1
เรือนเหมยกุย
เด็กน้อยคนหนึ่งอายุห้าหนาว ไม่เคยเห็นหน้าบิดาสักครั้ง ปกติจะพบเพียงแค่ท่านปู่และท่านย่า ร่วมด้วยท่านแม่ของเขา เขาคือลูกชายของแม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือ จ้าวหย่งเล่อ
“ท่านแม่เร็ว ๆ สิขอรับ ข้าอยากพบท่านพ่อใจจะขาด” เด็กชายตัวน้อยสีหน้าตื่นเต้นนัก นางเองก็เช่นเดียวกัน
“วันนี้หิมะตก เล่อเอ๋อร์อยู่ในห้องเสียก่อน ประเดี๋ยวท่านพ่อมาแม่จะพาเจ้าไปเอง” ฟางหรงกล่าวขึ้นอย่างอ่อนโยน นางมีลูกชายเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้ ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา นางต้องอยู่ที่เมืองหลวงด้วยหัวใจอันปวดร้าว
ยามนี้นางมีลูกหวังว่าจะให้เขาหันมามองนางบ้าง และเอ็นดูลูกชายของนางกับเขา ถึงแม้จะรู้อยู่แล้วว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาเย็นชาและเมินเฉยต่อนางเช่นไร
“ฮูหยินขอรับขบวนเดินทางมาถึงแล้ว” บ่าวรับใช้รีบร้อนกล่าวขึ้นมา ทำให้ดวงหน้าของฮูหยินนั้นดูเบิกบานทันใด จากเมื่อครู่ที่คล้ายกับว่ากำลังเหม่อลอยไปไกล
นางกำชับลูกชายว่า “รอแม่อยู่ในนี้ก่อนนะ” นางกระชับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาวของลูกชายให้เข้าที่ ลูบไล้ดวงหน้าของลูกชายก่อนเดินออกไปต้อนรับสามี
นางรีบก้าวเท้าฉับ ๆ ชะเง้อมองถนนที่เต็มไปด้วยเกล็ดหิมะทับถม แต่ก็ไม่ได้ยากลำบากต่อการเดินทางแม้แต่น้อยนิด นางยังไม่ลืมกำชับพ่อบ้านให้เตรียมน้ำชาและขนม และยังกำชับอีกว่าให้จัดเตรียมอาหารสำหรับเหล่าทหารทั้งหลายที่จะพักอยู่ในจวนของท่านแม่ทัพอีกด้วย
ไม่นานก็มองเห็นขบวนของเขาเดินทางมาถึง เสียงเกือกม้าย่ำดังกึกก้องนัก หัวใจนางเต้นระรัว การรอคอยอันเนิ่นนานในที่สุดก็จบลงแล้ว
จ้าวหย่งคังเห็นภรรยายืนรอต้อนรับ เขาปลายสายตามองนางเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ไป๋ฟางหรงรีบเดินเข้าไป หวังว่าจะได้โอบกอดเขาสักเล็กน้อย นางกล่าวขึ้นมาว่า “ท่านพี่เดินทางมาเหนื่อย ๆ ข้าเตรียมน้ำชาเอาไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ”
คำตอบที่นางได้ยินนั้นปวดร้าวนัก “ทีหลังไม่ต้องยุ่งยากอันใด เจ้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเช่นนี้อีก” คำพูดที่แสนจะเย็นชาไร้ความรู้สึกนั่น เขาไม่แม้แต่จะมองนางเสียด้วยซ้ำไป “ข้ามีคนจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก” ว่าแล้วเขาเดินไปยังรถม้าคันหนึ่ง
มือหนาเปิดม่านประตู อุ้มสตรีนางหนึ่งลงมา รูปโฉมดูงดงามน่ารักยิ่งนัก ไป๋ฟางหรงเจ็บใจจนพูดไม่ออก มองสามีตระกองกอดสตรีอื่นต่อหน้าต่อตา
นางฝืนก้อนหินที่จุกอยู่ตรงลำคอเอาไว้ สตรีนางนั้นยิ้มแย้มน่ารักสดใส เห็นสามีแย้มยิ้มหยอกเย้า พลันหัวใจดวงนี้คล้ายกับว่าถูกเข็มพิษทิ่มแทงเสียดสีหัวใจของนางจนแทบกระอักเลือดออกมา
“ถังม่านชิงจะมาเป็นภรรยาของข้าอีกคน หลังจากเดือนเอ้อร์เยว่ไปแล้ว ข้าจะแต่งงานกับนาง” เขาไม่แม้แต่จะมองดวงหน้าของนางเสียด้วยซ้ำ มัวแต่มองสตรีข้างกาย
ไป๋ฟางหรงคล้ายว่าวันนี้นางทำสิ่งใดเอาไว้หลงลืมสิ้น จนแทบจะควานหาน้ำเสียงของตนไม่เจอ นางฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวดอัดแน่นอยู่ในอก รับคำเพียงแค่สั้น ๆ เท่านั้น “เจ้าค่ะ” นางพูดได้เพียงเท่านี้
“พี่สาว ข้าขอฝากตัวด้วยนะเจ้าคะ” ถังม่านชิงแย้มยิ้มมาให้ มองเห็นใบหน้าที่ขาวซีดของอีกฝ่ายก็นึกสะใจนัก คงจะเป็นดังข่าวลือที่ว่า ท่านแม่ทัพพิทักษ์แดนเหนือมิเคยเหลียวแลภรรยาเอกของตนสักนิด
“เชิญเข้าข้างในก่อนขอรับนายน้อย” พ่อบ้านฝูอดเห็นใจฮูหยินเอกไม่ได้ รูปร่างของนางก็เพียงแค่ตัวเล็ก ๆ เพียงเท่านี้ ล้มป่วยกระเสาะกระแสะหลังจากให้กำเนิดคุณชายน้อย ช่วยดูแลแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งของจวนได้อีก
“อืม” เขาตอบสั้น ๆ ม่านชิงเกาะแขนของท่านแม่ทัพเอาไว้ไม่ยอมปล่อย เมื่อเขาเดินเข้าไปแล้ว นางก็เดินขนาบข้าง สีหน้าดูดีมีความสุขนัก ผิดกับฟางหรงที่จวนเจียนจะล้มพับได้ทุกเมื่อ เห็นสีหน้าของสามีแล้ว มีหรือที่นางจะไม่รู้ สายตาเย็นชานั่นหนาวเหน็บเสียยิ่งกว่าฤดูหนาวเสียอีก
จ้าวหย่งเล่อถูกมารดาให้รอ เขาก็รอ แต่ระหว่างที่รอยคอยจะพบบิดานั้น เขาก็มักจะเคร่งเครียดการอ่านเขียนและท่องตำรา วาดหวังเอาไว้ว่าเติบโตขึ้นมาจะเจริญรอยตามบิดา อยากเป็นแม่ทัพใหญ่ปกป้องแคว้นอู๋
ท่านแม่ทัพเดินไปยังเรือนใหญ่ด้านหน้า เป็นที่พักของบิดาและมารดา ทันทีที่เห็นหน้าลูกชาย ฮูหยินผู้เฒ่ารีบกวักมือเรียก ดวงตาของหญิงชราอาบไปด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ “ลูกแม่เจ้ามาแล้ว แม่ดีใจยิ่งนัก” น้ำเสียงของหลิวซื่อมีแต่ความดีอกดีใจ ร่างกายของนางไม่แข็งแรงสักเท่าไหร่ จึงไม่ได้ไปยืนรอลูกชายกลับบ้าน
“คารวะท่านแม่ขอรับ” จ้าวหย่งคังโค้งศีรษะลงสองมือประสาน “ข้ากลับมาครั้งนี้ก็มีข่าวดีจะแจ้งให้ท่านแม่ทราบ” จ้าวหย่งคังกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
สตรีนางนี้รู้จังหวะดีนัก นางเดินก้าวข้ามประตูเข้าไป ยอบกายลงอย่างงดงาม ยืนขนาบเคียงข้างกับแม่ทัพจ้าว ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มอยู่เสมอ จ้าวหย่งคังจึงได้กล่าวขึ้นมาอีกครั้ง “ถังม่านชิงจะมาเป็นภรรยารองของลูก และนางจะอยู่ที่แดนเหนือด้วยกันขอรับ”
พลันคล้ายว่ามีสิ่งใดตกลงพื้น จ้าวหย่งเล่อถือถาดน้ำชามา คิดจะมอบให้ผู้เป็นบิดา แม่ทัพจ้าวหันมองตามเสียงก็พบว่าเป็นเด็กชายน่ารักคนหนึ่ง เห็นสีหน้าบึ้งตึงของเด็กคนนี้เขาไม่เข้าใจนัก กำลังจะเอ่ยปากขึ้นถามว่าเด็กคนนี้เป็นลูกใครกัน
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะใจร้ายใจดำถึงเพียงนี้ นำสตรีอีกคนมาเหยียบหน้าฮูหยินถึงในจวน ดีเสียจริงลูกชายข้า” คราวนี้เป็นบิดาของจ้าวหย่งคังกล่าวขึ้นมา น้ำเสียงดูท่าไม่พอใจนักหนา ชายชราลูบหนวดเครายาวจนถึงลำคอ
“หย่งเล่อไม่ต้องคารวะไอ้คนสารเลวนั่นเป็นพ่อของเจ้า นับแต่นี้เจ้ามีเพียงแค่ปู่กับย่าและมารดาของเจ้า” ชายชราจับหลานชายเอาไว้แน่น
จ้าวหย่งคังอึ้งชะงักงัน เหตุใดไม่มีใครบอกเขาเล่า ว่าตนเองมีลูกแล้ว และยังเป็นเด็กผู้ชายอีกด้วย เมื่อครู่เห็นเขาตกใจ จนทำถาดน้ำชาหล่น เขายังเอะใจเสียด้วยซ้ำไปว่า ในจวนเลี้ยงเด็กลูกคนรับใช้เอาไว้ด้วยรึ