บทที่1. ชีวิตหลังแต่งงาน
บทนำ
สโรชาใช้ชีวิตเรียบง่ายมาตลอดยี่สิบสองปี แต่เพราะคำขอร้องกึ่งบังคับให้เธอต้องแต่งงานกับหลานชายของแม่เลี้ยง ทำให้เธอต้องจำใจแต่งงานกับธีรภัทร ทนายหนุ่มอนาคตไกลวัยยี่สิบแปด ทว่าเมื่อแต่งงานแล้วชีวิตแต่งงานไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิด มันมาพร้อมมรดกชิ้นสุดท้ายที่คุณตาทิ้งไว้ให้ซึ่งมันเป็นบ้านเก่าของแม่ ความลับหลังบานประตูเรือนไม้อายุกว่าห้าสิบปีเปิดออกพร้อมกับความลี้ลับในห้วงอารมณ์ของอิสตรี.
..................
.กลิ่นหอมละมุนของดอกไม้ที่เธอไม่รู้จักทำให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ มือที่กำลังจับดินสออยู่ถึงกับชะงัก ร่างบางที่นั่งอยู่กับกองหนังสือเล่มหนาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนหลับตาแล้วสูดลมหายใจลึกๆ กลิ่นหอมหวานเคล้ากับสายลมฤดูหนาวชวนให้รู้สึกคุ้นเคย ทว่าเธอไม่เข้าใจว่ากลิ่นที่สัมผัสนั้นคือกลิ่นอะไรและมาจากที่ใด เพราะตอนนี้เธอนั่งอยู่ในห้องหนังสือ
สโรชาวางดินสอในมือแล้วขยับแว่นสายตาให้ชิดใบหน้า เธอมองหาที่มาของกลิ่นแต่กลับไร้วี่แววทำไมจู่ๆ เธอถึงรู้สึกได้กลิ่นประหลาดนี้ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเป็นมา มันเริ่มตั้งแต่วันไหนนะ? วันที่พ่อเรียกเธอไปคุยพร้อมยื่นโฉนดที่ดินใบหนึ่งให้เธอใช่ไหม?
“อะไรคะคุณพ่อ”
“ของแกนั้นแหละ”
“คุณพ่อก็อธิบายให้บัวเข้าใจหน่อยซิคะ” หญิงสาวรับกระดาษแผ่นเก่าคร่ำครึมาดูด้วยความสงสัยในขณะที่บิดาได้แต่ถอนหายใจหนักๆ
“บ้านเก่าของแม่แกนั้นแหละ คุณตาของแกเขาให้ทนายส่งมาให้ เป็นมรดกมอบให้ลูกคนเดียว”
“บ้านของแม่รึคะ”
สโรชาเสียแม่ไปตั้งแต่เธออายุแค่ขวบเศษเธอแทบไม่มีความทรงจำเรื่องแม่เลยสักนิด เคยเห็นแต่รูปเก่าๆว่าแม่เป็นคนสวย แต่ก็ไม่รู้อะไรมากนัก พ่อทำเหมือนไม่อยากพูดถึงแม่ ถึงพ่อจะพาผู้หญิงเข้าบ้านในฐานะ ‘เมีย’ แต่คนที่พ่อยกย่องที่สุดก็คือ ‘บุหลัน’ แม่ของเธอเอง บรรดาผู้หญิงที่พ่อพาเข้าบ้านไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับสโรชา เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ ถ้าคนไหนกล้าแกล้งหรือรังแกเธอ พ่อได้ขับไล่ออกบ้านอย่างไร้เยื่อใย
หญิงสาวเป็นเด็กหัวดีเรียนเร็วกว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่การเป็นเด็กเรียนเก่งมันไม่ได้ส่งผลดีกับเธอเลยสักนิด เพราะหลังเรียนจบมัธยมปลาย พ่อก็ส่งไปเรียนต่อที่อังกฤษทันที ระหว่างที่เรียนในระดับปริญญาตรีเธอก็รับรู้ว่าพ่อแต่งงานใหม่กับ ‘ดาวฉาย’ เธอไม่เคยเจอผู้หญิงคนนี้ไม่รู้ที่มาที่ไป จนกระทั่งวันที่เรียนจบกลับมาเมืองไทย ก็พบเมียใหม่ของพ่อเป็นครั้งแรก
“เรียกอาดาวก็ได้ค่ะ” ดาวฉายแนะนำตัวง่ายๆ เธอเป็นหญิงสาววัยสามสิบหกที่รูปร่างเต่งตึงอวบอัด แบบที่ผู้ชายยอมสยบแทบเท้าได้ไม่ยาก แต่ใครจะคิดว่าผู้หญิงสาวเซ็กซี่ขนาดนี้จะยอมแต่งงานกับผู้ชายอายุเจ็ดสิบปีอย่างพ่อของเธอล่ะ
“ค่ะ”
“งั้นอาเรียกหนูบัวนะคะ”
“ได้ค่ะ”
เธอไม่อยู่เมืองไทยแค่สี่ปี แต่ดูเหมือนหลายอย่างในบ้านเปลี่ยนไปมาก นอกจากผู้หญิงคนใหม่ของพ่อแล้วก็ยังมี ‘ธีรภัทร’ เขาเป็นหลานชายของ ‘ดาวฉาย’ และเป็นทนายคนใหม่ของบริษัทของพ่อด้วย
สโรชาสลัดความคิดในหัวออกไปจนหมด จดจ่ออยู่เพียงโฉนดที่ดินตรงหน้า ที่ดินน่าจะอยู่แถวๆฝั่งธนบุรี
“มันเป็นของแก จะเอาไปทำอะไรก็เอาไปเถอะ”
“บัวจะเอาไปทำอะไรล่ะคะ?” เธอไม่มีหัวด้านธุรกิจเหมือนพ่อนี่นะ
“ที่ดินแปลงนี้สวย จะทำคอนโดฯก็ดีนะ พ่อลงทุนให้”
“ก็แล้วแต่พ่อเถอะค่ะ พ่อก็รู้ บัวไม่ค่อยรู้เรื่องงานของพ่อ”
เธอพูดเหมือนน้อยใจ งานบริษัทอสังหาริมทรัพย์ของพ่อ พ่อไม่ได้ให้เธอเข้าไปช่วยอะไรเลย ทั้งที่เธอเป็นลูกสาวคนเดียวแท้ๆ แล้วจู่ๆ ก็โยนที่ดินแปลงนึงให้แล้วบอกให้ไปทำอะไรก็ได้นี่นะ ถ้ามันไม่ใช่เป็นสมบัติของแม่ พ่อก็คงไม่เรียกเธอมาคุยแบบนี้แน่
“รู้สึกว่าที่ดินตรงนั้นจะมีบ้านเก่าอยู่หลังนึงนะ เป็นบ้านของตาแม่แก ไม่รู้ว่าป่านนี้จะยังอยู่หรือเปล่า ยังไงไปดูเสียหน่อย ถ้าจะรื้อทิ้งก็จะได้ไม่ต้องมาเสียดายที่หลัง”
“ค่ะพ่อ”
รับปากพ่อมาเป็นสัปดาห์ แต่สโรชาก็ยังไม่ได้ไปดูเรือนหลังนั้นของแม่เลย ถึงเธอจะไม่ได้ช่วยงานที่บริษัทของพ่อ แต่เธอก็มีงานแปลหนังสือที่สร้างรายได้ไม่มากไม่น้อยให้เธอได้ภูมิใจในตัวเอง ตั้งแต่เธอเอาฉโนดที่ดินฉบับนั้นมาไว้ในห้องหนังสือที่เป็นห้องทำงานของเธอด้วย เธอมักจะได้กลิ่นหอมของดอกไม้อยู่เสมอ ทั้งที่ในห้องก็ไม่มีแจกันดอกไม้หรือใช้น้ำหอมปรับอากาศอะไรเลย
เสียงเคาะประตูหน้าห้องสองสามครั้งก่อนที่ร่างสูงโปร่งจะเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น สโรชาหันไปมองตามเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามาใกล้แล้วเธอก็มีสีหน้างุนงงสับสน อาการของเธอทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงตรงหน้าหญิงสาว
“ทำงานหนักไปหรือเปล่าครับน้องบัว”
“พี่ธีร์” เธอเรียกเขาเหมือนไม่มั่นใจ บางครั้ง ความทรงจำของเธอสับสน นั้นเป็นเหตุผลที่พ่อผลักไสเธอไปเรียนต่างประเทศหลายปี แท้จริงเธอไปรักษาตัวเองด้วย
“พี่ไม่อยู่บ้านไม่กี่วัน ลืมหน้าสามีคนนี้แล้วหรือครับ”
ธีรภัทรยิ้มแล้วลูบผมยาวของหญิงสาวอย่างทะนุถนอม นึกน้อยใจที่เธอมักทำหน้าเหมือนเขาเป็นคนแปลกหน้าเสมอ และที่น่ากังวลกว่าคือเธอทำเหมือนลืมว่าเขาเป็นสามี ทั้งสองแต่งงานได้ครึ่งปีแล้ว และเขาก็ย้ายเข้ามาอยู่คฤหสาน์ของพ่อตา ตามคำขอร้องของคุณมนตรีและอาดาวฉาย
“ขอโทษค่ะ บัว...บัวยังไม่ชินจริงๆ” หญิงสาวรู้สึกผิด เขาดีกับเธอทุกอย่าง เอาอกเอาใจ ดูแลใส่ใจในทุกเรื่องของเธอ แต่เธอมักลืมไปจริงๆว่าตัวเองแต่งงานแล้ว
ใช่...เธอแต่งงานแล้ว
เป็นงานแต่งงานที่เกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายมีเพียงงานเลี้ยงเล็กๆ สโรชาไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทอะไรนักและงานแต่งที่จัดแบบเร่งด่วน จะนึกถึงเพื่อนคนไหนก็ยากจะติดต่อได้ แต่ในส่วนลึกแล้ว เธอก็ไม่มั่นใจว่าอยากให้ใครรู้เรื่องที่เธอแต่งงานหรือเปล่า สโรชาแต่งงานกับธีรภัทรตามคำสั่งของพ่อ ทั้งที่เธอก็ไม่มั่นใจนักว่าชีวิตคู่ครั้งนี้จะไปรอดแค่ไหน พ่อออกคำสั่งตั้งแต่เธอกลับจากอังกฤษเพียงไม่กี่วัน
“บัวเพิ่งเคยเจอพี่ธีร์แค่ไม่กี่ครั้งเองนะคะคุณพ่อ”
สโรชาอ้อนวอนผู้เป็นพ่อ เธอไม่ได้รังเกียจผู้ชายที่พ่อเลือกให้ แต่เธอเพิ่งเจอเขาไม่กี่ครั้ง พ่อก็บอกเธอแต่งงานกับเขาแล้ว แต่พ่อกลับตะคอกใส่จนเธอทำตัวลีบเล็กอย่างหวาดกลัว แม่ของเธอตายจากตั้งแต่เธอยังเด็กๆ แทบจำอะไรเกี่ยวกับแม่ไม่ได้เลย แต่เพราะเป็นความสุขของพ่อ เธอจึงไม่อยากขัดใจ และที่ผ่านมาถึงพ่อจะเจ้าชู้แต่พ่อก็มีเธอเป็นลูกคนเดียว ทรัพย์สินเงินทองมรดกของพ่อมีมากนักซึ่งได้รับมาจากปู่ย่า ด้วยความที่เป็นลูกคนเดียวและพ่อเป็นห่วง ฐานะของครอบครัวก็ไม่ได้ลำบากอะไร
แต่ที่พ่อบังคับให้เธอแต่งงานกับธีรภัทรด้วยเหตุผลที่ว่า เขาเป็นทนายประจำบริษัทและเป็นทนายประจำตระกูล พ่อไว้ใจและคิดว่าเขาสามารถดูแลเธอและธุรกิจของพ่อได้ เธอพยายามปฎิเสธไม่ยอมแต่งงานแต่กลายเป็นว่าพ่อดุด่าหาว่าเธออกตัญญู สโรชาจึงจำใจต้องแต่งงานกับธีรภัทร
“ยัยบัว แกมันเด็กหัวอ่อนตามใครไม่ทันหรอก ผู้ชายคนนี้พ่อดูมานานแล้ว เขาเป็นคนดีไว้ใจได้ไม่มาหลอกแกแน่ๆ”
“แต่บัวไม่ได้รักพี่ธีร์”
“อยู่ๆ กันไปมันก็รักกันเองนั้นแหละ หรือแกจะอกตัญญูไม่ตอบแทนพระคุณคนเป็นพ่ออย่างฉัน ห่ะ!”
พอยกคำนี้มาทีไร เธอก็ได้แต่ก้มหน้ายอมรับชะตากรรมของตัวเอง งานแต่งงานของเธอกับธีรภัทรจึงเกิดขึ้นหลังการผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายมาพบกัน สโรชาพบหน้าพ่อกับแม่ของธีรภัทรแค่ครั้งเดียวก่อนแต่งงาน ดูท่าทางเป็นคนน่าเกรงขาม แม้ไม่ได้ขัดขวางแต่สีหน้าก็ดูไม่ยินดีนัก
“อย่าคิดมากเลยค่ะน้องบัว พี่ชายอาก็หน้าดุแบบนี้แหละ” ดาวฉายหัวเราะคิกคัก หญิงสาวได้แต่ทำใจกล้ายกมือไหว้พ่อแม่สามีอย่างอ่อนน้อมทำให้ทั้งสองมองเธอดีขึ้นมานิดนึง
“อย่ากลัวเลยครับน้องบัว พี่ธีร์จะรักและทะนุถนอมน้องบัวไม่ทำให้คุณพ่อต้องผิดหวัง”
คำสัญญาของเขาไม่ได้ทำให้หัวใจเธออบอุ่น ทว่ามันกลับไร้เรี่ยวแรงคล้ายว่าต่อไปนี้ชีวิตของเธอ ไม่ใช่ของเธออีกแล้ว
“น้องบัว”
“คะ...พี่ธีร์ว่าอะไรนะคะ”
สโรชาตื่นจากภวังค์ มองชายหนุ่มตรงหน้า ธีรภัทรพาดเสื้อนอกกับพนักเก้าอี้ที่ว่าง เขายิ้มอ่อนโยนก่อนจะมองดูหนังสือเล่มหนาหลายเล่มกับสมุดงานตรงหน้าเธอ
“กินข้าวหรือยังครับ”
“เอ่อ...” หญิงสาวจะบอกว่ากินแล้ว แต่พอนึกดูนี่ก็เย็นแล้ว เธอคงจะลืมกินข้าวเที่ยงไปอีกแล้วละซิ
ชายหนุ่มยังคงยิ้มให้ เขาเอื้อมมือไปแตะหลังมือของเธอแล้วพยักหน้า “ไปทานข้าวกับพี่นะ แล้วค่อยมาทำงานต่อก็ได้”
“ค่ะ”
ถึงอย่างไรเขาก็ดีกับเธอ แต่งงานกันแล้วก็จริงแต่ยอมแยกห้องไปนอนอีกห้อง เพราะเธอเองที่ยังไม่คุ้นกับเขา เธอได้แต่หวังว่าเขาจะอดทนกับเธออีกสักนิด.