หลินซานซานถึงกับชะงักขา หันไปมองหน้าอีกฝ่ายเขม็ง
พี่สะใภ้ นายหญิงผายลมอะไรกัน ไม่ใช่สักหน่อย!
แต่ในคราบของสตรีจำแลง จางอี้ซวนเป็นนายหญิงของจวนนี้อย่างที่ว่า หลินซานซานมิอาจขัดได้ โดยเฉพาะยามที่อยู่ในสายตาของบ่าวรับใช้ด้วยแล้ว นางยิ่งทำให้มีพิรุธไม่ได้เป็นการใหญ่ เพราะสายตาที่จางอี้ซวนมองมาดูคล้ายกำลังบอกนางว่าหากนางทำความแตก เตรียมตัวเตรียมใจเป็นร่างไร้วิญญาณได้เลยอย่างไรอย่างนั้น
“มิบังอาจเจ้าค่ะพี่สะใภ้ มิทราบว่ามีสิ่งใดให้ซานเอ๋อร์รับใช้อย่างนั้นหรือ”
ดูก็รู้ว่าหลินซานซานเกร็งไปทุกสัดส่วน ไม่เว้นแม้แต่น้ำเสียง จางอี้ซวนสัมผัสได้ชัดเจน และเขาก็ต้องการให้นางเป็นเช่นนั้นล่ะ
“ข้าไม่มีสิ่งใดให้เจ้ารับใช้”
หลินซานซานขมวดคิ้ว ไม่มีสิ่งใดแล้วจะรั้งนางไว้ทำไม
พลันเขาก็ทำให้นางต้องขมวดคิ้วมุ่นมากขึ้นไปอีก
“เพียงแต่ข้าหิวแล้ว”
“...”
“กินข้าวเช้ากับข้าดีไหม ซานเอ๋อร์”
อย่ามาเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้นะ!
ขนลุกไปทุกอณูอีกแล้ว อะไรไม่ว่า นางขัดคำสั่งของเขาได้ไหมล่ะ!
“เจ้า...ค่ะ...”
กล้ำกลืนฝืนทนต้องรับคำไป เท่านั้นจางอี้ซวนก็พยักหน้าออกคำสั่งให้พ่อบ้านนำสำรับอาหารมาจัดยังโต๊ะหินอ่อนหน้าเรือนใหญ่ หลินซานซานทิ้งตัวลงนั่งอย่างจำใจ อาหารน่าตาน่ากินก็ไม่ช่วยให้นางรู้สึกอยากลิ้มลองขึ้นมาได้เลยสักนิด ดวงตากลมโตเอาแต่เหลือบมองคนตรงข้ามที่คีบอาหารเข้าปากด้วยท่าทาง...มีจริตจะก้าน
หากไม่เห็นด้วยตาตนเองว่าเขาเป็นบุรุษ นางคงไม่เชื่อหรอกว่าคนตรงหน้าเป็นบุรุษจริงๆ ถึงรูปร่างจะสูงโปร่งเฉกเช่นบุรุษ แต่หน้าตาและท่าทางกลับดูเหมือนเทพธิดาลงมาเดินดินไม่มีผิดเพี้ยน นางไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจางอี้ซวนถึงได้เป็นที่พูดถึงไปทั่วทั้งเมืองหลวง
งดงามเช่นนี้ เรียกว่างามล่มเมืองได้เลยกระมัง...
แต่แล้วนางก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าภายใต้หน้ากากงดงามนี่ เนื้อแท้คือชายกักขฬะ คอยดูเถอะ สักวันนางจะเปิดโปงเขาให้ได้ ไม่รอให้เขาอยู่เป็นพี่สะใภ้นางครบถึงหนึ่งปีแล้วเป็นฝ่ายขอหย่าหรอก นางไม่อดทนขนาดนั้น!
หลินซานซานเบ้หน้าดูแคลน ทำเอาจางอี้ซวนที่ลอบสังเกตตั้งแต่เมื่อครู่ต้องออกปาก
“กำลังก่นด่าข้าในใจอยู่ล่ะสิ”
เขาว่าอย่างรู้ทัน หลินซานซานสะดุ้งน้อยๆ ส่ายหน้าเร็วๆ
“ข้าเปล่านะ”
“แล้วเหตุใดถึงได้ทำหน้าตาราวกับถ่ายไม่ออก”
เป็นคนกักขฬะจริงๆ ด้วย อยู่ในระหว่างมื้ออาหาร พูดเรื่องสกปรกอย่างนี้ออกมาได้เช่นไรกัน!
“ข้าไม่ได้ทำหน้าตาน่าเกลียดอย่างที่ท่านพูดสักหน่อย”
นางเถียง จางอี้ซวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“เช่นนั้นจ้องหน้าข้าทำไม”
หลินซานซานเพิ่งจะตระหนักได้ในตอนนี้ว่าจ้องมองเขามากเกินไป นางหลุบตาลงต่ำอย่างคนมีชนักความผิดติดหลัง พลันก็ว่าอุบอิบ
“ข้าก็มองไปเรื่อยเปื่อย”
“มองไปเรื่อยเปื่อย... ข้าว่าเจ้าคงจะกำลังคิดหาทางบอกความลับของข้ากับญาติผู้พี่ของเจ้าอยู่มากกว่ากระมัง”
คราวนี้นางเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
“ใช่เสียที่ไหน ข้าคิดไปเรื่อยเปื่อยจริงๆ”
โกหกใครก็โกหกได้ แต่โกหกจางอี้ซวนไม่ได้หรอก เขาเห็นนางทำท่าอมทุกข์ตั้งแต่เช้าขนาดนั้น ตอนที่ส่งหลินจิ้นฝูออกจากจวนก็ทำท่าเหมือนอยากจะบอกบางสิ่งแต่ก็ไม่บอกอยู่หลายครั้งหลายครา ทำไมเขาจะไม่รู้ล่ะว่านางคิดจะทำการใด
“ให้คิดเรื่อยเปื่อยจริงๆ เถอะ ข้าไม่อยากมือเปื้อนเลือดสักเท่าไรนัก ข้าเตือนเจ้าอีกครั้งว่าหากเจ้าปากโป้ง...สกุลหลินคงจะได้เหลือเพียงชื่อ”
จางอี้ซวนขู่ออกมาอีกเพื่อความมั่นใจ หลินซานซานหน้าซีดเผือดไปแล้ว แค้นก็แค้นที่ทำอะไรไม่ได้ ขณะเดียวกันก็นึกสงสัยไม่ได้
“เพราะกลัวว่าข้าจะเอาความลับของท่านไปบอกกับอาจิ้นกระมัง ท่านถึงได้ตื่นเช้าผิดปกติ”
เรื่องนั้นก็ใช่ จางอี้ซวนไม่ไว้ใจ เขาถึงได้รีบตื่นมาเพื่อดูลาดเลา แต่เขาก็มีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ต้องรีบตื่นมาแต่เช้าเช่นกัน
“เรื่องนี้เจ้าน่าจะถามท่านป้าสะใภ้ของเจ้ามากกว่าว่าทำไมข้าถึงต้องตื่นเช้า”
จู่ๆ คนที่ไม่ได้อยู่ในจวนแห่งนี้ด้วยก็ถูกพาดพิงถึง หลินซานซานทำหน้าสงสัย
“ท่านป้าสะใภ้อย่างนั้นหรือ? หรือว่า...นางจะมาที่นี่?”
นับว่านางเป็นสตรีที่ไหวพริบดีอยู่ไม่น้อย จางอี้ซวนไม่ตอบคำถามนั้น ยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนจะวางมันลงด้วยท่าทางนิ่งสงบ
“เรื่องของลูกสะใภ้กับแม่สามีเป็นเรื่องน่ารำคาญใจนัก”
เท่านี้หลินซานซานก็เข้าใจ ป้าสะใภ้ของนางคงจะมาสั่งสอนฮูหยินของบุตรชายกระมัง
ดี! เรื่องนั้นดี! นางจะได้ถือโอกาสฟ้องเสียเลยว่าจางอี้ซวนเป็นสะใภ้ที่ไม่ได้เรื่อง!
แต่...ก็ฉุกคิดขึ้นมาได้
ไม่สิ ไม่ดีแน่ หากนางพูดสิ่งใดไม่ถูกหูออกไป แล้วจางอี้ซวนคิดฆ่าสกุลหลินล้างตระกูลขึ้นมา นางมิต้องทุกข์เพราะปากหรอกหรือ นางไม่กล้าหรอก!
หลินซานซานจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไร ปล่อยให้จางอี้ซวนจ้องมองอยู่อีกครู่ จากนั้นก็ลงมือกินอาหารตรงหน้าต่อโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ได้แต่ให้เวลาล่วงเลยไปอย่างเงียบงันเท่านั้น