บทที่ 2.1 ลาก่อนรัชทายาทผู้คลั่งรัก

1854 คำ
บทที่ 2.1 ลาก่อนรัชทายาทผู้คลั่งรัก เข้าสู่สองวันสุดท้ายก่อนถึงวันอภิเษก ในจวนตระกูลหลี่วุ่นวายเตรียมงาน ทั้งบิดาและมารดาของนางวิ่งเข้าออกจวน จนหวังเฟยเฟิ่งเริ่มไม่แน่ใจว่างานนี้เป็นงานแต่งของหลี่เหิงเย่วกับรัชทายาท หรือของบิดามารดาของหลี่เหิงเย่วกันแน่ มุมปากของนางยกขึ้นอย่างขบขัน หยิบขนมในจานใส่ปากอย่างอารมณ์ดี “คุณหนู อาสุ่นมาขอพบเจ้าค่ะ” “ให้เข้ามา” ชุนหรงลี่เดินออกไปเอ่ยบอกคนด้านนอก ไม่นานบุรุษร่างกำยำก็เดินเข้ามาในเรือนของหลี่เหิงเย่ว “เจ้าบาดเจ็บ” หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงราบเรียบเมื่อได้กลิ่นโลหิตโชยมาจากคนตรงหน้า ในแววตาฉายชัดถึงความไม่พอใจ “แผลเล็กน้อยคุณหนูไม่ต้องกังวล” “ข้าไม่ชอบกลิ่นเลือด” กล่าวจบหวังเฟยเฟิ่งก็เดินไปหยิบของบางอย่างจากลิ้นชักไม้ที่หัวเตียง ดวงตาคมของอาสุ่นมองของในมือของคุณหนูห้าแล้วขมวดคิ้วเข้ม “เปิดแผลออก” “แต่...” “เป็นคำสั่ง” อาสุ่นขบกรามแน่น เมื่อนางอ้างอำนาจสั่งการ บ่าวอย่างเขายังจะโต้แย้งได้อย่างไร เสื้อบนตัวถูกคลายออกเปิดไหล่ขวาที่มีรอยคมมีดเป็นทางยาว เลือดยังไหลซึมเล็กน้อย “ต่อไปห้ามใส่ผ้าสีดำ อัปมงคลข้าไม่ชอบ” หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกเสียงห้วน ทว่าแท้จริงเพราะสีผ้าที่เขาสวมทำให้หวังเฟยเฟิ่งไม่รู้ว่าเขาได้รับบาดเจ็บ หากไม่ใช่เพราะกลิ่นคาวเลือดที่โชยออกมา สนทนากันจนจบนางก็คงไม่รู้ว่าเขาบาดเจ็บเพียงนี้ “เอ่ยรายงานงานของเจ้ามา” น้ำเสียงเยือกเย็นดุดันเอ่ยบอก ขณะที่มือบางใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดในอ่างเช็ดบาดแผล และรอยเลือดบนตัวออกให้เขา “คุณหนูทำเช่นนี้ไม่เหมาะสมขอรับ” “อาการบาดเจ็บของเจ้ามิใช่เป็นความลับหรอกหรือ” หวังเฟยเฟิ่งตวัดสายตามองคนที่ขยับตัวหนีอย่างไม่พอใจ หากอาการบาดเจ็บนี้ของเขาสามารถเอ่ยบอกผู้อื่นได้ บ่าวผู้ภักดีคนนี้จะยอมแบกตัวที่โชกเลือดมาหานางเช่นนี้หรือ “อาสุ่น หากเจ้ายังชักช้าลีลา ข้าจะหงุดหงิดแล้วนะ” เมื่อถูกน้ำเสียงขุ่นเอ่ยถาม อาสุ่นก็ยืดอกนั่งนิ่งให้ผู้เป็นนายเช็ดแผลใส่ยาพร้อมกับเอ่ยรายงาน “วันพรุ่งนี้ จิ้นกุ้ยเฟยจะไปสวดมนต์ขอพรยังสำนักชีที่ เขายวีซวนฝั่งทิศเหนือ อะ...” เสียงของอาสุ่นขาดหายไปเมื่อหวังเฟยเฟิ่งใช้ผ้าสะอาดชุบสุราเช็ดแผลให้เขา ก่อนลงผงยาห้ามเลือดและยาสมานแผล “คะ...คุณหนูสามารถแฝงตัวไปในขบวนเพื่อออกนอกเมืองได้ขอรับ” อาสุ่นเอ่ยรายงานจนจบ หวังเฟยเฟิ่งพยักหน้ารับพร้อมกับหยิบผ้ามาพันแผลให้เขา ร่างกำยำของอาสุ่นเกร็งสะท้านเมื่อแขนเรียวโอบตัวเขาเพื่อผูกปมผ้าพันแผล “เช่นนั้นต้นยามอิ๋นเจ้ามาพาข้าออกจากจวน” “คุณหนู เรื่องนี้ท่านทบทวนอีกรอบดีหรือไม่ขอรับ” “ข้าไม่อยากแต่งงาน อาสุ่น หรือเจ้าไม่เต็มใจช่วยเหลือข้า” อาสุ่นเงยหน้าสบแววตาหวานของผู้เป็นนายแล้วกำมือแน่น หัวใจของเขาเต้นระรัว สั่นสะท้าน “ชีวิตนี้ของข้าเป็นของคุณหนู คำสั่งคุณหนูคือประกาศิตเหนือชีวิต” “ดี! งั้นตกลงตามนี้” หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงหวานพร้อมยิ้มกว้าง แม้รู้ว่าความภักดีนี้ของอาสุ่นเป็นของหลี่เหิงเย่ว แต่นางในยามนี้ก็คือหลี่เหิงเย่วไม่ใช่หรือไร มือเรียวผูกมัดปมผ้าพันแผลให้อาสุ่นแล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ต่อไประวังให้มากอย่าได้บาดเจ็บ หากบาดเจ็บก็ต้องเร่งรักษา ยาสมานแผลห้ามเลือดให้พกติดกาย อย่าทำร้ายตัวเองแบบนี้อีกเข้าใจหรือไม่” แน่นอนว่าหวังเฟยเฟิ่งย่อมไม่ยินดีให้คนตรงหน้าบาดเจ็บหรือตายจาก ไม่เช่นนั้นนางจะไปหาคนที่ภักดี และยินดีคอยเหลือนางร้ายอย่างหลี่เหิงเยว่ได้อย่างไร อาสุ่นมองปมผ้าที่มัดอย่างใส่ใจ ก่อนจะเลื่อนสายตาขึ้นสบแววตาหวานของคุณหนูห้า ยามที่นางคลี่ยิ้มกว้าง หัวใจของเขาก็ราวกับถูกโอบล้อมด้วยแสงตะวันยามรุ่งอรุณ รอยยิ้มนี้ของคุณหนูแม้ต้องตายเขาก็จะปกป้องเอาไว้ “ข้าทราบแล้วขอรับ” “เจ้ารอก่อน ข้ามีของจะให้” หวังเฟยเฟิ่งเดินเข้าไปยังหลังฉากกั้น อาสุ่นลดสายตาลงมองผ้าพันแผลอีกครั้ง หากบาดเจ็บแล้วได้รับความใส่ใจจากคุณหนู ชั่วชีวิตนี้ของอาสุ่นยินดีรับคมดาบทุกวัน “ให้เจ้า” ผ้าพับหนึ่งถูกส่งมาเบื้องหน้า อาสุ่นรับมาคลี่ดูก็พบว่าเป็นชุดใหม่สีครามดุจสีแห่งท้องทะเลกว้าง “ข้ารู้ว่าสีดำอำพรางตนได้ดี แต่ครั้งหน้าหากมาพบข้าใส่ชุดนี้มาเข้าใจหรือไม่ “ขอบคุณคุณหนูที่เมตตา” “เจ้าเป็นคนของข้า ข้าย่อมต้องใส่ใจ” ...................................................................... “เจ้าเป็นคนของข้า ข้าย่อมต้องใส่ใจ” หัวใจของอาสุ่นสั่นระรัว แม้จะรู้ดีว่าคนของข้า คำนี้หมายถึงคนในปกครอง แต่หัวใจของเขาก็ยินดีน้อมรับสถานะเช่นนี้ไปจนลมหายใจสุดท้ายของชีวิต ยามที่ท้องนภามืดมิดไร้แสงจันทร์ รอบจวนตระกูลหลี่มีเพียงแสงจากโคมไฟให้ความสว่างรางๆ บริเวณเขตเรือนนอนตะวันตกปรากฏเงาตะคุ่มอำพรางตนในม่านรัตติกาล ดวงตากลมกวาดมองรอบตัวอย่างระมัดระวังเพื่อหลบเลี่ยงสายตาจากเวรยาม ก่อนจะหยุดเท้าที่พุ่มไม้ใหญ่มุดตัวหยิบเก้าอี้ขายาวแบกมาวางข้างกำแพงอย่างเร่งรีบ มือบางดึงผ้าโพกหน้าของตนออก ปรากฏใบหน้าหวานล้ำของคุณหนูห้าหลี่เหิงเยว่ ริมฝีปากบางคลี่ยิ้มกว้างเมื่อเห็นว่าแผนการของตนกำลังจะสำเร็จในไม่ช้า ลาก่อนรัชทายาทผู้คลั่งรัก หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยเสียงเย้ยหยันในใจ ในเมื่อสุดท้ายตัวละครนี้ก็ต้องตาย ถ้าเช่นนั้นหากหลี่เหิงเยว่จะหายไปก่อนสักหนึ่งวัน ย่อมไม่กระทบบทบาทของตัวละครอื่น ดวงตากลมมองเก้าอี้ขายาวตรงหน้าแล้วยกขาขึ้นปีน เพียงแต่ไม่ทันขยับเท้าไหล่บางก็ถูกจับเอาไว้ ดวงหน้าหวานพลันซีดเผือด ดวงตากลมปิดลง เม้มริมฝีปากอย่างท้อใจ อีกเพียงก้าวเดียวนางก็จะหลุดจากบทบาทนางร้ายโง่ๆ นี้แล้ว สวรรค์ ท่านให้ข้าทะลุมิติมา เพียงเพื่อตายอย่างทรมานอย่างนั้นหรือ “คุณหนู!” เสียงเรียกคุ้นหูทำให้หวังเฟยเฟิ่งที่กำลังสิ้นหวังเบิกตากว้าง หมุนตัวมาทางต้นเสียงก่อนจะยกมือขึ้นตีไปที่ไหล่อีกฝ่ายแบบไม่จริงจังนัก “อาสุ่น! เป็นเจ้าเองหรือ” “เป็นข้าเองขอรับ” หวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาว พลางกวาดสายตามองรอบตัวเพื่อความแน่ใจอีกรอบ “เจ้าเกือบทำให้ข้าตกใจตายแล้ว” น้ำเสียงเอ่ยตำหนิไม่จริงจัง แต่อีกฝ่ายกลับถือเป็นเรื่องใหญ่ ทรุดตัวลงคุกเข่าก้มหน้าเอ่ยเสียงหนัก “อาสุ่นไม่ระวัง ทำคุณหนูตกใจ...” “ทำอะไรของเจ้า รีบลุกขึ้น” หวังเฟยเฟิ่งเอ่ยบอกพร้อมกับหันไปตั้งท่าปีนขึ้นเก้าอี้ขายาวอีกรอบ ทว่าไม่ทันก้าวขา เท้าของนางก็ลอยจากพื้น รอบตัวหมุนคว้างเล็กน้อย เมื่อภาพหยุดนิ่งนางก็อยู่ในอ้อมแขนของบ่าวคนสนิท ไม่ทันเอ่ยปากสอบถามแรงลมก็ปะทะเข้าสู่ใบหน้า รู้ตัวอีกทีนางก็มายืนอยู่อีกฟากของกำแพงแล้ว “อาสุ่น นี่เจ้า!” หวังเฟยเฟิ่งนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่แล้วในใจพลันตื่นตระหนกนี่มัน...วิชาตัวเบาใช่หรือไม่ ช่างยอดเยี่ยมยิ่ง “เมื่อครู่ข้าล่วงเกินคุณหนู ยินดีรับโทษขอรับ” เป็นอีกครั้งที่บ่าวชายตรงหน้าคุกเข่าลงด้วยท่าทางจริงจังหวังเฟยเฟิ่งถอนหายใจยาว วางมือลงบนบ่ากว้างแล้วเอ่ยเสียงดุดัน แววตาแข็งกร้าว “ครั้งหน้าหากข้าไม่อนุญาต...” หวังเฟยเฟิ่งยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ในแววตาปรากฏความเจ้าเล่ห์ ราวกับจิ้งจอกสาวที่กำลังล่อลวงกระต่ายน้อยได้สำเร็จ “อาสุ่นจะไม่ทำอีก” “สาบาน” “สาบาน!” หวังเฟยเฟิ่งเหยียดตัวขึ้นยืน ยกแขนขึ้นกอดอกมองบ่าวชายตรงหน้าแล้วยิ้มหวาน “เช่นนั้นก็อย่าให้ข้าเห็นเจ้าคุกเข่าโดยง่ายเช่นนี้อีก” “คุณหนู หมายความว่าอย่างไร” “ที่ข้าไม่อนุญาตคือเรื่องนี้ อาสุ่น ใต้เข่าบุรุษมีทองคำ เจ้าไม่ควรคุกเข่าให้ผู้อื่นพร่ำเพรื่อ” แววตาของอาสุ่นพลันปรากฏความสงสัยก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นความชื่นชม หัวใจของเขาสั่นระรัว จดจ้องแววตาของสตรีตรงหน้าด้วยสายตามุ่งมั่น “สำหรับข้า คุณหนูไม่ใช่ผู้อื่น บุรุษไม่คุกเข่าพร่ำเพรื่อ แต่คุณหนู ท่านคือคนที่ข้ายินดีคุกเข่าให้ชั่วชีวิต” ถ้อยคำหนักแน่นของอาสุ่นทำให้หวังเฟยเฟิ่งยิ้มกว้าง ไม่คิดว่าในตัวร้ายเช่นหลี่เหิงเยว่จะมีบ่าวที่ภักดีเช่นนี้ “เช่นนั้นก็ตามใจเจ้า ตอนนี้ฟ้าใกล้สว่างแล้ว ขบวนของจิ้นกุ้ยเฟยน่าจะใกล้ผ่านกลางเมืองแล้วพวกเรารีบไปกันเถิด” “ข้าติดสินบนคนขนเสบียงไว้แล้ว ตอนที่ขบวนเสด็จของจิ้นกุ้ยเฟยพักที่ศาลากลางเมือง คุณหนูสามารถแฝงตัวไปยังท้ายขบวนได้เลยขอรับ” หวังเฟยเฟิ่งพยักหน้ารับก่อนจะรีบเดินทางไปยังจุดนัดพบที่อาสุ่นนัดหมายกับคนขนเสบียงเอาไว้ นางถอนหายใจยาว นึกแล้วก็โมโหเจ้าของร่างเดิมนัก หากก่อนหน้านี้หลี่เหิงเยว่ไม่ไปทะเลาะตบตีกับบรรดาคุณหนูทั้งหลายที่หมายตาองค์รัชทายาทฟ่งเฟยเทียน จนเหล่าทหารรักษาการณ์จำหน้านางได้ทุกคน ตัวนางในยามนี้คิดหนีหรือทำการใดก็คงไม่ยุ่งยากถึงเพียงนี้ ทว่าสวรรค์คงเห็นว่าการหลบหนีครั้งนี้ของหวังเฟยเฟิ่งปลอดโปร่งเกินไป ดังนั้นหลังจากเดินลัดเลาะหลบเลี่ยงผู้คนมาจนถึงตรอกหนึ่ง เบื้องหน้าก็ปรากฏคุณชายขี้เมาพร้อมคนติดตามกลุ่มหนึ่ง “อ่า...หญิงงาม” หวังเฟยเฟิ่งขมวดคิ้วเรียวเมื่อเห็นสายตาโลมเลียของคุณชายตรงหน้า อาสุ่นขยับตัวมาบังร่างของคุณหนู ใบหน้าดุดันตวัดสายตาขุ่นเคืองมองไปยังอีกฝ่าย “เศษสวะคิดขวางความสุขของข้าคุณชายจิ้งอย่างนั้นหรือ พวกเจ้าสังหารมันแล้วจับหญิงงามมาให้ข้า” หวังเฟยเฟิ่งได้ยินวาจาคนตรงหน้าในใจก็พลันตื่นตระหนก อีกฝ่ายเอ่ยวาจาฆ่าคนฉุดสตรีอย่างคล่องปาก ดูแล้วนี่คงไม่ใช่ครั้งแรกแน่นอน “คุณหนูไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องท่านเอง” “อาสุ่น ระวังด้วย” ..........................................
อ่านฟรีสำหรับผู้ใช้งานใหม่
สแกนเพื่อดาวน์โหลดแอป
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    ผู้เขียน
  • chap_listสารบัญ
  • likeเพิ่ม