จินเยว่นอนมองหลังคาบ้านที่ทำด้วยฟางข้าวด้วยสายตางุนงง เธอต้องตื่นมาเจอหลังคาบ้านหลังนี้อีกกี่ครั้งกัน ไหนว่าถ้านอนหลับตอนกลางวันเธอจะไม่ย้อนกลับมาในยุคอดีตยังไงละ นี้อะไรผ่านไปยังไม่ถึงสามวันเธอต้องย้อนกลับมาอยู่ในร่างของจินเยว่ที่แสนจะสกปรกนี้อีกแล้ว
จินเยว่คิดว่าวิญญาณของเธอจะย้อนมาในยุคอดีตในช่วงเวลาที่เธอนอนกลับตอนกลางคืนเท่านั้น ดังนั้นตลอดสามวันที่ผ่านมาเธอจึงปรับเวลานอนให้ตื่นตอนกลางคืนและนอนตอนกลางวันแทน
และเธอจำได้ว่าเธอนอนหลับในยุคปัจจุบันเป็นเวลากลาง แล้วทำไมวิญญาณของเธอถึงย้อนกลับมาเข้าร่างของ จินเยว่ในยุคอดีตได้ล่ะ หรือว่าสิ่งที่เธอเข้าใจมันไม่ถูกต้อง
จินเยว่นอนมองเพดานห้องที่มีแต่ฝุ่นเกาะอยู่เต็มด้วยสายตาเหม่อลอย สภาพห้องตอนนี้ก็เหมือนเดิมผนังที่ก่อด้วยปูนหยาบ ๆ และเตียงนอนที่ทำจากไม้ไผ่ ขยับตัวสักครั้งเสียงเตียงที่นอนอยู่ก็ดังเอี๊ยดอ๊าดเหมือนกำลังจะหักตลอดเวลา ผ้าห่มผืนบาง ๆ ที่เก่าจนมีรอยปะเต็มไปหมด
“จินเยว่ตื่น จินเยว่”
“ฉันตื่นแล้ว”
“ฉันเห็นเธอนอนนิ่งไม่ขยับนึกว่ายังหลับอยู่”
เตียงของจินเยว่อยู่ชิดติดผนังห้อง ถัดมาก็เป็นเตียงของเจียลี่ และถัดออกไปเล็กน้อยก็เป็นเตียงนอนของยุวชนคนอื่น ๆ ห้องนี้มียุวชนหญิงนอนรวมกันทั้งหมดห้าคน
“เจียลี่วันนี้วันที่เท่าไหร่?”
“วันที่ยี่สิบหก เดือนเจ็ด ปีxxxx”
ไม่ถูกต้องสิเธอไม่ได้นอนที่โลกปัจจุบันสองคืน ที่นี่ต้องผ่านไปสองวันแล้วสิแต่ทำไมเพิ่งจะผ่านไปแค่คืนเดียวละ
“ฉันนอนหลับไปกี่คืนแล้ว”
“จินเยว่ สมองเธอมีปัญหาหรือยังไง เธอเข้านอนพร้อมฉันเมื่อคืนนี้ และตอนนี้ก็เป็นเวลาเช้าแล้ว เธอเป็นอะไรมากหรือเปล่าไปหาหมอให้ตรวจดูสักหน่อยไหม?”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไร แค่รู้สึกว่าตัวเองนอนมากเกินไปตื่นมาก็เลยยังงงอยู่”
“นอนมากอะไร เธอก็นอนพร้อมกันกับฉันเมื่อคืนนี้เอง ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาจะได้ออกไปกินอาหารแล้วไปทำงาน”
“เธอกินก่อนเลยไม่ต้องรอฉัน ฉันยังไม่หิว”
แค่คิดถึงแผ่นแป้งที่ย่างแข็ง ๆ จินเยว่ก็ปวดฟันไว้รอแล้ว ขอทนหิวกลับไปตื่นนอนแล้วกินที่ยุคปัจจุบันของเธอดีกว่า
“เธอไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก ปีนี้ได้ผลผลิตมาก ปั่นส่วนอาหารหน้าจะได้เยอะขึ้นเราสองคนก็ไม่ต้องทนหิวกันอีกแล้ว”
“ฉันไม่ได้เกรงใจแต่ไม่หิวจริง ๆ ถ้าแป้งเธอหมดเธอมาเอาแป้งของฉันไปทำก่อนก็นะเจียลี่”
จินเยว่ยกถุงแป้งที่เจียลี่เคยเอามาให้เมื่อวันก่อนออกมาวางไว้บนเตียงนอน
“เธอไม่ได้เอาแป้งไปให้ป๋อเหวินหมดแล้วหรอ?”
เจียลี่ถามด้วยความสงสัย เพราะเมื่อวานเธอไม่เห็นถุงแป้งของจินเยว่
“ไม่ทำไมฉันต้องเอาอาหารของตัวเองไปให้ป๋อเหวินด้วย ฉันแค่เก็บเอาไว้ในกระเป๋าเธอเลยมองไม่เห็น”
“ดีแล้วที่เธอไม่เอาไปให้ ผู้ชายคนนั้นเป็นคนหลอกลวงเธอเข้าใจไหม”
“ฉันรู้แล้ว ขอบใจเธอมากที่คอยเตือนฉัน”
“เราสองคนเป็นเพื่อนกันนะ”
ในความรู้สึกของจินเยว่ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกันเจียลี่มากนัก อาจจะเป็นเพราะเธอไม่ใช่เจ้าของร่างคนเดิม หรืออาจจะเป็นเพราะว่าเธอเพิ่งโดนเพื่อนสาวที่สนิทและไว้ใจที่สุดหักหลัง
เพื่อนที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย และเรียนจบมหาลัยเดียวกันถึงแม้จะคนละเอกวิชา แต่พวกเธอทั้งสองคนก็พักอยู่ในอพาร์ทเมนท์ห้องเดียวกันนานถึงหกปี ตอนนี้จินเยว่ไม่ต้องการเชื่อใจหรือไว้ใจใครอีกแล้ว
เผลอแป๊บเดียวจินเยว่ย้อนอดีตกลับไปกลับมา เกือบจะสี่เดือนแล้ว ในเวลานี้จินเยว่กลายเป็นคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของสองยุคอย่างเต็มตัว
ในยุคปัจจุบันจินเยว่ได้ยื่นใบลาพักงาน ด้วยเหตุผลที่สภาพร่างกายและจิตใจไม่พร้อมที่จะทำงาน
ด้วยอาชีพของเธอ สภาพร่างกายของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญถ้าหากจิตใจไม่พร้อมจะทำงาน อาจทำให้เกิดความผิดพลาดกับผู้ป่วยได้ จินเยว่จึงได้รับอนุมัติให้ลาเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและจิตใจ
ในยุคอดีตเวลานี้เริ่มจะเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วอากาศเริ่มเย็น แต่จินเยว่ไม่มีเสื้อผ้าหนา ๆ สำหรับใส่หน้าหนาวเลย เธอไม่รู้ว่าในอดีตที่ผ่านมาเด็กสาวคนนี้สามารถมีชีวิตรอดจากอากาศที่หนาวเย็นได้ยังไง
จินเยว่ไม่สามารถนำเอาของใช้ในยุคปัจจุบันมายังยุคอดีตได้ เธอจึงไม่สามารถนำเอาเสื้อผ้าหนา ๆ หรือของกินติดตัวมาด้วยได้ เธอทำได้แค่ทนหิวแล้วนอนให้หลับ พอตื่นมาเธอก็จะได้กินอาหารที่บ้านของเธอในยุคปัจจุบัน
แต่ที่น่าแปลกก็คือจินเยว่สามารถนำสิ่งของต่าง ๆ ในยุคอดีตกลับมาในยุคปัจจุบันได้ เธอทดลองทำหลายครั้งแล้วแต่ผลที่ได้ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
“จินเยว่เดินเร็ว ๆ เดี๋ยวไม่ทันรถ”
เช้านี้จินเยว่ถูกเจียลี่ปลุกให้ตื่นตั้งแต่ตีห้า เพื่อที่จะได้ขึ้นรถแทรกเตอร์ของหมู่บ้านเข้าไปให้เมือง ในความทรงจำของร่างเดิมไม่มีเรื่องราวหรือความทรงจำในเมืองเลย แสดงว่าเจ้าของร่างคนเดิมไม่เคยเข้าไปในเมืองสักครั้ง ตั้งแต่ถูกส่งออกมาอยู่ที่ชนบท
จินเยว่ต้องใช้เวลาอยู่บนรถแทรกเตอร์เป็นเวลาเกือบสองชั่วโมง ช่างเป็นการเดินทางที่ทรหดจริง ๆ ตับไตไส้พุงโดนเขย่าจนแทบจะออกมากองรวมกันแล้วที่ข้างนอก
“ทุกคนสามารถไปซื้อของได้ตามที่ต้องการ และกลับมาเจอกันตรงนี้ก่อนสามโมงเข้าใจไหม?”
“ตกลงลุงลี่ พวกเราจะกลับมาให้ตรงเวลา”
คนที่ขับรถแทรกเตอร์พายุวชนเข้ามาในเมืองครั้งนี้ ก็คือลุงลี่ที่เป็นผู้ช่วยหัวหน้าหน่วยผลิต ถึงป้าลี่จะเป็นคนปากร้ายแต่ลุงลี่กลับเป็นคนที่มีน้ำใจให้กับคนในหมู่บ้านพอสมควร ช่างเป็นคู่สามีภรรยาที่มีความแตกต่างกันเสียจริง
จินเยว่มองดูผู้คนที่เดินกันไปมา ที่นี่เป็นเขตหนานซานที่ขึ้นกับเมืองเซินเจิ้นที่แห่งนี้เป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ แต่ในอนาคตจะถูกจัดให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษและจะมีการพัฒนาแบบก้าวกระโดดที่ทำให้ทั่วโลกแปลกใจ
“จินเยว่เดินเร็ว ๆ เธอมัวแต่มองอะไรอยู่?”
เจียลี่เรียกจินเยว่ที่กำลังยืนมองสถานที่ต่าง ๆ ด้วยความสนใจ จินเยว่ไม่เคยเข้ามาในเมืองเลยนี้เป็นครั้งแรกที่เธอชวนแล้วจินเยว่ยอมตกลงมา เมื่อก่อนไม่ว่าเธอจะชวนกี่ครั้งจินเยว่ก็ไม่สนใจที่จะเข้ามาในเมือง
“บ้านนอกเพิ่งเคยเข้ามาในเมืองก็ต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา”
หญิงสาวที่มีชื่อว่าหนิงอันพูดจากระทบกระเทียบจินเยว่พร้อมกับหัวเราะ
“หนิงอันเธออย่าพูดให้จินเยว่เลย เพราะจินเยว่ไม่เคยเข้ามาในเมืองสักครั้ง”
เจียฮุ่ยที่เป็นเพื่อนสนิทกับหนิงอันพูดจาดูถูกจินเยว่อีกคน เพราะทั้งสองคนเป็นยุวชนที่เพิ่งถูกส่งตัวมาเมื่อสองปีที่แล้วพร้อมกับป๋อเหวิน ครอบครัวของเจียฮุ่ยและหนิงอันค่อนข้างฐานะดี เพราะส่งเงินและคูปองมาให้ทั้งสองคนทุกเดือน ทำให้ทั้งสองสาวมีโอกาสเข้ามารับจดหมายในเขตกับที่ทำการไปรษณีย์ทุกเดือน
“หนิงอัน เจียฮุ่ย พวกเธอสองคนทำไมต้องดูถูกจินเยว่ด้วย”
“พวกฉันไม่ได้ดูถูกแต่เราสองคนพูดความจริง”
“ช่างเถอะ เจียลี่ที่สองคนพูดมันก็เป็นความจริง ฉันไม่เคยเข้ามาในเมืองสักที”
“เหอะ รู้ตัวก็ดีแล้วไปกันเถอะหนิงอัน”
สองสาวเดินออกห่างจากจุดที่จินเยว่ยืนอยู่ เจียลี่อยากจะตามสองคนนั้น
“เธอไปกับสองคนนั้นเถอะ ฉันไม่ไปไหนไกลจะยืนอยู่แถว ๆ นี้ เพื่อรอคนอื่นกลับมา”
“เธอไม่ไปกับพวกเราหรือ?”
“ไม่ไป ฉันไม่มีเงินเธอไปเถอะ”
“เธออย่าเดินไปไหนไกลนะ?”
“ตกลง ฉันจะรอเธออยู่แถวนี้”
จินเยว่มองตามหลังของเจียลี่ที่วิ่งตามหนิงอันและเจียฮุ่ยไปจนลับหายไปจากสายตา ก่อนที่จะกลับมามองบริเวณรอบตัวอย่างสนใจ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ บ้างก็ปั่นจักรยาน ทุกคนล้วนต่างก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองไม่มีใครสนใจใคร
การดำเนินชีวิตของผู้คนไม่ว่ายุคใดสมัยไหนต่างก็ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดกันทั้งนั้น จินเยว่มองดูภาพตรงหน้าเหมือนกับการฉายภาพยนตร์ย้อนยุคที่เธอเคยดูมาก่อนมันน่าสนใจจริง ๆ
“เยียนเยียน!! เยียนเยียน!! ลูกอย่าทำให้แม่ตกใจแบบนี้นะ ช่วยด้วยใครก็ได้ช่วยลูกฉันที เยียนเยียน!!”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากผู้หญิงทำให้เยว่ชินหันไปมอง เธอเห็นหญิงสาวอายุประมาณยี่สิบกว่า ๆ กำลังประคองลูกชายอายุสามสี่ขวบไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับร้องไห้และร้องขอความช่วยเหลือ
จินเยว่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยสัญชาตญาณของความเป็นมืออาชีพและจรรยาบรรณของคนที่เป็นแพทย์ ทำให้เธอก้าวเข้าไปหาหญิงสาวอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นอาการเธอก็รู้แล้วว่ามีอะไรบางอย่างเข้าไปติดคอของเด็ก
“คุณผู้หญิงปล่อยเด็กให้ฉันก่อนฉันจะทำการรักษาเขาก่อน”
“เธอช่วยลูกฉันได้จริง ๆ ใช่ไหม”
“คุณผู้หญิงอย่ามัวถามอยู่ เลยถ้าไม่รีบอาจจะช่วยชีวิตเด็กไว้ไม่ได้นะ”
หญิงสาวที่เป็นแม่ของเด็กชายตัวน้อยลังเลเล็กพักก่อนที่จะตัดสินใจส่งลูกชายให้กับจินเยว่ จินเยว่จับตัวเด็กโน้มตัวไปด้านหน้าเล็กน้อยก่อนที่จะสอดแขนสองข้างโอบรอบตัวเด็กไว้ เธอกำมือวางไว้ที่ใต้ลิ้นปี่ดันมือลงตรงตำแหน่งลิ้นปี่อย่างรวดเร็ว
เพื่อทำให้เกิดแรงดันในช่องท้องดันให้อาหารหลุดออกมา จินเยว่ทำแบบเดิมซ้ำ ๆ จนเด็กชายสำลักอาหารที่ติดอยู่ในลำคอออกมา จินเยว่ตรวจดูว่าเด็กสามารถหายใจเองได้ปกติหรือไม่ เมื่อเห็นว่าเด็กหายใจเองได้เธอจึงวางใจ
สิ่งที่ออกมาจากปากของเด็กชายคือเม็ดเกาลัดที่มีขนาดเท่านิ้วโป้งเด็ก เมื่ออาหารที่ติดคอหลุดออกมาเด็กชายก็ร้องไห้เสียงดังลั่นด้วยความตกใจ จินเยว่จึงส่งเด็กชายคืนให้กับผู้หญิงที่เป็นมารดาของเด็ก
“คุณไม่ควรให้เด็กกินอาหาร ในขณะที่กำลังเดินนะคะ มันจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ได้”
“ต่อไปฉันจะไม่ให้เขากินอาหารเวลาเดินอีกต่อไป ขอบคุณมากนะที่ช่วยเหลือลูกชายของฉัน”
เหมยกุ้ยพูดขอบคุณเด็กผู้หญิงที่เข้ามาช่วยลูกชายเธอด้วยความซาบซึ้ง ผู้คนที่มายืนมุงดูเมื่อเห็นว่าเด็กได้รับการช่วยเหลือไว้ได้อย่างปลอดภัย ก็สลายเดินออกไปเพื่อทำงานของตัวเองต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่เป็นไรค่ะ มันเป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้วที่จะต้องช่วยเหลือ”
จินเยว่ตอบไปด้วยความลืมตัวว่าเวลานี้เธอไม่ได้เป็นหมอที่อยู่ในโลกปัจจุบันแล้ว
“ถึงอย่างนั้นฉันก็ต้องขอบคุณเธอ เพราะถ้าไม่ได้เธอช่วยไว้ลูกชายของฉันคงจะ...”
เหมยกุ้ยมองดูบุตรชายของเธอ ที่ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะหยุดร้องไห้แล้วก็ตาม แต่ก็ยังคงสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของเธอ เหมยกุ้ยคิดไปถึงเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมาก็รู้สึกใจหาย เธอเห็นใบหน้าลูกชายเขียวคล้ำเพราะหายใจไม่ออก หัวอกของคนเป็นแม่แบบเธอก็แทบจะแตกสลาย ถ้าเยียนเยียนเป็นอะไรไปเธอคงให้อภัยตัวเองไม่ได้ตลอดชีวิต
“คุณหนูคะ อย่าร้องไห้เลยคุณชายน้อยปลอดภัยแล้ว”
“อืม ป้าโจว”
จินเยว่มองดูหญิงสาวที่อายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้าปีพูดคุยกับหญิงวัยกลางคนอย่างพิจารณา ในปีนี้ยังอยู่ในช่วงเวลาที่มีการปฏิวัติทางวัฒนธรรมแต่หญิงสาวคนนี้มีคนคอยติดตามรับใช้ ต้องเป็นคนที่มีฐานะไม่ธรรมดาแน่นอน
เหมยกุ้ยใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาให้บุตรชาย ก่อนที่จะส่งตัวของเขาให้กับป้าโจว และหันมาจับมือเด็กสาวที่ช่วยชีวิตลูกชายของเธอไว้ก่อนจะพูดด้วยความจริงใจ
ถึงแม้เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าของเหมยกุ้ย จะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่เก่าและมีรอยปะ แต่เด็กสาวคนนี้ก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตของลูกชายเธอไว้ ทำให้เหมยกุ้ยกล่าวขอบคุณจินเยว่ด้วยความทราบซึ้งใจ
“สาวน้อยครั้งนี้เธอถือเป็นผู้มีพระคุณของฉัน ถ้าเธอไม่รังเกียจให้โอกาสฉันเลี้ยงอาหารกลางวันเธอสักมื้อเถอะ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณผู้หญิง ฉันช่วยชีวิตลูกชายของคุณก็ไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน คุณไม่จำเป็นต้องเลี้ยงอาหารฉันเลย”
จินเยว่ปฏิเสธด้วยความเกรงใจ เธอช่วยชีวิตของเด็กชายคนนี้ ก็เพราะจรรยาบรรณของความเป็นหมอเธอไม่คิดว่า หญิงสาวคนนี้จะต้องตอบแทนเธอ
เหมยกุ้ยเห็นว่าเด็กสาวปฏิเสธด้วยความหนักแน่น ไม่เหมือนคนที่เสแสร้งแกล้งปฏิเสธตามมารยาท ยิ่งรู้สึกชอบเด็กสาวคนนี้มากยิ่งขึ้น
“ฉันชื่อเหมยกุ้ยต่อไปในอนาคต ถ้าเธอมีเรื่องเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ เธอสามารถโทรหาฉันที่เบอร์นี้ได้ตลอดเวลา”
เหมยกุ้ยยัดกระดาษใส่ที่มือของจินเยว่พร้อมกับบังคับให้เธอรับไว้
“ฉันชื่อจินเยว่ ถ้าฉันเดือดร้อนอะไรฉันจะโทรหาคุณแน่นอน”
จินเยว่รับปากหญิงสาวเพราะกลัวเธอจะไม่สบายใจ สำหรับจินเยว่แล้ว โอกาสที่เธอจะได้เจอคนระดับนี้อีกคงเป็นไปได้ยาก
“ดีถ้าอย่างนั้นฉันไปก่อนนะ”
จินเยว่ยืนมองเหมยกุ้ยและบุตรชายของเธอเดินไปขึ้นรถยนต์ที่กำลังจอดรออยู่ตรงข้างถนน ก็ได้แต่ถอนใจต้องรวยแค่ไหนกันนะถึงมีรถยนต์ส่วนตัวแบบนี้ จินเยว่เห็นเด็กชายตัวน้อย ที่อยู่ในอ้อมแขนของป้าโจวแอบมองดูเธอตลอดเวลาที่ พี่เลี้ยงพาเดินไปขึ้นรถ จินเยว่จึงยกมือโบกลาให้กับเด็กน้อยพร้อมกับส่งยิ้มให้