ปูริดามองเบอร์ไม่คุ้นเอาเสียเลยอย่างชั่งใจ เมื่อโทรศัพท์มือถือมีเสียงสัญญาณเรียกเข้า ก่อนตัดสินใจรับ
“ฮัลโหล”
“สวัสดี นึกว่าจะไม่รับสายซะละ”
ร่างนอนเกลือกกลิ้งบนเตียงกระชากตัวเองลุกขึ้นนั่ง หัวใจเต้นรัวอย่างไม่น่าเชื่อ
ที่แปลกกว่านั้น ถึงคนโทรมาจะยังไม่บอกชื่อเสียงเรียงนาม แต่ก็มั่นใจว่าเป็น...เขา
เกือบหนึ่งปีมาแล้วที่ได้ยินเสียงมีกังวานทุ้มน่าฟังนี้ และเขาก็พูดด้วยเพียงไม่กี่คำ แต่หล่อนก็ยังอุตส่าห์จำได้
“อะ...เอ่อ...คุณ...”
“ราเมศวร์”
เสียงทุ้มนุ่มลึกเกือบจะฟังเซ็กซี่ระบุตัวตนให้หล่อนแน่ใจยิ่งขึ้น
“คุณดำรงคงบอกเรื่องของเราแล้ว”
ปูริดาอยากแย้งออกไปนัก ว่าไม่มีเรื่องของเรา มีก็แต่เรื่องของเขาคนเดียวต่างหาก
คนอะไร มีเป้าหมายจะแต่งงานกับผู้หญิงสักคน กลับไม่เคยมาให้ผู้หญิงเห็นหน้า
ถ้าไม่นึกถึงฐานะทางการเงินของบิดา คงตอบออกไปแล้วแน่ๆ ว่าไม่รู้
แต่เพราะรู้ว่านี้คือคนที่กำชะตาชีวิตของครอบครัวไว้ในมือ คำตอบจึงมีเพียง....
“ค่ะ คุณพ่อบอกแล้ว”
“งั้นก็ดีแล้ว ผมจะได้ไม่ต้องเสียเวลาแนะนำตัวเอง”
“เวลาของนักธุรกิจพันล้านคงมีค่ามากสินะคะ”
ถามเสียงประชดทั้งที่ปกติก็ไม่ได้มีนิสัยชอบประชดประชัน
“ก็มากอยู่”
เสียงตอบกลับมาเอื่อยๆ
ปูริดาแทบจะมองเห็นภาพร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างที่เธอจำได้ นั่งอยู่เบื้องหลังโต๊ะทำงานตัวใหญ่ ถือโทรศัพท์แนบหูในท่าผ่อนคลายสบายๆ ขายาวเหยียดมาข้างหน้า หลังพิงพนักเต็มที่
“นาทีละล้านถึงมั้ยคะ” ถามเสียงหมั่นไส้
“ไม่น่าจะถึง แต่ถ้าหนูดาอยากรู้จริงๆ ว่างๆจะให้ฝ่ายบัญชีช่วยคำนวณให้”
ตากลมโตในกระบอกตากว้างรูปอัลมอนด์ ล้อมกรอบด้วยขนตายาวงอนเป็นแพไหวพะเยิบ เพราะไม่ทันไรปูริดาก็กลายเป็น ‘หนูดา’ ด้วยสุ้มเสียงฟังสนิทสนมราวกับคุ้นเคยกันมานานเสียแล้ว
“อย่าลำบากเลยค่ะ คุณ...มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
“ถ้าจะบอกว่าไม่มีธุระ แต่โทรหาเพราะคิดถึงคู่หมั้นจะว่ายังไง”
“ดา...ดิฉันก็จะบอกว่า จำไม่ได้เลยค่ะว่าตัวเองมีคู่หมั้นแล้ว”
“หนูดา...”
“เท่าที่รู้และจำได้ คือคุณพ่อบอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่งต้องการตัวดิฉันไปแต่งงานด้วย เพื่อแลกเปลี่ยนกับความช่วยเหลือทางการเงินที่เขาจะมอบให้”
“ปูริดา ไม่เอาน่ะ อย่าพูดน่าเกลียดอย่างนั้นสิ”
“เพราะเรื่องจริงมันน่าเกลียดนะสิคะ ดิฉันไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมีค่าตัวเทียบเท่ามูลค่าบริษัทของคุณพ่อและบ้านหลังนี้”
“ปูริดา!”
เสียงเรียกมาเกือบจะฟังเกรี้ยวกราด หยุดคำพูดที่เริ่มจะสั่นเครือเพราะความรู้สึก... รู้สึกอย่างไหนแน่ ก็ยากจะบอกกับตัวเองได้ในทันดี
เหมือนมีเสียงถอนใจเบาๆ แต่ไม่แน่ใจนัก ก่อนคำพูดตามมา
“วันอาทิตย์แต่งตัวรอละกัน จะไปรับ”
“มารับ? มารับไปไหนคะ?”
“ดูชุดแต่งงาน”
“แต่...”
“สิบเอ็ดโมงวันอาทิตย์เจอกัน”
นอกจากคำพูดตัดบท ยังตัดสายสนทนาโดยไม่ให้โอกาสเธอได้แย้งสักคำ
“ใครมานังแตน?”
ลัลลิตาถามสาวใช้เสียงห้วนเมื่อได้ยินเสียงรถวิ่งเข้ามาในบ้าน ขณะนั่งเปิดนิตยสารแบบเสื้อดูอยู่อย่างเบื่อๆ ในห้องนั่งเล่นชั้นใน
“คุณราเมศวร์ค่ะ มาหาคุณดา”
“อะไรนะ?”
ร่างงามสมส่วน เต็มไปด้วยส่วนโค้งเว้ายวนตาเมื่ออยู่ภายใต้อาภรณ์เครื่องนุ่งห่มทันสมัยเข้ารูปเข้าร่าง เน้นอกเป็นอก เอวเป็นเอว ทะลึ่งพรวด แววตาคู่สวยเจิดจ้าอย่างตื่นเต้น แต่พอปลายตาตวัดเข้าใส่สาวใช้ ก็เปลี่ยนเป็นขุ่นเขียว พอๆกับวาจากระชากกระชั้นเอาเรื่อง
“สู่รู้! แกรู้ได้ไงว่าคุณราเมศวร์มาหา...ยายดา?” เลี่ยงคำว่า ‘นัง’ ไปได้หวุดหวิด เพราะถึงอย่างไรก็ไม่อยากให้คนใช้ดูถูก หากใช้คำไม่เหมาะสมเรียกน้องสาว
เด็กสาวตัวงอ มองคุณตาหวาดๆ เพราะรู้อารมณ์กันดีอยู่ว่ายามร้ายขึ้นมาแล้ว คนสวยๆอย่างคุณตาก็สามารถกลายร่างเป็นนางแม่มดแสนร้ายกาจได้ในพริบตา
“ก็...คุณราเมศวร์โทรมานัดคุณดาไว้ล่วงหน้านี่คะ ว่าจะมาพาไปดูชุดแต่งงานที่ร้านเนวิกา”
แตนบอกประสาซื่อ
“ร้านเนวิกา? อะไรกัน ยายดาจะตัดชุดแต่งงานจากร้านเนวิกาเชียวรึ ฉันไม่เชื่อว่าหุ่นอย่างยายดาจะใส่ชุดจากร้านเนวิกาได้เหมาะ”
“ก็...เอ่อ หนูไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่ได้ยินคุณดาเธอคุยโทรศัพท์อย่างนั้นนี่คะ”
ลัลลิตาออกเดินลิ่วก่อนเด็กสาวใช้จะทันพูดจบประโยค หมายจะเข้าถึงตัวชายหนุ่มก่อนน้องสาวลงมาจากข้างบน
สาวโสภาทำได้ดังใจหมาย
เมื่อก้าวเข้าห้องรับรองแขกหล่อนพบชายหนุ่มนั่งอยู่ตามลำพัง เบื้องหน้ามีแก้วน้ำเย็นที่ยังไม่พร่อง แปลว่าเขาไม่สนใจจะดื่ม
“คุณราเมศวร์ สวัสดีค่ะ”
“สวัสดีครับ”
ราเมศร์ทักตอบอัตโนมัติพร้อมลุกขึ้นยืนตามมารยาทสุภาพบุรุษเจนสังคม
“ลัลลิตาไงคะ” รีบบอก เมื่อเห็นคิ้วเข้มโค้งตามกรอบตาลึกกว้างของชายหนุ่มกระดกขึ้นนิดๆ
“ตาเป็นลูกสาวคุณพ่อดำรง เคยไปเดินแบบในงานการกุศลของคุณหญิงหทัย ที่คุณราเมศวร์ได้รับเชิญไปร่วมงานเมื่อเดือนก่อนนี้เอง”
“ครับ จำได้ คุณนี่เองที่เป็นดาวเด่นของงานคืนนั้น”
“เรียกตาก็ได้ค่ะ เรียกคุณฟังห่างเหินจัง”
ราเมศวร์ยื่นมือออกมาข้างหน้า
ลัลลิตายื่นมือขวาออกไป สายตาหยาดเยิ้มฉ่ำหวานหว่านเสน่ห์เต็มที่