ดูท่าว่าท่านไคจะโมโหจริงตอนนี้ทุกคนในบ้านไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งเลย หมอคิมก็ทำงานจนกลายเป็นทีมวิจัยเรื่องโรคไวรัสที่ขยันถูกสร้างขึ้นมาไม่หยุด ประเทศเล็กๆที่ปกครองโดยผู้มีอำนาจอย่างท่านไคจะไปสู้กับเชื้อโรคที่มองไม่เห็นได้อย่างไร
“มายูหนีเที่ยวอีกแล้วเหรอ”
“เออดิ กูรอบอดี้การ์ดได้ข่าวว่าบินเข้ามาประเทศแล้ว”
“ทำไมต้องเป็นบอดี้การ์ดคนนั้น คนของเราก็เยอะแยะ”
“มายูดื้อเกินไป เมื่อวานก็เกือบตายดีที่มีคนมาช่วย”
“วัยกำลังซุกซนมึงอย่าหัวเสียกับลูกนักเลย”
“ซุกซนมาตั้งแต่5ขวบจนตอนนี้18หลานมึงยังไม่หยุดซุกซนเลย”
ท่านไคส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ ทำไมลูกสาวถึงได้ซนขนาดนี้ เมื่อวานถ้าเกิดมายูเป็นอะไรไปตนคงอยู่ไม่ได้แน่ๆ
“ท่านไคครับมีคนมาขอพบครับ”
บ้านท่านไค
ชายหนุ่มชุดดำยืนรออยู่กลางบ้านแม่บ้านและพี่เลี้ยงของมายูรีบเอาน้ำมาเสิร์ฟ เมื่อท่านไคมาถึงชายหนุ่มก็ก้มคำนับอย่างนอบน้อม
“ฉันตามตัวนายมานานมากพระราม”
“เรียกผมรามเฉยๆก็ได้ครับท่านไค ผมต้องขอโทษด้วยที่ทำให้ท่านไคต้องรอ ผมมีภารกิจดูแลความปลอดภัยของท่านหวัง”
“นายรู้ใช่ไหมว่าฉันตามตัวนายมาทำไม”
“ผมทราบดีครับ ผมหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคระบาดที่ถูกพบโดยหมอคิมแล้ว”
“ไม่ใช่แค่เรื่องนั้น เรื่องลูกสาวของฉัน”
“คุณหนู...” ใช่สิผมลืมไปเลยเมื่อวานผมแอบติดตามคุณหนูจากร้านอาหารมาที่ห้างจนเกิดเรื่องราวโจรปล้นร้านทอง
“ใช่ เดี๋ยวฉันให้คนไปตามมายูแล้วกัน นายต้องคอยดูและเรื่องความปลอดภัยให้กับลูกสาวฉัน ช่วงนี้ที่ประเทศนี้กำลังวุ่นวายเกินไป”
“ไม่ต้องห่วงครับ ถ้าผมตอบรับทำภารกิจไหนแล้วผมไม่เคยพลาด”
“เพราะเป็นนายฉันเลยไว้ใจ”
“คุณพ่อขา....เรียกมายูมาทำไมคะ”
สาวน้อยวิ่งลงมาโดยไม่ทันสังเกตว่าในบ้านมีสมาชิกใหม่เข้ามา เธอเข้ามาง้อคุณพ่อด้วยการหอมแก้มและออดอ้อนเหมือนทุกครั้ง
“มายูนี่พระราม เป็นบอดี้การ์ดของลูก”
มายูหันมามองชายหนุ่มที่หน้าตาหล่อเหลาอายุน่าจะ30-35 เธอทำหน้าตาสับสนเล็กน้อยเหมือนว่าเคยได้เจอกัน
“แก่จัง!”
หืม..เด็กนี่นั่นปากหรือไง ผมพยายามข่มอารมณ์ไว้ให้หมาในปากหลุดออกไป เดี๋ยวก่อนเถอะ!
“มายูพูดจาให้มันดีๆหน่อย รามหน้าที่นายคือดูแลลูกสาวฉัน ตอนนี้มายูยังต้องไปเรียนมหาลัยฉันกลัวว่าจะมีพวกลักรอบมาทำร้ายลูกสาว ฉันมีลูกสาวเพียงคนเดียว”
“ครับท่านไค ผมสัญญาว่าจะดูแลคุณหนูให้ดีที่สุด”
//พระราม//
ผมชื่อพระรามครับ หรือจะเรียกผมว่ารามก็ได้ผมอายุ29ไม่ใช่35เหมือนที่คุณหนูบอก ครอบครัวผมเป็นคนไทยคุณพ่อเป็นบอดี้การ์ดให้กับทีมวิจัยที่อเมริกาส่วนคุณแม่ผมก็เป็นหัวหน้าทีมวิจัยอยู่ที่นั่น จริงๆแล้วผมเองก็เป็นคุณหมอเชื่อเถอะแต่ด้วยสถานะการณ์บางอย่างที่ผมต้องทุ่มเทเพื่องานวิจัย ทำให้ผมต้องกลายมาเป็นบอดี้การ์ดให้กับพวกทีมวิจัยต่างประเทศเพื่อหาต้นตอการสร้างไวรัสบ้าๆนี่ แต่เรื่องครอบครัวและอาชีพของผมไม่มีใครรู้แม้แต่ทีมวิจัยของคุณแม่ ก็มีรู้เพียงไม่กี่คน
การมาของผมในครั้งนี้ก็เพราะว่ามีทีมวิจัยของที่นี่ส่งเชื้อไวรัสที่พวกผมกำลังตามหาต้นตอไปทำให้ผมต้องจำใจยอมมาเป็นบอดี้การ์ดให้กับบ้านของท่านไค
“นี่ห้องนอนของคุณ ชั้นบนเป็นห้องของคุณหนู”
“ขอบคุณครับ”
“มีอีกเรื่องที่คุณต้องจำไว้ คุณหนูแพ้กุ้ง แพ้หอยทุกชนิดถ้าได้กินจะมีอาการแพ้ขั้นรุนแรง”
พี่เลี้ยงของคุณหนูมายูบอกประวัติของเธอให้ผมฟังคร่าวๆเพื่อให้ผมระวังตัวไว้ ในประเทศนี้เคยมีประวัติเรื่องไวรัสมาครั้งนึงแล้วแต่ถือว่าหมอที่นี่เก่งมากที่แก้ปัญหาได้ทัน ไม่ต้องถึงกับต้องส่งเรื่องไปให้ทีมวิจัยของคุณแม่ผม
วันต่อมา
มายูเดินลงมาเคาะประตูห้องของรามเพื่อบอกตารางว่าวันนี้เธอต้องไปที่ไหนบ้าง แต่เคาะอยู่นานคนในห้องก็ไม่ยอมเปิด
“ไม่ได้เรื่อง!”
“ผมอยู่นี่ครับ” เคาะอยู่ได้ไม่คิดจะมองหน้ามองหลังเลยหรือไงเด็กคนนี้ “คุณหนูมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฉันจะไปมหาลัยช่วงบ่ายเตรียมตัวให้พร้อม”
“ครับ” ที่คิดไว้มันไม่ใช่แบบนี้ทำไมผมถึงได้กลายมาเป็นคนขับรถให้เด็กนี่กัน หยามเกียรติกันเกินไปแล้วนะ
มายูเดินขึ้นมาเตรียมตัวบนห้องปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยลงมาข้างล่างเพราะว่าที่บ้านมีแต่ผู้ชาย อยากแต่งตัวสวยๆก็ต้องแต่งอยู่บนห้องเท่านั้น
ถึงเวลาช่วงบ่ายมายูเดินลงมาในชุดนักศึกษารามจึงรีบออกมาเตรียมรถและเปิดประตูให้เธอ ระหว่างเดินทางมายูก็เอาแต่เงียบ เธอรู้สึกว่าบอดี้การ์ดคนนี้ไม่โอเคเอามากๆ
“คุณหนูเลิกเรียนกี่โมงครับ”
“เที่ยงคืน”
“ตลกเหรอครับ”
“เลิกตอนไหนเดี๋ยวนายก็เห็นเองนั่นแหละ ว่าแต่ทำไมคุณพ่อฉันถึงได้เลือกนายมาล่ะ แก่ขนาดนี้วิ่งไหวหรือไง”
เอี๊ยดด!!!!
พระรามเหยียบเบรกจนมายูหัวทิ่มเธอเงยหน้าขึ้นมามองจนพระรามต้องเฉไฉว่าหมาตัดหน้า
“เจ้าหมาบ้าเดี๋ยวเถอะ!”
“อย่าไปมีเรื่องกับหมาเลยครับคุณหนู” เด็กเวร!! มาหาว่าผมแก่ได้ไงยังไม่30ดีเลย ฟังแล้วขึ้นน่าปล่อยให้โดนยิงตายตั้งแต่ที่ห้างแล้ว