ร่างสะโอดสะองของจางอี้ซวนปรากฏสู่สายตาของหลินซานซานในอีกไม่นานหลังจากนั้น หลินซานซานสั่งให้พ่อบ้านเตรียมน้ำชาและขนมเอาไว้แล้ว คราวนี้ล่ะที่นางหมายมั่นปั้นมือว่าจะหว่านล้อมพี่สะใภ้ให้ยินยอมพร้อมใจดูแลญาติผู้พี่ของนาง
ครั้นพี่สะใภ้นั่งลง การนั่งสนทนาก็เริ่มต้นขึ้น แต่...เป็นหลินซานซานคนเดียวที่พูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด จางอี้ซวนได้แต่นั่งนิ่ง มือคว้าถ้วยน้ำชามายกขึ้นจิบบ้าง หยิบขนมกินบ้าง ไม่ปริปากพูดสิ่งใดออกมาสักคำ
“ขนมนี่รสชาติดีนัก มิน่าเล่า อาจิ้นถึงได้ชอบ พี่สะใภ้ก็จำเอาไว้สิว่าอาจิ้นชอบ ภายหน้าท่านจะได้คอยเตรียมไว้ให้อาจิ้นกิน”
เป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ที่หลินซานซานพูดในทำนองนี้ ขนมนั้นอาจิ้นก็ชอบ ขนมนี่อาจิ้นก็ชอบ ดูหน้าคนฟังด้วยว่าอยากรู้ไหมว่าชายผู้นั้นจะชอบหรือไม่ชอบกินสิ่งใด
“อ๊ะ อันนี้ก็ด้วย อาจิ้นชอบมากเลยนะ พี่สะใภ้จำไว้ให้ดีล่ะ ท่านจะได้เอาใจสามีท่านถูก”
ถึงตอนนี้ จางอี้ซวนรู้แล้วว่าสตรีตรงหน้าหาได้เหงาจนอยากให้ตนมาพูดคุยเป็นเพื่อนหรอก แต่หลอกล่อให้มานั่งฟังนางพร่ำสอนวิธีการเอาใจสามีต่างหาก พลันก็ส่งเสียงหัวเราะในลำคอออกมา หลินซานซานปิดปากฉับ เอียงคอเล็กน้อยด้วยสงสัย
“พี่สะใภ้หัวเราะสิ่งใดหรือเจ้าคะ มีอะไรน่าขบขันอย่างนั้นหรือ”
ดวงตาคมกริบปรายมองดวงหน้านาง ก่อนผู้เป็นเจ้าของจะว่าช้าๆ
“ข้าเพียงคิดว่าแค่มีเจ้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเอาใจสามีข้าแล้วล่ะ”
“พี่สะใภ้ ท่านพูดเช่นนี้หมายความอย่างไร”
“หมายความอย่างไร เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี”
จางอี้ซวนว่าอีก ทำเอาหลินซานซานถึงกับหน้าง้ำ วางขนมในมือลงที่เดิม
“พี่สะใภ้อยากจะพูดสิ่งใดก็ว่ามาตรงๆ เถิด ไม่ต้องอ้อมค้อม”
อารมณ์ก่อนหน้าที่คล้ายว่าจะพยายามควบคุมให้ปกติชักจะไม่ปกติเสียแล้ว สีหน้าปั้นปึ่ง น้ำเสียงแข็งกระด้างเล็กน้อย กระนั้นจางอี้ซวนก็หาได้สนใจว่าพฤติกรรมของนางสมควรหรือไม่สมควรแสดงออกอย่างไร พูดในสิ่งที่ตนคิดเท่านั้น
“ข้าเห็นว่าเจ้าดูแลสามีของข้าดี เจ้าก็ดูแลไปเถิด ไม่ต้องมาบอกให้ข้าดูแล ในเมื่อเจ้ามีใจปฏิพัทธ์ด้วย อยากดูแลเขาก็ทำไป”
หลินซานซานถึงกับหน้าม้าน
นางรู้!?
รู้อย่างแน่นอน จางอี้ซวนใช่คนโง่ที่จะดูไม่ออก สายตาที่หลินซานซานของญาติผู้พี่ การกระทำ ความใส่ใจ ล้วนแล้วเป็นการกระทำที่มีต่อคนรัก
“เจ้าคงจะไม่พอใจที่เห็นญาติผู้พี่ของเจ้าตบแต่งหญิงอื่นเข้าจวนเป็นฮูหยิน เจ้ายอมไม่ได้ ยื่นมือมาเข้าสอด จู้จี้จัดการเรื่องนั้นเรื่องนี้ราวกับว่าตนเองเป็นฮูหยินเสียเอง หากเจ้าจะทำเช่นนี้ ไยเจ้าถึงไม่ตบแต่งมาเป็นอนุของอาจิ้นของเจ้าเสียเลยเล่า”
“...”
“อ้อ แต่ข้าลืมไป เจ้าเป็นหลานสาวของท่านเสนาบดี จะมาตบแต่งเข้าเป็นอนุคงจะไร้เกียรติ ท่านเสนาบดี...ไม่สิ ท่านพ่อคงไม่ยินยอมแน่ ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะให้เจ้าแต่งให้คุณชายสกุลดีๆ สักสกุลมากกว่า เสียใจด้วยนะซานซานที่เจ้าทำได้ดีเพียงเท่านี้”
“พี่สะใภ้...”
หญิงสาวครางออกมาอย่างไม่เชื่อหู ใครจะไปคิดว่าคนไร้ปากเสียงเช่นพี่สะใภ้ ยามเอ่ยปากออกมาจะมีคำพูดเชือดเฉือนคมกริบเช่นนี้
“แต่หากเจ้าหมายใจว่าจะรอ ก็รออีกสักปีแล้วกัน เมื่อนั้นข้าจะทูลขอฮ่องเต้หย่าขาดกับญาติผู้พี่ของเจ้า กว่าจะถึงวันนั้น เจ้าอย่าตรอมใจไปเสียก่อนล่ะ”
หลินซานซานกำมือแน่น ผิวหน้าเนียนแดงเรื่อขึ้นมาด้วยความโกรธ ก่อนจะแค่นเสียง
“ท่านพูดเกินไปแล้วนะพี่สะใภ้”
จางอี้ซวนเลิกคิ้วสูง
เกินไปหรือ เกินไปอย่างไร ก็การกระทำของนางทำให้คิดอย่างนี้จริงๆ แต่จางอี้ซวนก็ไม่ได้ตอบโต้สิ่งใด ได้แต่มองหลินซานซานที่บิดเบี้ยวเสมือนดื่มยาขม พลันว่าตบท้ายอีกครา
“สิ่งที่ข้าพูดไม่เกินไปหรอก หากเจ้าอยากตบแต่งเป็นภรรยาของสามีข้ามากนักก็รอหน่อยแล้วกัน ข้าหย่ากับเขาแน่ เจ้าไม่ต้องห่วง”
ไม่รู้ว่าจางอี้ซวนพูดจริงหรือไม่ แต่หลินซานซานก็ไม่สนแล้วว่าจะจริงหรือไม่ การถูกพูดตอกหน้าเช่นนี้เป็นการดูแคลนนางมิใช่หรือ นางสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง โกรธขึ้งเสียจนแทบจะระงับอารมณ์ของตนไว้ไม่อยู่
หากว่าสตรีตรงหน้าไม่ใช่พี่สะใภ้ของนาง นางคงโวยวายใส่ไปแล้ว แต่เพราะใช่ นางจึงได้แต่เงียบงัน เม้มริมฝีปากแน่นกระทั่งจางอี้ซวนเห็นว่าอีกฝ่ายคงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว จึงได้ตัดบท
“หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าก็ขอตัวก่อน ส่วนเจ้าก็รออีกสักหน่อยนะ สักวันสวรรค์จะเมตตาเจ้าให้เจ้าได้แต่งเข้าเป็นภรรยาเอกแทนข้า”
หลินซานซานมองร่างสูงของพี่สะใภ้เดินออกจากศาลาไป ก่อนจะทุบกำปั้นเล็กๆ ลงบนโต๊ะอย่างเจ็บใจ ทำให้อีกฝ่ายคล้อยตามไม่ได้ไม่พอ ยังจะถูกว่าแทงใจดำ มิหนำซ้ำยังโดนดูแคลนอีก
พี่สะใภ้ เห็นทีเราคงจะเป็นมิตรกันไม่ได้แล้วล่ะ!
แผนการผูกมิตรอะไรนั่น ล้มเลิก! ล้มเลิก!