4
ฉีกทุกกฎเกณฑ์
แขนเรียวยาวผุดผ่องดุจกิ่งหลิวหยก ความงามโดดเด่นประณีตและเนียนนุ่มไม่มีเค้าของเด็กยากจนซึ่งถูกเก็บมาเลี้ยงดูเลยแม้แต่น้อย
ตงฟางฉีเงยหน้ามองใบหน้างดงามที่ฉายแววล่มเมือง มุมปากพลันยกยิ้มน้อยๆ ทว่าแววตานั้นยากที่จะคาดเดาความคิด
ลี่หยวนอยู่บนเก้าอี้ตรงกันข้าม พาดแขนลงบนโต๊ะด้านหน้าพร้อมขมวดคิ้วนิดๆ แต่สีหน้าแววตายังคงอยู่ภายใต้ความสงบ ต่อหน้าท่านเสนาบดี และฮูหยินใหญ่ แม้นางจะอายุน้อยก็สามารถวางตัวได้อย่างดีเยี่ยม
ยิ่งท่านอ๋องน้อยได้ใช้เวลาอยู่กับนางมากเท่าไหร่ ความรู้สึกสนใจก็เพิ่มพูนมากขึ้น
ในงานเลี้ยงวันเกิด เลือดไก่ที่ลี่หยวนกลืนลงคอไปก่อนจะกระอักออกมามิใช่สิ่งที่สตรีทั่วไปคิดจะทำก็ยอมทำได้ การกลืนเลือดสดๆ นั้นว่ายากแล้ว ทว่าการอาเจียนเพียงเลือดโดยไม่มีอาหารเจือนปนเป็นสิ่งที่ยากยิ่งกว่า การจะทำได้นั้นย่อมต้องผ่านการฝึกฝนทักษะดังกล่าวมาเป็นระยะเวลานาน
หากจะบอกว่าจวนเสนาบดี มีการฝึกฝนบุตรสาวบุญธรรมเรื่องนี้ ก็อาจมีความเป็นไปได้ ด้วยตำแหน่งบุตรสาวบุญธรรมที่ถูกเก็บมาเลี้ยง ไม่ว่าอย่างไรนางก็มีค่าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในกระดานเท่านั้น
ทว่าดูเหมือนการที่นางปั้นเรื่องหลอกว่าตนเองป่วยจะมิได้เกิดจากความเห็นชอบของตระกูลลี่...
ฮึ! เขาเองก็อยากจะรู้นักว่า สตรีที่กล้าสร้างเรื่องเสียใหญ่โตจะไปได้สักกี่น้ำ
“ขออนุญาตคุณหนู”
สิ้นเสียงนุ่มทุ้มของชายหนุ่มวัยสิบแปด มือที่ใหญ่กว่าก็เคลื่อนเข้าไปวัดชีพจรของนาง
ตึกตักๆ
จังหวะการเต้นของหัวใจที่มั่นคงและแข็งแรงดูน่าเบื่อในทีแรก จนกระทั่ง...
นัยน์ตาสีน้ำหมึกของตงฟางฉีต่างไปจากเดิมเล็กน้อยเมื่อจู่ๆ ชีพจรดังกล่าวกลับอ่อนแรงลงอย่างกะทันหัน!
ลี่หยวนพลันหน้าซีด ริมฝีปากเม้มเข้าหากันพร้อมกับเริ่มงอตัวอย่างทรมาน
“ปวดท้อง...”
อาการที่ทรุดหนักลง ส่งผลให้ชิงช่ายที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งถึงกับหน้าถอดสี
“คุณหนูเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
นางถลาเข้ามาหาผู้เป็นนายที่นั่งกุมท้อง
“ข้าปวดท้อง...”
“หยวนเอ๋อร์!” ลี่ชิวหม่าเด้งกายยืนขึ้นพร้อมกับซ่งหรู่ฮวา
“ท่านอ๋องน้อย หยวนเอ๋อร์เป็นอะไรไป” แม้กระทั่งลี่เตาเองยังตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ตงฟางฉีจ้องหน้าเด็กสาวที่กำลังกลายเป็นจุดสนใจของผู้คนทั้งมวล
นี่นางถึงกับลงทุนกินอาหารเสียเข้าไปอย่างนั้นหรือ!
“เป็นเพราะนางกินอาหารเสียเข้าไปจึงมีอาหารปวดท้อง หลังจากนี้อาจมีการอาเจียนหรือท้องร่วง ร้ายกว่านั้นคือมีไข้ขึ้นสูงและหมดสติ”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!” เป็นซ่งหรูฮวาที่โมโหจนหน้าแดง นางผินใบหน้าไปมองบ่าวรับใช้คนสนิทของลี่หยวน “เจ้าเอาอะไรให้หยวนเอ๋อร์กินกันแน่!”
ชิงช่ายสะดุ้งตัวรีบถอยห่าง นางคุกเข่าพร้อมกับโขกศีรษะกับพื้น “ฮูหยินใหญ่ ที่บ่าวพูดไปเป็นความจริงเจ้าค่ะ! สิ่งที่คุณหนูกินตั้งแต่เมื่อวานมีเพียงอาหาร ยาบำรุงที่ถูกส่งมาจากฮูหยินใหญ่ด้วยกันทั้งสิ้น!”
“เจ้า...” ฮูหยินใหญ่แห่งจวนเสนาบดีมือสั่นเทา “เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าให้อาหารเสียแก่หยวนเอ๋อร์หรืออย่างไร!”
“บ่าว...”
ชิงช่ายอ้าปากคล้ายอยากจะพูดต่อ ทว่าลี่หยวนซึ่งใบหน้าขาวซีดราวกับไก่ต้มกลับยกมือห้าม “ท่านแม่ใหญ่ เป็นเพราะข้าอบรมบบ่าวไพร่ไม่ดีนางจึงได้ก้าวร้าว ท่านแม่ใหญ่โปรดให้อภัยนางด้วย”
“หยวนเอ๋อร์ไม่ต้องพูดแล้ว เจ้ารีบไปนอนพักเถิด” ลี่ชิวหม่าถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนจะแผ่รังสีอำมหิตจนผู้คนรู้สึกหนาวยะเยือก
“พวกเจ้าทั้งหมดไปตามคนในโรงครัวมา อย่าให้ขาดแม้แต่คนเดียว!”
บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างอกสั่นขวัญแขวนกันถ้วนหน้า
“ขอรับ!/เจ้าค่ะ!”
บรรยากาศเช่นนี้มิใช่ว่าจะเกิดขึ้นบ่อยๆ หากเป็นเพราะว่าครานี้มีท่านอ๋องน้อยซึ่งเป็นแขกร่วมเป็นสักขีพยานด้วย หากจวนเสนาบดีไม่สามารถจัดการปัญหาอย่างสะอาดหมดจด เกรงว่าคงเป็นขี้ปากชาวบ้านให้พวกเขาหัวเราะเยาะใส่
ลี่เตามองภาพที่เกิดขึ้นก็ได้แต่ส่ายหน้า นานแล้วที่เขาไม่ได้กลับมาบ้าน นึกไม่ถึงว่าตระกูลลี่จะกลายเป็นครอบครัวที่มีแต่ปัญหาและความวุ่นวายไปเสียได้
แล้วนี่อย่างไร ทั้งบุตรชายและลูกสะใภ้ของเขาคิดจะใช้สตรีบอบบางเยี่ยงลี่หยวนเป็นหมากเพื่อขวนขวายอำนาจในวังหลวงมากกว่านี้น่ะหรือ ฝันไปเถิด!
ตราบใดที่คนแก่หนังเหนียวเยี่ยงเขามีชีวิตอยู่ เขาจะไม่มีวันยอมให้นางแต่งเข้าวังหลวงเป็นอันขาด!
อดีตของเด็กสาวผู้นี้ แม้กระทั่งองค์ชายสี่ซึ่งช่วยชีวิตนางมาก็ยังไม่รู้ และเป็นเขาเองที่เป็นคนเอ่ยปากรับตัวลี่หยวนเข้ามาชุบเลี้ยง
แค่อดีตของมารดานางก็นับว่าน่าสงสารมากพอแล้ว เกรงก็แต่ลี่หยวนจะปักใจรักมั่นแก่องค์ชายสี่ สุดท้ายก็อาจพร้อมที่จะกระโดดเข้ากองไฟเพื่ออีกฝ่าย นำความเดือดร้อนมาสู่ตนเอง
“ท่านอ๋องน้อย...” ผู้อาวุโสที่สุดในที่นี้เบนสายตาไปยังตงฟางฉี ชายหนุ่มกำลังมองชิงช่ายที่ประคองลี่หยวนออกไปจากห้องรับรอง
ครั้นตงฟางฉีหมุนกายไปยังลี่เตา เพียงแค่มองตาก็รู้ว่าผู้อาวุโสกำลังคิดอะไรอยู่
“ท่านอาจารย์ลี่อย่าได้เกรงใจเลย ที่ข้ามาที่นี่ เดิมมีจุดประสงค์ต้องการรักษานาง เช่นนั้นข้าขอตัวไปเตรียมยารักษาก่อน”
ลี่เตาประสานมือทำความเคารพผู้มีศักดิ์เหนือกว่า “ขอบพระทัยท่านอ๋องน้อย”
ลี่หยวนหมดสติไปสองชั่วยาม[1] จึงตื่นขึ้นมา
ซึ่งมันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ ‘คนร้าย’ ยอมสารภาพความจริงออกมาพอดี
“ไหวไหมเจ้าคะ คุณหนู”
ชิงช่ายยื่นถ้วยน้ำให้ผู้เป็นนายบ้วนปาก ลี่หยวนเพิ่งอาเจียนเสร็จไปหมาดๆ สีหน้ายังดูอิดโรย แม้จะกินอาหารเสียไปไม่มากแต่ดูเหมือนร่างกายของนางจะได้รับผลกระทบมากเลยทีเดียว
“อืม” เด็กสาวไม่อยากเชื่อว่าแค่อาหารเป็นพิษจะทำให้ร่างกายของลี่หยวนอ่อนแอถึงเพียงนี้
ในช่วงที่นางเป็นไข้สลบไสล มีหลายครั้งที่ได้ยินเสียงคนพูดคุยกันแต่ก็ฟังไม่ได้ศัพท์ หากนางก็มั่นใจว่าน่าจะเป็นเสียงของท่านอ๋องน้อยตงฟางฉี
...เขายังคงอยู่ที่จวนเสนาบดี
ลี่หยวนคิดพลางถอนหายใจ ต่อให้ใจจริงจะไม่อยากให้เขาอยู่ แต่ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยเหตุการณ์ในครั้งนี้นางก็สามารถใช้ประโยชน์จากเขาได้
“จับตัวคนร้าย... ได้หรือยัง”
“ได้แล้วเจ้าค่ะ” ชิงช่ายพยักหน้าก่อนจะก้มลงกระซิบ “เป็นคุณชายใหญ่อย่างที่พวกเราคิดเอาไว้จริงๆ เจ้าค่ะ”
คืนก่อน อาหารที่บ่าวจากโรงครัวยกมาให้มีกลิ่นแปลกๆ เมื่อตรวจสอบดูแล้วจึงมั่นใจว่ามันคืออาหารเน่าบูด
ความจริงหากจะโยนอาหารพวกนี้ทิ้งไปเลยก็ได้ แต่มันก็ไม่อาจช่วยแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้
คนร้ายที่หวังทำร้ายนางยังคงลอยนวย และถ้าหากอีกฝ่ายเห็นว่าวิธีการนี้ใช้กับนางไม่ได้ผล วิธีการต่อไปก็อาจจะร้ายกาจและรุนแรงมากจนนางคาดไม่ถึง
ดังนั้นเพื่อเป็นการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม สู้นางยอมเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เพื่อจัดการปัญหานี้ให้จบย่อมคุ้มค่ากว่า
“หากพี่รองอยู่ที่นี่ด้วยก็คงจะดีไม่น้อย” ลี่หยวนถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย “ตั้งแต่เด็กยันโต มีเพียงพี่รองเท่านั้นที่ปกป้องข้าจากพี่ใหญ่”
“คุณหนูคิดถึงคุณชายรองหรือเจ้าคะ”
เด็กสาวพยักหน้า ต่างจากลี่เผิงที่ชอบทำตัวเป็นเด็กไม่เอาถ่าน ลี่ชิว พี่รองของนางซึ่งเป็นบุตรชายของฮูหยินใหญ่ของจวนกลับชอบเรียนวรยุทธ์และอ่านตำราพิชัยสงคราม ท่านอาฟางอวี้เห็นแววของเขาจึงได้พูดคุยกับท่านพ่อเพื่อฝากฝังเขาเข้าไปในกรมทหาร บัดนี้ยังคงเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในค่ายยังไม่กลับมาเยี่ยมบ้าน
นี่เขาไม่รู้หรืออย่างไรว่าบัดนี้จวนเสนาบดี กลายเป็นสถานที่ที่หมอปีศาจมาเดินเล่นเพ่นพ่านได้ราวกับเป็นสวนหลังตำหนักของตนเอง!
ครั้นพูดถึงโจโฉ... โจโฉก็มา
ลี่หยวนเชิดใบหน้าเมื่อได้ยินเสียงบ่าวรับใช้ด้านหน้าตำหนัก
“คารวะท่านอ๋องน้อย”
“คุณหนูตื่นแล้วหรือยัง”
“พะ...พวกบ่าวไม่ทราบเจ้าค่ะ”
คำตอบของสาวใช้ที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านนอกส่งผลให้เด็กสาวขมวดคิ้วอย่างชั่งใจ
ณ เวลานี้นางควรจะแสร้งนอนต่อหรือตื่นเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายดีเล่า?
“คุณหนูเจ้าคะ” ชิงช่ายเองก็ดูเหมือนจะรอการตัดสินใจของนางเช่นเดียวกัน
“บัดนี้คุณชายใหญ่ของจวนเสนาบดี ถูกบิดาจับขังไว้ในเรือนและให้อดข้าวอดน้ำตั้งแต่เมื่อคืน” ตงฟางฉีเดินถือถาดไม้ซึ่งมีถ้วยยา ส่งกลิ่นขมหื่นลอยโชยเข้ามาถึงด้านใน “คงทำให้คุณหนูพอใจได้แล้วใช่หรือไม่”
“ท่านอ๋องน้อยทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว ลี่หยวนจะพอใจได้อย่างไร” นางลุกขึ้นจากเตียงโดยมีชิงช่ายช่วยประคอง “เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด ลี่หยวนจะไปคุยกับท่านพ่อ ขอร้องให้ลดโทษให้แก่พี่ใหญ่”
ลี่หยวนสั่งให้เปิดประตู เมื่อพบหน้าตงฟางฉีก็ถอนสายบัว เสร็จก็เตรียมจะเดินผ่านอีกฝ่ายเพื่อก้าวออกจากห้อง นึกไม่ถึงว่าในจังหวะนั้นชายหนุ่มผู้มีใบหน้าดุจเทพบุตรจะส่งเสียงขึ้นมาอีก
“คุณหนูไม่อยากรู้รึว่า ข้ามาที่นี่ด้วยเหตุผลอันใด? ”
เสียงทุ้มของเขาสามารถทำให้นางหยุดเดิน ครั้นเสี้ยวหน้างามผินกลับมาพร้อมกับใช้นัยน์ตาหวานสบมอง ตงฟางฉีก็พลันเกิดความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นในอก
เขาไม่เคยรู้สึกสนุกกับการพูดคุยกับสตรีคนใดได้มากเท่ากับคุณหนูแห่งจวนเสนาบดีผู้นี้
“ลี่หยวนรู้อยู่แล้วเพคะ” นางหลุบตามองต่ำ มุมปากจะยกยิ้มน้อยๆ เมื่อรู้ว่าเขากำลังรอคอยคำตอบของนางอย่างตั้งใจ “ท่านอ๋องน้อยเมตตาอยากรักษาอาการป่วยของลี่หยวน...มิใช่หรือ”
ลี่หยวนตั้งใจเน้นประโยคคำถามสุดท้ายด้วยน้ำเสียงที่เข้มกว่าเดิม ค่อยๆ แหงนหน้าสบตาของบุรุษร่างสูงโปร่ง
ทว่าผู้ที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมในทีแรกก็ถึงกับผงะ
...หมอปีศาจผู้นี้กำลังยิ้ม!
เขายิ้มทำไม!
“แน่นอนว่าเจตนาแรกย่อมเป็นดังที่คุณหนูกล่าว” ตงฟางฉีเอ่ยพลางสาวเท้าเข้ามาใกล้มากขึ้น
และถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีกลิ่นอายคุกคาม ทว่าชิงช่ายที่ช่วยประคองผู้เป็นนายกลับเผลอบีบมือแน่นขึ้นตามสัญชาตญาณ ผู้เกิดเป็นบ่าวย่อมมีสัญชาตญาณเตือนภัยชั้นยอด เพราะต้องเรียนรู้และเอาตัวรอดจากผู้มีอำนาจบารมีเหนือตนมาตั้งแต่จำความได้
ลี่หยวนเองก็รู้สึกไม่ไว้ใจหากต้องเข้าใกล้ท่านอ๋องน้อยภายในห้องมิดชิดโดยมีบ่าวเพียงแค่คนเดียว ดังนั้นจึงก้าวถอยหลังในจังหวะที่เขาเดินเข้าหา ปากก็เอ่ยถาม
“ท่านอ๋องน้อยทรงหมายความว่าอย่างไรเพคะ ลี่หยวนไม่เข้าใจ”
ตงฟางฉีอมยิ้มนิดๆ หมุนกายวางถาดยาลงบนโต๊ะกลมข้างตัว “เดิมทีข้าตั้งใจศึกษาเรื่องยาและโอสถก็เพราะเห็นว่ามันซับซ้อนและน่าสนใจ ทว่าพอศึกษาอยู่นานเข้าจนแตกฉาน ข้ากลับไม่หลงเหลือความกระตือรือร้นที่จะค้นคว้าไปมากกว่านี้ ดังนั้น...”
ลี่หยวนลอบกลืนน้ำลาย ยกมือบีบกระชับมือของชิงช่ายที่กุมลำแขนของตน
“คงถึงเวลาแล้วที่ข้าคิดว่า ข้าควรเปลี่ยนงานอดิเรกในยามว่าง” ชายหนุ่มกล่าวจบก็หยิบถ้วยยาออกจากถาดไม้แล้วยื่นส่งให้เด็กสาวผู้มีใบหน้าซีดเซียว
ลี่หยวนยื่นมือที่สั่นเล็กน้อยไปรับถ้วยยา ในสมองปรากฎภาพของตงฟางฉีในเสื้อกาว์นของแพทย์สมัยใหม่กำลังลับมีดเตรียมชำแหละร่างของนางซึ่งถูกจับขึงอยู่บนเตียง
ให้ตายสิ! มันชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว!
คุณหนูแห่งจวนเสนาบดี คิดพลางก้มลงมองภาพสะท้อนของตนเองบนน้ำสีข้นที่กระเพื่อมไหวในถ้วยยา
ตั้งสติให้ดีลี่หยวน คนประเภทนี้ยิ่งได้เห็นคนแสดงความอ่อนแอออกมาก็จะยิ่งข่มเหงรังแก ดังนั้นจะต้องเข้มแข็งเข้าไว้!
ท่านอ๋องน้อยเพียงต้องการทดสอบนางเท่านั้น ต่อให้เขาจะมีประวัติฆ่าคนก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใจกล้าถึงขั้นวางยาพิษนางในฐานะแขกของท่านปู่
ลี่หยวนผละกายออกจากชิงช่าย ดื่มยาลงไปรวดเดียวจนหมด รสชาติของมันทั้งเฝื่อนทั้งขม ชวนให้รู้สึกไม่อยากอาหารเลยทีเดียว
“ขอบพระทัยท่านอ๋องน้อยสำหรับยาเพคะ” นางตัดสินใจไม่พูดถึงเรื่องงานอดิเรกใหม่ที่อีกฝ่ายเปรยขึ้นมาอีก ไม่ว่าอย่างไรนางก็อยากผลักไสเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเขาให้ห่างตัวไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
[1] 1 ชั่วยาม มีค่าเท่ากับ 2 ชั่วโมง