมื่อถึงคราวของคนทั้งสองได้ขึ้นสู่ลานประลอง กลุ่มคนดูต่างก็มองมาที่พวกนางอย่างไม่วางตา
สตรีรูปร่างหน้าตางดงามทั้งสองคนกำลังต่อสู้กัน นี่เป็นเรื่องที่เหล่าผู้บำเพ็ญชายต่างชื่นชอบ
หลิงเซียวก็ให้ความสนใจกับหญิงสาวตัวเล็กกว่าที่ยืนอยู่ตรงกลางลานประลอง เขาได้ยินคนอื่นๆ เรียกนางว่าศิษย์น้องอี้ ในคืนนั้นค่อนข้างมืดเขาจึงไม่ได้สังเกตใบหน้าของนางดีๆ ส่วนเมื่อเช้าเพราะมัวแต่ลากนางให้ตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง และไม่กล้ามองใบหน้าของนางนานเกินไปเนื่องจากกลัวคำครหา
ตอนนี้ถือเป็นโอกาสดีที่ชายหนุ่มจะได้พิจารณาใบหน้าของศิษย์น้องผู้นี้อย่างจริงจัง เป็นเพราะต้องประลองกำลัง นางจึงใช้ผ้าผูกผมของตนเองเอาไว้ มันจึงเผยให้เห็นลำคอเรียวระหงและใบหูเล็กๆ ของนาง ชุดฝึกประลองสีน้ำเงินที่นางใส่ก็ช่วยขับผิวที่ขาวอยู่แล้วให้ขาวมากขึ้นไปอีก เขามองแล้วก็เปรียบเทียบในใจว่าใบหน้าของนางเหมือนกับไข่ต้มที่เพิ่งปอกเสร็จใหม่ๆ รูปร่างหน้าตาของนางดูน่าทะนุถนอมยิ่งนัก แต่เมื่อเอ่ยปากพูดออกมากลับมีแต่ถ้อยคำที่ชวนให้ระคายหู ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้นางก็ยังน่าเอ็นดูอยู่มากทีเดียว
ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่ากลุ่มผู้บำเพ็ญชายคนอื่นๆ ก็มองอี้หลันเช่นกัน โดยเฉพาะจ้าวหมิงที่มองนางอย่างไม่วางตา แน่นอนว่าสตรีผู้งดงามย่อมเป็นที่หมายปองของผู้อื่น เขายิ้มมุมปากและคิดว่าหากตนเข้าไปร่วมวงแย่งชิงด้วย เรื่องราวคงจะสนุกไม่น้อย!
หลังจากนั้นอาจารย์ก็ส่งสัญญาณให้เริ่มการประลองได้
สตรีทั้งสองก็เริ่มทำการแข่งขัน ในวิชาการต่อสู้ไม่อนุญาตให้ใช้คาถาอาคมหรืออาวุธวิเศษ ดังนั้นคนทั้งสองจึงต่อสู้กันด้วยกำลังเท่านั้น
อี้หลันหลอกล่ออวิ๋นเซียงให้เข้ามาใกล้ บางครั้งก็ฉวยโอกาสเตะขาของอีกฝ่าย ในสายตาของคนอื่นพวกเขาคิดว่าอี้หลันเป็นฝ่ายเสียเปรียบเพราะเป็นฝ่ายเอาแต่หลบอยู่อย่างเดียว ไม่ยอมเป็นฝ่ายลงมือโจมตีก่อน
คนทั้งสองรุกไล่กันอยู่อย่างนี้จนเวลาผ่านไปราวหนึ่งเค่อ...ก็ยังไม่สามารถตัดสินผู้ชนะได้!
"เซียงเซียง แสดงความแข็งแกร่งของเจ้าออกไป! ไม่จำเป็นต้องอ่อนข้อให้นาง!"
“ใช่แล้ว…รีบใช้กระบวนท่าของเจ้าจัดการนางเลย”
เสียงตะโกนของเหล่าสหายดังขึ้นมาเรื่อยๆ
อวิ๋นเซียงได้ยินก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด ไม่ใช่ว่านางไม่อยากชนะ แต่เวลานี้ตนเองไม่สามารถเอาชนะอี้หลันได้ต่างหาก
การกระทำของอี้หลันในเวลานี้เหมือนแมวที่จับหนูได้ แต่ไม่ยอมกิน และใช้อุ้งเท้าคอยหยอกล้อกับหนูไปเรื่อยๆ
เมื่อเวลาผ่านไปอวิ๋นเซียง ก็ค่อยๆ หมดแรง แต่อี้หลันยังคงกระฉับกระเฉง เต็มเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา ใบหน้าของนางไม่แดงแม้แต่น้อย
ในทางกลับกันใบหน้าของอวิ๋นเซียงขึ้นสีแดง มีเหงื่อไหลย้อยลงมาตาม กรอบหน้า ท่าทางเริ่มแสดงออกถึงความเหนื่อยล้า
จ้าวหมิงกลับคิดว่าอี้หลันนั้นเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เขาจึงต้องการช่วยเหลือนาง "หลันหลัน ถ้าเจ้าเอาชนะไม่ได้ ก็ขอยอมแพ้เถอะ"
หลิงเซียวที่ยืนอยู่ข้างๆ ปรายตามองจ้าวหมิงครู่หนึ่ง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไร
อี้หลันเกือบจะหัวเราะออกมา พระเอกคนนี้นอกจากหลงตัวเองแล้วก็ยังตาถั่วอีก มองไม่เห็นหรืออย่างไรว่านางเป็นฝ่ายเหนือกว่าชัดๆ
หญิงสาวก็ไม่ได้ตอบเขากลับ นางรีบพุ่งตัวเข้าไปหาอวิ๋นเซียงและจับอีกฝ่ายทุ่มข้ามหัวไหล่ จนล้มลงไปนอนกองที่พื้น
เมื่ออาจารย์ประกาศผลว่านางเป็นคนชนะ อี้หลันก็ประสานมือไว้ด้านหน้า และกล่าวกับอวิ๋นเซียง ด้วยรอยยิ้มที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์ "ขอบคุณศิษย์พี่หญิงที่ออมมือ” หลังจากนั้นนางก็โน้มตัวลงและดึงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นมายืนได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าหลังจากการแข่งประลองรุ่นพี่ในครั้งนี้ ชื่อเสียงของนางก็แพร่กระจายไปทั้งสำนัก