3
หมอปีศาจปรากฎกาย
สามวันที่ผ่านมา หากมองผิวเผินก็เหมือนชีวิตของลี่หยวนจะสงบสุขขึ้นกว่าเดิมหน่อย
ทว่าเด็กสาวก็หาได้ใช้ชีวิตสบายๆ อยู่ในห้องหออย่างปรกติสุขไม่...
ร่างอันอ่อนแรงกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียง สีหน้าเบื่อหน่ายแต่แววตาคู่สวยเปี่ยมไปด้วยความตั้งมั่นจริงจัง
“คุณหนูเจ้าคะ”
มือชิงช่ายนวดคลึงขาของลี่หยวน อดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองมาด้วยความสงสาร “ประเดี๋ยวข้าน้อยจะแอบเอาอาหารมาให้ท่านอีก ดีไหมเจ้าคะ”
สามวันมานี้ ลี่หยวนเอาแต่ดื่มน้ำชาและกินผักต้มหนึ่งถ้วยเพื่อให้บทบาทล้มป่วยสมจริงมากที่สุด
ทรวดทรงอรชรเตรียมเข้าสู่วัยสาวที่ผ่ายผอมลงบาดหัวใจข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์อย่างยิ่งยวด แต่เพื่อให้ความรักของคุณหนูสมหวัง นางก็จะอดทนเท่ากับที่คุณหนูของนางอดทน
ในหัวของชิงช่ายคิดเลยเถิดไปไกล กระทั่งหลี่หยวนกระแอมขึ้นมา
“เจ้าอย่าเสียงดังไป แผนการทุกอย่างต้องอาศัยความอดทน หรือใจคอเจ้าอยากส่งข้าไปอยู่ในดงเสือ?”
“แต่ว่าคุณหนู... หากท่านแต่งงานเป็นพระชายาขององค์ชายสี่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเข้าไปพัวพันกับวังหลวงอยู่ดีมิใช่หรือเจ้าคะ”
ลี่หยวนนิ่งไป ครุ่นคิดถึงฉากในนิยายที่นางเคยอ่านในชาติก่อน ขนาดตัวละครตัวนี้ไม่ได้เป็นพระชายาก็พบเจอเรื่องลำบากมาสารพัดรูปแบบ ถ้าขืนได้แต่งงานไปจริง... มิกลายเป็นว่าลำบากกว่าเดิมหรอกหรือ?!
“ในโลกนี้... ก็ยังมีคนที่ยอมลำบาก ยอมเจ็บปวดเพราะความรัก” ลี่หยวนพึมพำ
แต่แน่นอนว่าคนผู้นั้นย่อมไม่ใช่นาง!
คิดพลางเหม่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่าการที่นางทำเช่นนี้จะทำให้อนาคตเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือยัง โชคชะตาที่พยายามดิ้นรนจะผลันแปรไปมากน้อยเพียงใดกันหนอ
หรือแท้จริงแล้ว... นางควรจะทำอะไรที่มันมากกว่านี้กันนะ?
ในนิยาย นอกจากตัวละครเด่นๆ อย่างพระเอกซึ่งเป็นองค์รัชทายาทกับนางเอกแล้ว ก็ยังมีตัววายร้ายอย่างองค์ชายสี่ นางซึ่งเป็นผู้ช่วยวายร้าย กับตัวละครอื่นๆ ก็นับว่ามีบทบาทอยู่พอสมควร ดังนั้นไม่ว่าต่อให้พยายามหลีกเลี่ยงอย่างไร นางก็คงไม่มีทางหลบจากตัวละครทุกตัวไปได้อยู่ดี
...จะต้องระมัดระวังตัวเข้าไว้
สีหน้าเคร่งเครียดของเด็กสาวสะท้อนในดวงตาบ่าวผู้ซื่อสัตย์ แรงนวดของชิงช่ายเริ่มผ่อนลง ขอบตาร้อนผ่าวเมื่อคิดว่าลี่หยวนกำลังทรมานกับการอดข้าวอดอาหาร
“ข้าหิวน้ำ”
“ได้เจ้าค่ะ”
ชิงช่ายใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาที่หลั่งออกมาด้วยความสงสาร ผละตัวออกไปรินน้ำชาทางด้านนอก
ลี่หยวนมองตามอีกฝ่ายก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ
ดารานักแสดงที่นางเคยไปเป็นสตั๊นแมนในชาติก่อนมีแต่ตัวผอมบางด้วยกันทั้งนั้น และเวลาที่นางต้องทำงานในวงการ การไดเอทลดหุ่นถือเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอเป็นวัฏจักร แถมตารางก็ไม่แน่นอน ถ้าถ่ายทำไม่ผ่านก็ต้องถ่ายแล้วถ่ายอีกแบบข้ามวันข้ามคืนก็มี ด้วยเหตุนี้การกินข้าวหนึ่งมื้อติดต่อกันสามวันไม่ถือเป็นเรื่องที่เกินกำลัง ใจของนางทนได้สบายๆ อยู่แล้ว
ปึง!
จู่ๆ ก็มีเสียงกระแทกดังลั่นมาจากประตูหน้าห้องนอน
“พวกเจ้าหลีกไป! ข้าจะไปลากตัวนางออกมา! ดูสิว่ายังจะแสร้งป่วยได้อยู่อีกไหม!”
“คุณชายใหญ่เจ้าคะ ได้โปรด...ได้โปรดเถิดหยุดเถิดเจ้าค่ะ!!”
สาวใช้ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าประตูด้านนอกพยายามร้องขอมิให้เจ้าของเสียงทุ้มห่ามเถื่อนสร้างความวุ่นวาย แต่มันก็คงไม่ได้ผลอีกเช่นเคยเมื่อประตูถูกกระแทกอย่างแรงจนเปิดอ้า
ร่างสูงใหญ่บึกบึนย่างสามขุมเข้ามาด้านใน บุกรุกมาถึงห้องนอนของลี่หยวน กลิ่นสุราฉุนจมูกทำให้ร่างบนเตียงเบือนหน้าหนี ชิงช่ายตาเหลือก รีบหยิบเสื้อคลุมมาสวมให้ ขณะหันไปชำเลืองมองสาวใช้สองคนซึ่งมียศต่ำกว่าอย่างตำหนิ พวกสาวใช้เหล่านั้นรีบพากันเข้ามาคุกเข่าตัวสั่นอยู่หน้าประตูอย่างรู้ความผิดของตนเอง
ลี่หยวนปรับสีหน้าให้เรียบเฉย ปรายตามองผู้มาใหม่ตั้งแต่เท้าไล่ขึ้นไปจนถึงหัว
คุณชายใหญ่ หรือก็คือบุตรชายแท้ๆ ของลี่ชิวหม่ากับฮูหยินรอง ลี่เผิง
ในนิยายนางแทบจำตัวละครนี้ไม่ได้ แต่ในชีวิตประจำวันของลี่หยวนตลอดเวลาสิบสี่ปีที่ผ่านมาก็พบเจอพี่ชายคนนี้อย่างน้อยทุกสามวันเจ็ดวัน และในความทรงจำของนาง เขานั้น...
...โคตรจะเกลียดและชิงชังนางเข้ากระดูกดำ!
“ลี่หยวน! ท่านหมอยืนกรานแล้วว่าเจ้าไม่ได้ป่วยอันใด เลิกสำออยตบตาผู้อื่นเสียที!” เสียงห้วนโกรธเกรี้ยวที่ไม่คิดปกติอคติคงทำให้เด็กสาววัยสิบสี่ทั่วไปหวาดกลัวได้ไม่ยาก ทว่าน่าเสียดายนักที่นางเปลี่ยนไปแล้ว
ด้านลี่หยวนตอบโต้เพียงแค่กลอกตาส่งกลับไป
ก็แน่ละ ในเมื่อนางเป็นสตรีแต่ได้รับการเอาใส่ใจจากท่านเสนาบดี และได้รับความเอ็นดูจากฮูหยินใหญ่ เขาซึ่งเป็นบุตรชายคนโตกลายเป็นคนไม่สำคัญเพราะมารดาประพฤติตนไม่ดี เขาจึงไม่ได้รับความโปรดปราณจากผู้ใหญ่ในจวนไปเสีย
มิหนำซ้ำ ลี่เผิงยังเป็นบุรุษที่ไม่เอาถ่าน รักแต่สุรานารี ไม่สนใจการงาน เสมือนปลาเน่าเหม็นโฉ่อยู่ในเข่งของจวนเสนาบดีแห่งนี้
ช่างเป็นบุตรชายที่น่าผิดหวังของท่านพ่อโดยแท้...
“พี่ใหญ่” ลี่หยวนปิดปากกระแอมไอ สวมบทบาทของคุณหนูในห้องหอผู้กำลังถูกกลั่นแกล้งรังแกอย่างเต็มที่ “ตลอดหลายปีที่ผ่านมาท่านไม่เคยดูดำดูดีข้า ข้าไม่เคยตัดพ้อท่าน ทว่าครานี้ท่านทำเกินไป... อย่างน้อยท่านก็ควรปล่อยให้ข้าพักผ่อนอย่างสงบเสียบ้าง...มิได้หรือ?”
นางหันไปส่งสายตาให้ชิงช่าย สาวใช้ผู้รู้อยู่แก่ใจก็รีบส่งสัญญาณมือบอกให้สาวใช้อีกคนรีบไปตามคนมาช่วย
ลี่หยวนไม่เข้าใจนักว่า ในเมื่อเขาเกลียดกันนักหนาแล้วยังอยากจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับนางไปไย หากเป็นคนทั่วไปคงเลือกใช้ชีวิตแบบต่างคนต่างอยู่ น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำโคลนไปเสียก็สิ้นเรื่อง
แต่ในเมื่อตัวปัญหามาระรานถึงถิ่น นางก็ต้องหาวิธีรับมือให้มันจบ
ลี่เผิงยามปกตินั้นน่าปวดหัวเป็นทุนเดิม ยามนี้ถึงขั้นเมามายจนไม่รู้จักระงับสติอารมณ์ เกรงว่าถ้าไม่ระวัง อาจได้รับบาดแผล เจ็บตัวเพิ่มเติมเข้ามาด้วย
ต่อให้ไม่ค่อยกลัวเรื่องเจ็บตัว แต่นางก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นที่ไม่เลือก เรื่องอะไรจะยอมให้คนไร้ค่าผู้นี้สร้างบาดแผลบนตัวนาง เขาไม่คู่ควรเลยสักนิด!
“สงบ? มีแต่ในเรือนของเจ้าน่ะสิที่สงบ!”
ลี่เผิงตาวาววับประหนึ่งคมมีด แม้ใบหน้าจะพอดูได้ ทว่าความเกลียดชังที่มีให้แก่กันมันทำให้นางเห็นว่าเขาเป็นสิ่งอัปลักษณ์น่าเกลียดที่สุดในโลก
เอาเป็นว่าพอเห็นหน้าเขาแล้ว จากตอนแรกที่หิวๆ ก็พานทำเอานางไม่อยากอาหารเลยทีเดียว
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“เพราะข่าวเรื่องการป่วยโรคประหลาดของเจ้า ท่านปู่จึงเดินทางออกจากวังมาหา และท่านก็ไม่ได้มาเพียงลำพัง...”
ลี่หยวนขนกายลุกซู่ ได้แต่หวังว่าการสังหรณ์ใจแปลกๆ นี้คงเกิดจากการคิดมากไปเอง
จนกระทั่งลี่เผิงให้คำยืนยันแก่นาง
“คนที่มาด้วยกันคือท่านอ๋องน้อย ตงฟางฉี”
ในส่วนประกอบของนิยายเรื่องหนึ่ง แน่นอนว่านอกจากพระเอก นางเอก พระรอง วายร้าย ผู้ช่วยวายร้าย ตัวอิจฉาและตัวประกอบ มันก็มักจะมีตัวละครประเภทหนึ่งที่เพิ่มความพิศวงและเสน่ห์ให้แก่นิยายเรื่องนั้นๆ
ตัวละครที่ว่าคือตัวละครที่นางนิยามเอาเองว่า ‘ตัวละครสีเทา’
ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง ผู้อ่านไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่า แท้จริงแล้วตัวละครนี้อยู่ฝ่ายดีหรือว่าฝ่ายร้าย เนื่องจากไม่มีใครทราบเหตุผลหรือจุดประสงค์ของการกระทำหลายๆ อย่าง เนื่องจากผู้เขียนมักจะใช้การเล่าด้วยวิธีการที่คลุมเครือ
ตัวละครชนิดนี้ไม่ได้เป็นนางเอกหรือพระเอกที่ถูกปูพื้นมาให้นักอ่านได้ทำความเข้าใจมากนัก แถมยังไม่มีการสรุปจุดจบของชีวิตของพวกเขาเพราะไม่จำเป็นกับเนื้อเรื่อง การปรากฎตัวในแต่ละครั้งจึงมักจะมาเฉพาะเวลาที่จำเป็นเพื่อให้เรื่องได้ดำเนินต่อไปเท่านั้น
และในนิยายเรื่องนี้ ‘ท่านอ๋องน้อย ตงฟางฉี’ ก็เป็นตัวละครประเภทนั้น
เขาคือคนที่ทำให้ลี่หยวนคิดว่าสมควรหลีกเลี่ยงมากกว่าองค์ชายสี่ เพราะไม่รู้เลยว่าตัวละครนี้ดีหรือร้าย แต่สุดท้ายนางกลับทำเรื่องจนกลายเป็นฝ่ายดึงดูดตัวละครสีเทาผู้นี้ให้มาสนใจตนเองเสียอย่างนั้น...
ลี่หยวนทราบประวัติคร่าวๆ เพียงแค่ว่า ท่านอ๋องน้อย ตงฟางฉี เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านอ๋องตงฟางหยาง พระอนุชาแท้ๆ ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
ตั้งแต่เล็ก ท่านอ๋องน้อยเป็นคนพูดน้อยและค่อนข้างเก็บตัว ทรงสนใจเรื่องยาและสมุนไพรจึงถูกพระบิดาส่งตัวไปร่ำเรียนที่สำนักแพทย์ลึกลับแห่งหนึ่งในต่างแคว้น สิบปีให้หลังเขาเดินทางกลับมายังบ้านเกิดพร้อมกับฉายาที่ทำเอาหลายๆ คนถึงกับขนหัวลุก
ไม่ใช่ ‘หมอเทวดา’ แต่เป็น ‘หมอปีศาจ’
เขาไม่ได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์มาเพื่อรักษาอย่างเดียว หากยังเรียนมาเพื่อพรากชีวิตผู้คนอย่างเปิดเผยอีกด้วย
ผู้คิดขนลุกเกรียว หากเป็นตัวนางก่อนที่ความทรงจำในอดีตชาติจะฟื้นกลับมา นางซึ่งเป็นนักฆ่าให้วายร้ายอย่างองค์ชายสี่ คอยสังหารผู้อื่นตาไม่กะพริบก็คงสามารถประชันความเลือดเย็นกับหมอปีศาจได้อย่างสูสีอยู่บ้าง
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ!
นางตัดสินใจแล้วว่าจะไม่อยู่ฝ่ายวายร้าย และจะไม่ช่วยวายร้ายสังหารใครเด็ดขาด!
“เหตุใดท่านอ๋องน้อยจึงได้มากับท่านปู่ได้”
ลี่เผิงขบกรามแน่น “ก็เพราะการสำออยของเจ้าทำให้ท่านปู่เป็นห่วง จึงขอร้องให้ท่านอ๋องน้อยช่วยรักษาเจ้าอย่างไรเล่า!”
“ท่านปู่...”