ขบวนขันหมากของเจ้าบ่าวที่แห่มาบ้านเจ้าสาวตามประเพณียิ่งใหญ่สมเกียรติดังไปทั่วบริเวณ
แพรวพรรณรู้สึกว่าตัวเองมีความสุขที่สุดในวันนี้ แม้ความกังวลของเธอจะมากล้น แต่ก็พยายามสลัดมันทิ้งไป ใจคิดว่าแต่งงานกัน คงรักกันไปเอง เธอคงเอาชนะใจอิฐได้ในที่สุด
แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเขาไม่ได้รักเธอ แต่เธอกลับรักเขาหมดหัวใจ เธอไม่ยอมเสียเขาไปให้ผู้หญิงหน้าไหนเป็นอันขาด
แพรวพรรณสลัดความว้าวุ่นใจทั้งหมดออกไปจากใจ ปลอบใจตัวเองว่าคงไม่เป็นอะไรหรอก... แม้ลึก ๆ เธอจะรู้ดีว่าโกหกเขาหลายเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องท้อง
วันนั้นเขาเมามาก เธอเลยฉวยโอกาสดูแลเขาจนทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าล่วงเกินเธอ
หลังจากนั้นเธอก็ดูแลเขาอย่างดีในฐานะว่าที่สามี ด้วยใจของเธอมีเขาอยู่เต็มทั้งสี่ห้อง แม้เขาไม่รักแต่ขอให้ได้อยู่ใกล้ ๆ แค่นี้ก็เป็นสุขแล้ว
คงมีคนหาว่าเธอโง่แน่ ๆ ที่รักคนที่เขาไม่รักตอบ แต่คนที่ไม่เข้าใจความรัก ย่อมไม่เข้าใจว่าการรักใครสักคนมันตัดใจยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหน อยากเห็นหน้าเขา อยากได้ยินเสียง อยากคุย อยากทำอะไรมากมายให้เขา ให้เขาหันกลับมาสนใจกันบ้าง
“เสร็จหรือยังลูก ใกล้ฤกษ์แล้วนะ” เสียงของมารดาทำให้แพรวพรรณหลุดจากภวังค์ความคิด เธอหันมายิ้มให้มารดาผู้ให้กำเนิด
อภิรดีจับบ่าลูกสาวเบา ๆ พิศมองแล้วอมยิ้ม
“ลูกสาวของแม่สวยมาก ๆ เลยจ้ะ”
“แต่ไม่รู้ว่าเจ้าบ่าวจะคิดเหมือนคุณแม่ไหมนะคะ”
“ทำไมพูดแบบนั้นละจ๊ะ” อภิรดีเอ่ยถาม เธอกับสามีทำธุรกิจหลายอย่างเลยเดินทางบ่อย เลี้ยงลูกค่อนข้างปล่อยให้มีอิสระไม่บังคับ และให้หัดดูแลตัวเองแต่เด็ก แต่เมื่อลูกมีปัญหาอะไรก็พร้อมจะเป็นที่ปรึกษาและอยู่เคียงข้าง
“เปล่าหรอกค่ะคุณแม่” แพรวพรรณฝืนยิ้มให้มารดา เธอโคลงศีรษะไปมา คิดว่าไม่ควรเอาเรื่องไม่สบายใจมาบอกเล่าให้ท่านฟัง ท่านก็มีเรื่องให้ต้องคิดมากมายอยู่แล้ว หากไม่ไหวจริง ๆ เธอถึงจะเอ่ยปาก เพราะบิดามารดาสอนให้แก้ปัญหาและทำอะไรเองแต่เด็ก เวลามีอะไรจึงมักจะทำด้วยตัวเองก่อนเสมอ
“ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็บอกแม่ ไม่ใช่แม่ไม่รู้ไม่เห็น แต่แม่คิดว่าลูกโตแล้ว ย่อมที่จะคิดและตัดสินใจเองได้ พ่อกับแม่ไม่อยากก้าวก่าย อะไรที่เป็นความสุขของลูกพ่อกับแม่ไม่ขัด”
“ขอบคุณค่ะคุณแม่”
“เราจงอยู่กับคนที่เห็นคุณค่าของเรานะลูก ถ้าเขาไม่เห็นคุณค่าก็ถอยออกมา คนเราทุกคนต้องเรียนรู้ชีวิต พ่อแม่ไม่ห้ามหากลูก ๆ จะทำอะไร แต่จงชั่งใจให้ดีเสียก่อน ผิดพลาดอะไรขึ้นมาก็จงรับมันให้ได้”
“ค่ะคุณแม่” บิดามารดาของเธอปล่อยให้เธอกับพี่ชายได้เผชิญโลก ไม่เคยเลี้ยงแบบไข่ในหิน ท่านพูดเสมอว่าโลกนี้มีหลายด้าน และโลกนี้ก็เป็นสีเทา ๆ การที่เราเจอสิ่งไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าเราโชคร้ายแต่มันอาจจะมีความโชคดีแฝงอยู่ในนั้นก็เป็นได้ เราจะได้รู้ว่าหากเจอสถานการณ์เช่นนี้อีกจะตั้งรับเช่นไร
ชีวิตคือการเรียนรู้ คนเป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้อยู่กับเราจนวันตาย ดังนั้นเราต้องยืนได้ด้วยตัวเอง
พวกท่านมักพูดเสมอว่า การเจอสิ่งต่าง ๆ ทั้งดีและไม่ดี จะทำให้เรามีภูมิคุ้มกัน มีสติมากขึ้นเมื่อเจริญวัย มีความคิดเป็นของตัวเอง รู้ทันคนอื่น
หากท่านเลี้ยงเธอและพี่ชายให้มองโลกในแง่ดีไปหมดทุกอย่าง แล้วต่อไปหากเจอคนไม่ดี รู้ไม่เท่าทันก็โดนหลอก ดีไม่ดีหมดเนื้อหมดตัว ดูแลธุรกิจของครอบครัวไม่ได้
ประสบการณ์คือสิ่งที่สอนเรา สอนให้เข้มแข็ง สอนให้มองคน มองความเป็นจริงของชีวิต ในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นสีขาวทั้งหมด หรือดำทั้งหมด แม้แต่ความทุกข์ที่เข้ามา มันก็ยังมีความสุขเข้ามาให้ชื่นใจด้วยเช่นกัน
สำหรับอิฐ เธอคิดว่าถึงเขาจะไม่รักเธอ แต่เธอก็รักเขา ความรักเป็นสิ่งที่แปลกประหลาด เขาไม่สนใจไยดี แต่เธอก็ยังไปคิดถึงเขาอยู่นั่นแหละ
“รักเขา อยากทำเพื่อเขาก็ทำ แต่จงอย่าลืมทำเพื่อตัวเองและรักตัวเองให้มาก ๆ การรักตัวเองไม่ใช่การเห็นแก่ตัว แต่เป็นสิ่งที่ควรทำ เมื่อเราตายไป คนที่จะอยู่กับเราจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตก็คือตัวเรานะลูก จงทำทุกอย่างที่ไม่ฝืนใจตัวเอง ทำให้เขามีความสุข ไม่ใช่เพราะอยากให้เขามารัก แต่ทำเพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข”
“ค่ะคุณแม่”
“การใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้โดยพึ่งความรักจากคนอื่น รอให้คนอื่นมารัก มันจะทำให้เราไร้ค่า หากเขาไม่รัก เราจะทุรนทุราย คิดอยู่แค่ว่าทำไมเขาไม่รัก เรียกร้องอยากได้ความรักจากเขา การเรียกร้องจากคนอื่น หากเขาให้ไม่ได้เราก็จะทุกข์ทรมานใจ” ท่านมองหน้าเธอแล้วยิ้ม
“เวลาเราต้องการอะไรจากใครแล้วเขาไม่ให้เรา เราก็จะบังเกิดความอยากเอาชนะ ต้องการให้เขารักตอบให้เขาสนใจ หนูต้องคิดให้ดี ๆ มีสตินะลูกว่าหนูรักเขาจริง ๆ หรือแค่อยากเอาชนะเพราะเขาไม่สนใจหนู คนส่วนใหญ่จะชอบสนใจคนที่ไม่แคร์เรา มันรู้สึกท้าทาย เพราะมันได้มายาก ๆ” แพรวพรรณฟังมารดาแล้วนิ่งคิด
“ไม่มีใครรักเรา เราก็รักตัวเองนะลูก การรักตัวเองไม่ต้องไปขอจากใคร จากตัวเองนี่แหละ การรักตัวเองคือการเห็นคุณค่าของตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง ดูแลตัวเอง สิ่งที่แม่พูดหนูเข้าใจใช่ไหมลูก อย่าทรมานตัวเอง เหมือนกับว่ายามเราหิว เราก็กินอาหารที่มีประโยชน์ ยามเราเศร้าไม่มีใครปลอบ เราก็ปลอบตัวเอง อย่าเอาแต่เศร้าจนทำร้ายตัวเอง ถึงเวลานอนก็ควรพัก อย่าเอาแต่ทำงาน ได้เวลาออกกำลังกายก็ควรทำ สุขภาพของเราสำคัญไม่แพ้การดูแลเอาใจใส่หัวใจตัวเอง ฝึกให้ตัวเองเข้มแข็ง” แพรวพรรณยังฟังนิ่งก่อนพยักหน้า เธอรู้ว่ามารดาหมายถึงอะไร ท่านหมายความว่าอย่าจมอยู่กับความทุกข์ใจจนทำร้ายร่างกายและจิตใจตัวเอง
แต่คนแบบเธอไม่เคยยอมเสียอะไรให้ใครง่าย ๆ บิดามารดาไม่ได้เลี้ยงมาให้มองโลกในแง่ร้าย แต่ก็ไม่ได้เลี้ยงมาให้มองโลกในแง่ดี คนเราไม่สามารถที่จะมองโลกในแง่ดีไปตลอด หรือมองอะไรร้าย ๆ ได้ตลอด มันต้องอยู่กึ่งกลางความมีเหตุมีผล
“ไปกันได้แล้วลูก เดี๋ยวเลยฤกษ์” ท่านดึงมือบุตรสาวให้เดินตาม ญาติผู้ใหญ่ด้านล่างกำลังนั่งรอกันอยู่อย่างพร้อมเพรียง คุณพันยิ้มให้บุตรสาวอย่างเอ็นดู ส่วนอรรณพกับพรชิตาบิดามารดาของอิฐก็ยิ้มกว้างทันทีที่เห็นว่าที่ลูกสะใภ้ ซึ่งเป็นคู่หมั้นคู่หมายวัยเด็กของบุตรชายคนเดียว
อิฐทอดสายตามองคู่หมั้นสาวนิ่ง ๆ ใบหน้าของเขาเรียบสนิท แทบเดาไม่ออกเลยว่ากำลังคิดอันใดอยู่
แพรวพรรณรู้สึกตกประหม่าเล็กน้อยเมื่อสบตากับคู่หมั้นหนุ่ม อิฐเป็นคนเงียบ ๆ ค่อนข้างจะเก็บอารมณ์เก่ง แต่ยามเขาโมโหก็โมโหร้ายไม่ต่างจากพี่ชาย เธอรู้สึกเหมือนตัวเองมีชนักติดหลัง โกหกเขาหลายเรื่อง นั่นทำให้เธอสบตาเขาแล้วหายใจไม่ทั่วท้อง
“สวมแหวนให้น้องสิลูก” คุณพรชิตาบอกลูกชาย การได้เห็นลูกชายคนเดียวเป็นฝั่งเป็นฝากับผู้หญิงที่ท่านหมายตามาตั้งแต่เด็ก นั่นทำให้คนเป็นพ่อเป็นแม่มีความสุขอย่างที่สุด
อิฐสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายให้คู่หมั้นสาว เป็นแหวนประจำตระกูลที่เอาไว้ใช้ในวันแต่งงาน มารดาเป็นคนมอบให้เขาเมื่อหลายวันก่อน
แพรวพรรณยกมือไหว้คู่หมั้นหนุ่ม ก่อนจะจัดการสวมแหวนให้เขาที่นิ้วนางข้างซ้ายด้วย ตากล้องรัวชัตเตอร์เสียงแฟลชวูบวาบไปทั่วบริเวณ ก่อนจะถึงพิธีรดน้ำสังข์ และงานเลี้ยงในช่วงเย็น ก่อนจะถึงฤกษ์ส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าห้องหอ
เธอสังเกตว่าใบหน้าของอิฐเรียบเฉย แม้เห็นพี่สะใภ้ของเธอก็ยังเฉย เขาไม่ได้มีท่าทีอะไรเลยจนเธอนึกแปลกใจ หรือเขาจะตัดใจจากนิตยาได้แล้วจริง ๆ